เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 1161 เกือบโดนจับได้
บทที่ 1161 เกือบโดนจับได้
นี่ทำให้หยางหยางรู้สึกถึงรสชาติของการตกนรก
ครั้งนี้นับได้ว่าเขาได้ลิ้มรสแล้วว่าการอยู่ภายใต้อำนาจคนอื่นคืออะไร
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะกล่าวไม่ได้ว่าเป็นการสนับสนุนคนที่เคารพรัก นี้ถือว่าเป็นการให้เกียรติ
นี่เลิกเรียนมาครึ่งชั่วโมงแล้ว การยืนอยู่ตรงนี้ทรมานกว่าการยืนอยู่ในห้องเรียนเสียอีก
“เสียงน้ำไหล…”
ในที่สุดท้องของหยางหยางก็ส่งเสียงประท้วงออกมา
ไม่ถือว่าเสียงดังมาก แต่คนที่อยู่ใกล้ๆ 3คนได้ยินอย่างชัดเจน
ในที่สุดอาจารย์ประจำชั้นก็หยุดตรวจการบ้านในมือ และเงยหน้าขึ้นมองตรงหน้า
ใบหน้าของเธอนิ่งเฉยแล้วดูดุร้ายมาก
“คุณคือผู้ปกครองของเป้หมิงหยาง?” เธอมองชายที่ยืนอยู่ด้านข้างหยางหยาง รู้สึกไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
เหล่าโล๋ ถึงจะถูกเรียกว่าเหล่าโล๋ แต่เขาไม่แก่
น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉิงฮัวและเป่หมิงโม่
ในส่วนของอายุ น่าจะน้อยกว่าฉิงฮัวเล็กน้อย
ใบหน้าก็ดูละเอียดอ่อนเยาว์กว่าฉิงฮัว
ฉิงฮัวเหมือนคนทางเหนือที่ให้ความรู้สึกผ่านเรื่องราวมากมาย ร่างสูงใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนหอคอยเหล็ก
แต่เขามีความละเอียดอ่อน ประณีต ว่องไวแบบทางใต้
วันนี้เขาเป็นผู้ปกครองของหยางหยาง สำหรับเขาแล้วดูไม่เข้ากันเท่าไหร่นัก
เมื่อถูกอาจารย์ประจำชั้นถาม เหล่าโล๋ไม่ได้ตอบอะไร
แต่เป็นมือเล็กๆ หยางหยางที่ดึงเสื้อเขาเบาๆ ทำให้เขารู้สึกตัว
และพยักหน้า :” ใช่ ผมเป็นผู้ปกครองของเป้หมิงหยาง ผมนามสกุลโล๋”
“เขาเป็นพ่อของผม” หยางหยางรีบช่วยพูดเสริม
ผู้ใหญ่และเด็กตรงหน้าช่วยกันตอบแบบไม่มีเหตุผล ทำให้ห้องทำงานเงียบไปชั่วขณะ
ความหมายของสองประโยคนี้ซับซ้อนพอสมควร
อาจารย์ประจำชั้นคนอื่นๆ ก็รู้สึกแปลกใจและมองมาตรงนี้เป็นตาเดียวกัน
ถึงแม้ในสังคมปัจจุบัน การที่พ่อแม่จะหย่าร้างและแต่งงานมีครอบครัวใหม่ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่สำหรับคนที่เป็นอาจารย์แล้ว ก็ยังคงเป็นการดำรงชีวิตที่แตกต่าง
อาจารย์ประจำชั้นชี้ปากกาแดงที่ใช้ตรวจการบ้านมาที่สองคนตรงหน้า : “พวกคุณเป็นพ่อลูกกัน?”
เหล่าโล๋พยักหน้า แต่ในใจพูดขอโทษเป่หมิงโม่เจ้านายของตัวเองเป็นหมื่นครั้ง ขอโทษ ฉันโดนบังคับ
หยางหยางกลับแสดงได้ดีกว่า นี่เป็นเพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับเป่หมิงโม่คุณลุงคนที่3ของตัวเอง
เขาทำสีหน้าท่าทางจริงจัง : “ใช่ มีปัญหาอะไรไหมครับ?”
อาจารย์ประจำชั้นทั้งรู้สึกโกรธและตลก : “คนหนึ่งนามสกุลโล๋ อีกคนนามสกุลฉี…”
“พ่อแม่ผมหย่ากัน” อาจารย์ประจำชั้นไม่ทันพูดจบ หยางหยางรีบแย่งพูดขึ้นมา
*
“ฮัดชิ้ว…” เป่หมิงโม่จามอย่างเสียงดัง
เขาวางปากกาในมือ และเงยหน้ามองออกไปดูวิวที่อบอุ่นนอกหน้าต่าง
ในห้องทำงานไม่ได้เปิดแอร์ แต่เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิและความชื้นที่กำลังดีภายในห้อง
หรือว่างช่วงนี้ทำงานหนักไปหน่อย?
*
อาจารย์ประจำชั้นฝืนพยักหน้า จากนั้นจึงเงยหน้ามองเหล่าโล๋ ด้วยท่าทีที่เธอเคยชินในการอบรมนักเรียน : “พวกคุณเป็นผู้ใหญ่…จะให้ฉันพูดยังไง เรื่องความรู้สึกของตัวเองวุ่นวายไปหมดไม่พอ ยังส่งผลกระทบกับเด็กอีก”
พูดพลางถอนหายใจ : “เฮ้อ…นี้คือความล้มเหลวของการศึกษา”
ถือได้ว่าอาจารย์ประจำชั้นของหยางหยางเป็นคนหนึ่งที่รับผิดชอบต่อหน้าที่
เรียกได้ว่า อาจารย์ที่มีอายุส่วนใหญ่จะมีความรับผิดชอบในภาระหน้าที่และความรับผิดชอบอยู่ในใจลึกๆ
ถึงแม้ในสังคมยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีข้อโต้แย้งที่มีอยู่เหมือนไม่มีนั้น : “การเรียนไม่จำเป็นต้องลำบากตากตำขนาดนั้นเพื่อให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ต่อให้เรียนดีก็สู้มีครอบครัวที่ดีไม่ได้”
แต่พวกเขาไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยปละละเลยนักเรียนแม้แต่คนเดียว
ตั้งแต่ที่หยางหยางย้ายมา อาจารย์ประจำชั้นคนนี้ก็เริ่มสังเกตเขาแล้ว และรับเขาเป็นนักเรียนของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยไม่เลือกปฏิบัติกับนักเรียนที่ย้ายโรงเรียนมา
ดีที่ตอนแรกเริ่มคะแนนของหยางหยางอยู่ในระดับทั่วไปแต่ก็ถือว่าซื่อสัตย์
แต่ช่วงนี้ในโรงเรียนมีข่าวลือต่างๆ แพร่กระจาย
แน่นอนว่าข่าวพวกนี้ออกมากปากของอาจารย์ท่านอื่นๆ ในห้องทำงานนี่แหละ
ข่าวประมาณว่า : ปัญหารักในวัยเรียนของนักเรียน โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงระดับมัธยมต้นหรือมัธยมปลาย
แต่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณภาพอาหารการกิน คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือคำแนะนำที่ไม่เหมาะสมจากสื่อต่างๆ ในสังคมปัจจุบัน ทำให้ช่วงอายุของนักเรียนที่มีรักในวัยเรียนเป็นกลุ่มที่มีอายุน้อยเพิ่มขึ้น
ต่อมาเป็นคำกล่าวหาจากอาจารย์ประจำชั้นของดาวโรงเรียน บอกว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตามจีบนักเรียนหญิงของเขาตั้งแต่เช้าจนค่ำ
จากคำอธิบายรูปร่างและส่วนสูง อาจารย์ประจำชั้นของหยางหยางก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนักเรียนของตัวเอง
ถึงแม้อาจารย์ประจำชั้นคนนั้นไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ก็ทำให้อาจารย์ที่รับผิดชอบคนนี้รู้เสียหน้าและเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง
เรื่องนี้ไม่ว่ายังไงก็ควรได้รับการแก้ไข
แน่นอน ภายใต้สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ หยางหยางบังเอิญถูกเด็กอ้วนคนหนึ่งเรียกออกไป และทำให้มาเข้าเรียนสาย อีกทั้งยังเหม่อลอยขณะเรียน แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับข่าวลือ
การเชิญผู้ปกครองถือเป็นบทลงโทษสำหรับหยางหยาง
แน่นอนการลงโทษเป็นเรื่องรอง การสอนให้รู้จักกลับเนื้อกลับตัวได้ทันเวลาเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุด
ในห้องทำงาน ยังมีอาจารย์ของห้องอื่นอยู่ด้วย ควรจะไว้หน้าเด็กและผู้ปกครองด้วยและรักษาหน้าตัวเองไว้ด้วย จึงไม่ได้พูดอะไรชัดเจนขนาดนั้น แต่หลังจากที่อาจารย์ประจำชั้นมองคุณหลายครั้ง ก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันว่าฉันคุ้นหน้าเหล่าโล๋น่ะ ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้คุณเรียนที่ไหน?”
ประโยคนี้ทำให้เหล่าโล๋อึดอัดแต่ก็ตอบไปตามตรง : “ผมเป็นคนท้องถิ่น ตอนเด็กๆเรียนที่โรงเรียนXX”
แววตาอาจารย์ประจำชั้นสว่างขึ้น : “คุณเรียนห้อง3ใช่ไหม?”
เหล่าโล๋พยักหน้าอย่างระมัดระวัง
อาจารย์ประจำชั้นให้มือนวดคิ้วที่ขมวดอยู่ และก้มหน้าคิดอะไรเล็กน้อย
นี้ทำให้หยางหยางและเหล่าโล๋มองหน้ากันอย่างไม่ตั้งใจ
หรือว่าอาจารย์คนนี้จะมีความสามารถขนาดนั้น เขาจำอาจารย์ทุกคนไม่ได้หรอก?
ทันใดนั้นเธอเงยหน้าขึ้นและพูดว่า : “คุณชื่อโล๋เซียวไหม”
ทันทีที่ได้ยินชื่อ เหล่าโล๋ก็รู้สึกโง่ขึ้นมาทันที
แต่หยางหยางกลับหัวเราะพร้อมโบกมือไปมา : “จำคนผิดแน่นๆ เลย พ่อผมชื่อโล๋เฟยไม่ใช่โล๋เซียว”
เขาพูดพลางมองไปที่เหล่าโล๋
ปฏิกิริยาของเขาบอกหยางหยางไปแล้วว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
ที่แท้ชื่อจริงของเหล่าโล๋คือโล๋เซียว
ช่วยไม่ได้ หยางหยางมองเหล่าโล๋แวบหนึ่ง : “แบบนี้ไม่ดีน่ะ”
“อะแฮ่ม…” อาจารย์ประจำชั้นส่งเสียงกระแอม
นี้ทำให้สิ่งที่หยางหยางกำลังจะพูดถูกกลืนกลับลงคอไป
โธ่เอ๊ย หยางหยางแอบปาดเหงื่อ อีกนิดเดียวก็โดนจับได้แล้ว
เหล่าโล๋มองอาจารย์ประจำชั้นอย่างรอบคอบอีกครั้ง เวลาผ่านไปเริ่มรู้สึกคุ้นหน้า : “คุณคือ…?”
“ไง…” อาจารย์ประจำชั้นยิ้มอย่างขมขื่น : “อาจารย์ประจำชั้นระดับประถมแบบเรา บางครั้งก็รู้สึกเศร้าน่ะ นักเรียนที่สั่งสอนมา6ปี ห่างหายไปเรียนระดับที่สูงขึ้นไปอีก3-4ปีแต่ยังเป็นความประทับใจของอาจารย์ที่ปรึกษา”
ประโยคนี้ดึงดูเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ในห้องนี้ให้ส่งเสียงฮือฮากัน : “ใช่ คุณว่าพวกเราเป็นอะไร? พวกเราเหนื่อยที่สุดตั้งแต่เริ่มแต่กลับมีไม่มีกี่คนที่จำเราได้”
……
นี้เหมือนเป็นการสร้างคลื่นนับพัน จนทำให้เริ่มมีเหงื่อที่หน้าผากเหล่าโล๋
เดิมทีคิดว่าจะโดนด่า รอให้อาจารย์ประจำชั้นอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยก็จบแล้ว ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนแบบนี้
พยายามคิดจนหัวแทบจะระเบิด แต่ก็มีแค่ความทรงจำที่เลือนรางเท่านั้น
หยางหยางหันไปมองเหล่าโล๋ ดูเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักแทนเขา
ในที่สุด ในสมองก็มีภาพแวบขึ้นมา ใบหน้าที่คิดหนักนั้นดูผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย
“คุณคือครูหลิวใช่ไหม?”
สีหน้าผิดหวังของอาจารย์ประจำชั้น ค่อยดูอบอุ่นขึ้นมาหน่อย
เธอพยักหน้า : “เหล่าโล๋ คิดออกแล้วสิน่ะ ฉันไม่เคยลืมคุณเลย”
ประโยคนี้ทำให้เหล่าโล๋รู้สึกเสียใจเล็กน้อย : “ต้องขอโทษจริงๆ ผมแทบจะลืมอาจารย์ไปแล้ว แต่อาจารย์ไม่เคยลืมผมเลย”
“จะลืมได้ยังไง โดยเฉพาะนักเรียนที่มีจุดเด่นแบบคุณ”
แววตาของหยางหยางส่องประกายขึ้นมาทันที การซุบซิบแบบนี้ถึงจะเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังคงน่าสนใจ
“อาจารย์ พ่อของผมเคยทำเรื่องอะไรไว้?”
ครูหลิวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ขยับตัวให้นั่งสบาย : “คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนั้นเหล่าโล๋เป็นเด็กว่าง่ายคนหนึ่ง การเรียนก็ดีมาก ตอนนั้นฉันมั่นใจว่าหลังจากนี้เขาต้องได้ดิบได้ดี…”
พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีกครั้ง : “โลกนี้ยากจะคาดเดา”
นี่ทำให้เหล่าโล๋รู้สึกอับอายอีกครั้ง
“ช่างเถอะ เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้ว วันนี้ที่เรียกคุณมาเพื่อจะปรึกษาปัญหาด้านการเรียนของนักเรียนเป้หมิงหยาง”
พูดไปพูดมาก็กลับมาที่ประเด็นสำคัญของวันนี้
“เหล่าโล๋ ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่พ่อของนักเรียนเป้หมิงหยาง แต่ในเมื่อคุณเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบในฐานะผู้ปกครอง คุณเคยเป็นนักเรียนของฉัน น่าจะรู้ว่าฉันเคยปฏิบัติกับคุณอย่างไร นักเรียนเป้หมิงหยางเป็นเด็กที่ฉลาด ดังนั้นประโยคหลังจากนี้ ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมาก”
หลังจากพูดจบครูหลิวจึงยกแก้วชาบนโต๊ะทำงานขึ้นมา
แน่นอนหยางหยางเป็นเด็กฉลาดมาก ประโยคที่พวกเขาพูดคุยกันหยางหยางเข้าใจทั้งหมด
ในใจรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที วันนี้ที่เรียกให้เหล่าโล๋มาเป็นเรื่องผิดอย่างยิ่ง ถ้าทำไม่ดีหลังจากนี้จะลำบากกว่าให้พ่อแท้ๆ ของตัวเองมาเสียอีก
เหล่าโล๋ก้มมองหยางหยาง ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นมาในเบื้องลึกของจิตใจ
เจ้านายปล่อยให้ตัวเองดูแลอาหารการกิน ชีวิตประจำวันของหยางหยาง ก็เหมือนกับให้ตัวเองช่วยดูแลเรื่องการเรียนด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ในที่สุดวันนี้ก็เข้าใจแล้ว
สำหรับเด็กแล้วเรื่องอะไรที่ทำให้เขารู้สึกปวดหัวมากที่สุด?
ไม่ใช่พ่อแม่ไม่ให้ตัวเองเล่น ไม่ใช่การบ้านที่ยังทำไม่เสร็จ ยิ่งไม่ใช่กิจกรรมต่างๆ มากมายที่ต้องร่วมพวก ชมรม หรือ กลุ่มพิเศษต่างๆ
มีประโยคหนึ่งที่เหมือนคำสาป : “อย่าปล่อยให้ลูกแพ้อยู่ที่จุดเริ่มต้น”
จริงแล้ว มีเด็กหลายคนถูกปล่อยให้ทิ้งไว้ที่จุดเริ่มต้นตั้งแต่เกิด ถึงขนาดที่ไม่สามารถไปไหนได้ตลอดชีวิต
แล้วจุดเริ่มต้นของชีวิตคืออะไร?
ถ้ามีจุดเริ่มต้น งั้นจุดสิ้นสุดล่ะอยู่ตรงไหน?
ยิ่งกว่านั้นการพุ่งไปยังจุดสูงสุดของชีวิตในอนาคตแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
หลังจากไปถึงจุดสูงสุด เท้าก็จะเหยียบอยู่ตรงหน้าผา ก้าวพลาดไปแค่ก้าวเดียวก็จะเสียใจไปตลอดชีวิ