เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 882 เกิดเป็นเงาของคนสามคน
บทที่ 882 เกิดเป็นเงาของคนสามคน
หยางหยางเดินมาหยุดอยู่หน้าจิ่วจิ่วแล้วพาดมือลงไปบนไหล่ของเธอเบาๆ “น้องไม่ต้องนับแล้ว อย่างไรก็นับได้ไม่ชัดเจน”
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาเฉิงเฉิงพลางเอ่ยว่า “ประกาศเตือนภัยระดับหนึ่ง พวกเราต้องเตรียมตัวรับมือกับสงครามแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้เฉิงเฉิงและจิ่วจิ่วงุนงงยากจะเข้าใจอยู่บ้าง
***
“หยางหยาง นายจะพูดทั้งหมดเลยไม่ได้หรือไงกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เตรียมทำสงครามอะไรกัน”
หยางหยางแสร้งทำท่าทางลึกลับ “ตอนนี้ที่ชั้นล่างมีคนคนหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเรา พวกเราต้องคิดแผนการรับมือขึ้นมา ถ้าหากเขาขึ้นมาแล้วพวกเราควรจะทำอย่างไร”
ข้างล่างมีคนคนหนึ่ง…….
แน่นอนว่าเฉิงเฉิงไม่รู้ว่าหยางหยางพูดถึงใคร เขาขมวดคิ้ว “ตอนนี้ที่ชั้นล่างมีคนทั้งหมดสองคน คนหนึ่งคือคุณแม่ อีกคนหนึ่งคือคุณป้าแอนนิ ไม่ว่าพวกเธอคนไหนล้วนไม่มีภัยคุกคามต่อฉันกับน้องสาวสักหน่อย แต่นายนั้นไม่เหมือนกัน หลายวันก่อนทำให้คุณแม่โกรธไม่น้อยเลย ฉันคิดว่านายควรจะคิดหาทางหนีทีไล่สักหน่อยจะดีกว่า”
หยางหยางโบกมือไปมา “ฉันไม่ได้กังวลเพราะคุณแม่สักหน่อย ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยถูกตี ชินไปนานแล้ว ฉันบอกว่าตอนนี้ที่ชั้นล่างมีคนมาอีกคนหนึ่ง” เขาพูดพลางชี้นิ้วไปที่บ้านพักที่ปานซานผ่านบานหน้าต่าง
เฉิงเฉิงแค่มองก็เข้าใจได้ในทันที สีหน้าเขาเปลี่ยนไป “นายหมายถึงคุณพ่อหรือ”
หยางหยางพยักหน้าอย่างจริงจัง “โชคดีที่ด้านล่างมีคุณแม่รับมืออยู่ คาดว่าคุณพ่อคงจะไม่บุกขึ้นมาที่ด้านบนหรอก”
“ไม่สามารถชะล่าใจได้ นิสัยของคุณพ่อนั้นฉันชัดเจนที่สุด เขาเห็นนายพาน้องสาวไปออกโทรทัศน์มาแล้ว ครั้งนี้ที่มาคาดว่าคงอยากมาตรวจสอบสถานการณ์ ดังนั้นพวกเราต้องเตรียมมาตรการสักหน่อยถึงจะดี”
หยางหยางขมวดคิ้ว นัยน์ตาเล็กๆกลอกไปมาแล้วก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ “ฉันคิดออกแล้ว!” จากนั้นก็เขยิบเข้ามากระซิบเสียงเบาข้างหูของเฉิงเฉิงหลายประโยค
เฉิงเฉิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
รอจนหยางหยางพูดจบแล้ว เขาก็โบกมือไปมาพลางเอ่ยว่า “แบบนั้นไม่ได้ จะทำได้อย่างไรกัน”
หยางหยางหัวเราะฮาๆพลางเอ่ยว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ทำตามวิธีการที่ฉันพูดเถอะ เริ่มเคลื่อนไหวได้!”
*
ชั้นล่าง เป่หมิงโม่นั่งอยู่ที่โซฟาตัวกลาง ฉิงฮัวยืมกุมมืออยู่ด้านข้างโซฟา กู้ฮอนนั้นนั่งกอดอกมองไปที่ชายหนุ่มผู้ยโสโอหังที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางรำคาญอย่างเห็นได้ชัด
“ฉัน ฉันจะไปชงน้ำชามาให้คุณนะคะ” เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แสนกระอักกระอ่วน แอนนิก็เลือกที่จะเลี่ยงออกไปหลบอยู่ในห้องครัว
ถึงอย่างไรทางหนึ่งก็เป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริง อีกทางหนึ่งก็เป็นเจ้านายของเจ้าของบ้าน ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ตัวเธอเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดทั้งนั้น
ในไม่ช้าเธอก็ยกถ้วยน้ำชามาวางบนโต๊ะน้ำชาสามใบ จากนั้นก็หลบออกไปอย่างรู้งาน
บุคคลทั้งสามที่อยู่ในห้องรับแขกนั้นชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง
เป่หมิงโม่มองข้ามแววตาที่กู้ฮอนใช้มองตัวเองไป พลางยืดตัวยกถ้วยน้ำชาที่อยู่ตรงกลางขึ้นมาถ้วยหนึ่ง จิบไปคำเล็กๆคำหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “อืม ชาหลงจิ่งซือเฟิงนี่รสชาติไม่เลวเลย ฉิงฮัว ความสามารถในการเลือกชาของนายเพิ่มสูงขึ้นแล้วสินะ”
ใบหน้าของฉิงฮัวยังคงแสดงออกอย่างสงบนิ่ง แต่ในใจของเขานั้นก็เหมือนกับกู้ฮอนที่รู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ
เมื่อได้ยินเจ้านายเอ่ยชื่นชมตัวเองแล้วก็รีบโค้งตัวลงเล็กน้อย “เจ้านายชมเกินไปแล้วครับ เรื่องเหล่านี้ก็แค่ได้เรียนมาจากการติดตามอยู่ข้างกายเจ้านายบ่อยๆครับ”
“ฉิงฮัว นายก็อย่ายืนอยู่เลย ไม่ต้องเอาสถานะในการทำงานระหว่างพวกเรามาถึงที่นี่ด้วย ที่นี่นายต่างหากที่เป็นเจ้าบ้าน” เป่หมิงโม่พูด ชี้นิ้วไปยังที่นั่งที่หนึ่งที่อยู่ใกล้กับตัวเอง
ฉิงฮัวพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับกู้ฮอนว่า “คุณผู้หญิง คุณก็นั่งเถอะครับ…..”
เอ่ยจบแล้วก็นั่งอยู่ตรงที่นั่งที่เป่หมิงโม่ชี้ พลางขยับถ้วยชาถ้วยหนึ่งไปเบื้องหน้ากู้ฮอน
กู้ฮอนพยักหน้าให้กับฉิงฮัวเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับเป่หมิงโม่อย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันคิดว่าครั้งนี้คุณคงไม่ได้แวะมานั่งพูดคุยเล่นง่ายๆแบบนั้นหรอกนะ”
***
เป่หมิงโม่นั้นเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำถามของกู้ฮอน จิบชาจากถ้วยชาที่อยู่ในมือของเขาต่ออีกคำหนึ่ง
สำหรับการกระทำแบบนี้ของเขา ทำให้ฉิงฮัวรู้สึกไม่แน่ใจ กู้ฮอนก็ยิ่งไม่แน่ใจมากยิ่งกว่า ดูภายนอกนั้นสงบนิ่งเป็นอย่างมาก แต่ใครจะรู้ว่าถัดไปในช่วงใดช่วงหนึ่ง เขาจะมีปฏิกิริยาอะไรออกมา
บรรยากาศเงียบสงบนั้นทำให้จิตใจและร่างกายของผู้คนผ่อนคลาย แต่ในเวลานี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น นี่เหมือนกับว่ามีดาบแหลมคมเล่มหนึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะของกู้ฮอน และไม่รู้ว่าจะร่วงลงมาเมื่อไร
ในที่สุด บรรยากาศเงียบขรึมนี้ก็ถูกเป่หมิงโม่ทำลายลง เขาค่อยๆวางถ้วยชาแล้วหันหน้าไปพูดกับฉิงฮัวว่า “ยินดีกับนายด้วยที่ในที่สุดก็ได้เป็นพ่อคนแล้ว ไม่รู้ว่าเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง อีกอย่างเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ฉันจึงไม่ทันได้เตรียมตัว รอพรุ่งนี้จะชดเชยให้นายก็แล้วกัน”
“เป็นเด็กผู้ชายครับเจ้านาย เจ้านายเกรงใจเกินไปแล้ว ที่ผมไม่ขาดตกบกพร่องอะไร ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินหรอกครับ ยิ่งกว่านั้นพวกเราก็ได้รับพระคุณจากเจ้านายมาเยอะมากแล้ว” ฉิงฮัวรีบโค้งกายมาด้านหน้า พลางโบกมือไปมา
“เด็กผู้ชายหรือ อ่อ แบบนั้นก็ดีจริงๆ คาดว่าหลังจากนี้จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถเหนือใครเหมือนกับนายอย่างแน่นอน”
“เจ้านาย ผมมีความสามารถอะไรกันครับ ไม่ใช่ว่าล้วนอาศัยคำเตือนคำแนะนำจากเจ้านาย……..”
กู้ฮอนที่อยู่ด้านข้างนั้นกลอกตามองบนใส่ชายหนุ่มวัยกลางคนสองคนยกยอปอปั้นกันและกันอยู่ตรงนั้น โดยมีท่าทางที่ไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากพูดคุยกันเป็นพิธีรีตองไปรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดเป่หมิงโม่ก็ลุกขึ้นยืน “นั่งนานขนาดนี้แล้วก็ควรจะลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวสักหน่อย ไม่สู้นายพาฉันชมบ้านของนายหน่อยเป็นอย่างไร”
ประโยคนี้ทำให้กู้ฮอนและฉิงฮัวตะลึงค้างไปแล้ว ตอนนี้จิ่วจิ่วก็อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย ถ้าหากว่าเขาเดินเยี่ยมชมล่ะก็ จะถูกเปิดเผยออกมาได้ง่ายๆ
แม้เขาจะรู้ถึงการคงอยู่ของจิ่วจิ่วแล้ว แต่ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ ก็ยังคงต้องยืนหยัดต่อไป
“คุณทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า นี่เป็นบ้านของผู้อื่น คุณก็เป็นเพียงแค่แขกคนหนึ่ง ดูเวลาตอนนี้สิ ภรรยาและลูกของผู้อื่นล้วนพักผ่อนกันแล้ว มีอะไรน่าเยี่ยมชมกัน” กู้ฮอนนั้นกำลังโกรธเป่หมิงโม่อยู่จริงๆ แม้ว่าตอนนี้เธอจะกังวลเล็กน้อย
เป่หมิงโม่ยังคงทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงของกู้ฮอนแล้วเดินไปตามห้องต่างๆที่อยู่ชั้นหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก
ฉิงฮัวก็ทำได้แค่เดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบๆ บางครั้งก็ยังแนะนำให้เจ้านายฟังด้วย
ผ่านไปชั่วครู่ เป่หมิงโม่ก็หมุนตัวเดินยังทิศทางของลิฟต์โดยสาร
นี่จะทำอะไรกัน หรือว่าเดินรอบชั้นหนึ่งทั้งหมดแล้วก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งความอยากเดินชมของเขาได้ จะต้องเดินชมมันทุกชั้นเลยหรืออย่างไร
ชั้นสองเป็นห้องนอนของพวกเขา ชั้นสามเป็นพื้นที่ของเด็กๆ ตอนนี้ไม่ว่าเด็กๆจะอยู่ที่ชั้นไหน เปอร์เซ็นต์ในการถูกเปิดโปงก็สูงเป็นอย่างมาก
แต่ในตอนนี้จะทำอย่างไรได้ หรือว่าจะจับแขนเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเพื่อไม่ให้เขาขึ้นไปชั้นบนอย่างนั้นหรือ ความคิดนี้เป็นความคิดของคนปัญญาอ่อนที่เพ้อฝัน เป็นไปไม่ได้เลยสักนิด
หรือว่าจะต้องเสียสละเรือนร่างของตัวเองสักเล็กน้อยเพื่อดึงให้เขาออกไปจากบ้านหลังนี้กัน ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น เธอคาดว่าเป่หมิงโม่จะต้องยอมอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาไม่ยอมออกไปแล้วให้ฉิงฮัวหลบเลี่ยงไปแทน จากนั้นก็กินตัวเองที่นี่ กระทั่งกระดูกก็กินไม่ให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วก็ลูบริมฝีปากกระทำการ ‘กวาดล้าง’ ที่เขายังทำไม่สำเร็จต่อไป
กู้ฮอนเดินตามอยู่ด้านหลังพวกเขา คิ้วขมวดเป็นปมแน่น นี่ล้วนเป็นความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระทั้งนั้น ในตอนนี้เธอนั้นมีความคิดที่ขัดแย้งกันภายในตัวเองแล้วจริงๆ
เธอเกือบจะมองเห็นถึงภาพที่เป่หมิงโม่พาจิ่วจิ่วไปต่อหน้าต่อตาตัวเองได้……
***
ในที่สุด ทั้งสามคนก็เบียดกันอยู่ในลิฟต์โดยสารตัวหนึ่ง เป่หมิงโม่ยืนอยู่ตรงกลาง กู้ฮอนและฉิงฮัวขนาบอยู่ด้านข้างเขาคนละข้าง
ตอนที่ฉิงฮัวกำลังเตรียมจะกดปุ่มเลือกชั้นนั้นก็ถูกเป่หมิงโม่หยุดเอาไว้ “ชั้นสองเป็นชั้นที่พวกนายพักผ่อนกันสินะ อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดูแล้ว ตรงไปที่ชั้นสามเลยก็แล้วกัน ฉันอยากจะไปดูที่นั่น”
หมายความว่าอย่างไรกัน กู้ฮอนเริ่มสวดภาวนากับตัวเองเงียบๆ หยางหยางนั้นไปส่งข่าวให้กับเฉิงเฉิงและจิ่วจิ่วแล้ว
ให้ดีที่สุดคือเด็กๆแอบอยู่ที่ชั้นสอง แบบนี้พอเขาไปที่ชั้นสามก็ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง และก็จะไม่ย้อนกลับไปที่ชั้นสองเพื่อค้นหาเป็นรอบที่สองแล้ว
สำหรับจิ่วจิ่วนั้น แน่นอนว่าสามารถยืดระยะเวลาได้หนึ่งวันก็ยืดอีกหนึ่งวัน แบบนี้จะทำให้ตัวเองสามารถคิดหาวิธีมารับมือได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ได้จริงๆล่ะก็ปั้นน้ำเป็นตัวแล้วพาลูกๆทั้งสามคนหนีไปจากที่นี่ด้วยกันเสียเลย
ลิฟต์ค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นไปสู่ชั้นสาม ประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก เป่หมิงโม่นั้นเดินนำออกไปก่อน ฉิงฮัวและกู้ฮอนนั้นยืนสบตากันอยู่ข้างหลังเขาแล้วก็เดินตามออกไป
คาดว่าความคิดของฉิงฮัวก็คงจะไม่ต่างกับกู้ฮอนนัก
เมื่อทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นที่ห้องใต้หลังคาชั้นสาม พวกเขาก็หยุดฝีเท้าในทันที
เป่หมิงโม่ขมวดคิ้วน้อยๆ กู้ฮอนและฉิงฮัวที่เดินตามอยู่ด้านหลังตาเบิกโต
เพราะว่าด้านหน้าของพวกเขา มีเงาร่างของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง……
“พวกลูกกำลังทำอะไรกัน” ตอนนี้เองที่เป่หมิงโม่เอ่ยพูด ฟังดูแล้วอารมณ์ของเขาไม่ค่อยจะดีอย่างเห็นได้ชัด
เพราะเขาเห็นว่าเด็กผู้ชายคนนั้นคือหยางหยาง เพราะมีเพียงแค่เขาที่จะสามารถสวมอะไรแปลกประหลาดได้ อีกทั้งเด็กผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาคนนั้น……
เงาด้านหลังดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนกับตอนแรกที่เห็นในโทรทัศน์สักเท่าไร ดูเหมือนว่าเงาร่างจะไม่เล็กเลย……
เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยถาม เดิมร่างเล็กๆของหยางหยางที่หันหลังให้กับทางเข้าก็สั่นเล็กน้อย พลางหันหน้ากลับมามอง “คุณแม่ คุณพ่อ พวกคุณมาได้อย่างไรครับ”
“หยางหยาง ลูกใส่ชุดสไปเดอร์แมนทำไมกัน เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” ไม่ต้องรอให้เป่หมิงโม่อ้าปาก กู้ฮอนก็แย่งพูดไปก่อนแล้ว
“ฮิฮิ คุณแม่ทายสิครับ ทายถูกมีรางวัลนะ” หยางหยางจงใจสร้างปริศนาขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าทางของหยางหยางแล้ว กู้ฮอนก็โล่งใจขึ้นมาในทันที แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงมีแววเข้มงวดอยู่ ไม่อาจให้เป่หมิงโม่ค้นพบข้อบกพร่องอะไรได้
“เดาอะไรกัน รีบหันหน้ามาหาแม่เลยนะ”
“เฉิง เป็นลูกหรอกหรือ” เป่หมิงโม่นั้นตกตะลึงอยู่บ้างจริงๆ เพียงแต่เขาตัดสินได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างกายหยางหยางตอนออกโทรทัศน์นั้นเป็นคนละคนกัน
“เฉิงเฉิงลูกรัก ลูกกับหยางหยางกำลังทำเรื่องอะไรกันอยู่ เขาบ้าแล้วทำไมลูกถึงได้บ้าตามเขาล่ะ” กู้ฮอนแสร้งทำเป็นตกใจพูดแล้วรีบเดินเข้าไป
“พวกเราแสดงศิลปะการแสดงที่โรงเรียนในครั้งที่แล้วได้ดีมากไม่ใช่หรือครับ ครั้งนี้คุณครูให้พวกเราแสดงอีกหนึ่งรายการ หยางหยางก็คิดถึงเรื่องในภาพยนตร์แบบนั้น แสดงเรื่องของสไปเดอร์แมน” เฉิงเฉิงเอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเป่หมิงโม่พลางเอ่ยเรียก “คุณพ่อ”
เป่หมิงโม่พยักหน้าคิ้วขมวด เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า ลูกชายที่ตัวเองสั่งสอนมากับมือ เพิ่งจะมาอยู่กับคุณแม่สั้นๆได้ไม่กี่วันนั้นใกล้จะเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อนแล้วล่ะก็ เฉิงเฉิงจะไม่ยินยอมแต่งกายแบบนี้แน่นอน
เขาคิดถึงตรงนี้แล้ว สายตาก็กวาดมองไปรอบๆด้านครู่หนึ่ง จากนั้นนัยน์ตาก็หรี่ลงเล็กน้อย “นั่นคืออะไร”
**