เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 886 เสียงร้องโหยหวนยามค่ำคืน
บทที่ 886 เสียงร้องโหยหวนยามค่ำคืน
เพียงแต่สายตาเย็นยะเยือกนั้นไม่ได้สร้างเงามืดในจิตใจหรือทำร้ายอะไรต่อหยางหยาง เขาในตอนนี้ก็คือตอนที่หยางหยางพึงพอใจ
ในตอนนี้กู้ฮอนก็รีบจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย เมื่อเห็นหน้าของลูกๆแล้วก็รู้สึกอายอยู่บ้าง
“หยางหยาง นายอยู่ที่นี่ ฉันจะไปดูคุณพ่อ” สุดท้ายเฉิงเฉิงก็ยังคงเป็นห่วงเป่หมิงโม่เล็กน้อย เขารู้ว่าตอนนี้คุณพ่ออารมณ์ไม่ดี
วันนี้หยางหยางทำเรื่องดีๆของคุณพ่อพัง รอผ่านไปสักสองสามวัน หยางหยางก็จะกลับไปกับคุณพ่อ ถึงตอนนั้นก็ยากจะพูดได้ว่าคุณพ่อจะนึกถึงเรื่องในวันนี้แล้วจัดการเขาสักรอบหรือไม่
เฉิงเฉิงหมุนตัวตามออกไป
ภายในห้องใต้หลังคาเหลือเพียงแค่กู้ฮอนและหยางหยาง สองแม่ลูก และเบลล่า
“ฮิฮิ คุณแม่ พวกเรามาได้ทันเวลาสินะครับ ไม่อย่างนั้น ก็ยากจะรับประกันได้ว่าพวกคุณแม่จะเพิ่มน้องชายหรือน้องสาวอีกคนหนึ่งให้พวกเราหรือไม่” หยางหยางกอดอก กระพริบตาปริบๆรอคุณแม่ชื่นชม
“ใช่แล้ว ดีจริงๆที่มีลูก แม่ควรจะขอบคุณลูกดีๆสักหน่อย” กู้ฮอนมองบน เดินมาถึงข้างกายลูกชายด้วยท่าทางใจดี
ในใจหยางหยางก็ดีใจ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม มือโบกไปมา “ฮิฮิ คุณแม่ ที่จริงแล้วความต้องการของผมก็ไม่ได้เยอะมาก รอคุณพ่อไปแล้ว ก็ทำอาหารอร่อยให้ผมกินเยอะหน่อยก็ได้แล้ว……โอ๊ย……..”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ร้องโหยหวนออกมา “คุณแม่ คุณแม่เบามือหน่อยครับ…….”
เห็นเพียงแค่กู้ฮอนยื่นมือออกมาข้างหนึ่งบิดใบหูของหยางหยางอย่างแรง
“พูด อะไรที่เรียกว่า ‘สุนัขเฝ้ากระดูก’ แม่เหมือนกับกระดูกมากอย่างนั้นหรือ”
หยางหยางบิดศีรษะ ใบหูถูกบิดจนเจ็บจริงๆ น้ำตาเกือบจะหล่นลงมาอยู่แล้ว “โอ๊ยๆ เจ็บจะตายแล้ว คุณแม่ ปล่อยมือเร็วเข้า คุณแม่กำลังเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล มีเรื่องก็เรียกให้ช่วยเหลือ พอหมดเรื่องแล้วก็ไม่สนใจ พอข้ามแม่น้ำได้ก็รื้อสะพานทิ้ง โอ๊ย……..”
กู้ฮอนแอบหัวเราะในใจเมื่อเห็นท่าทางขอให้ไว้ชีวิตของหยางหยาง แต่ยังคงแสดงท่าทางว่าโกรธมากอยู่ “ดี เจ้าเด็กนี่ เรียนรู้ที่จะด่าคนโดยไม่ใช้คำหยาบตั้งแต่เมื่อไรกัน ดูสิว่าแม่จะจัดการกับลูกอย่างไร”
“คุณแม่ครับ ไว้ชีวิตด้วยครับ เมื่อครู่เพื่อช่วยคุณแม่ออกจากปากเสืออย่างคุณพ่อถึงได้พูดแบบนั้นไม่ใช่หรือครับ ไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ ปล่อยผมเถอะนะ…….”
***
เสียงโอดครวญขาดๆหายๆของหยางหยางลอยมาจากห้องใต้หลังคาดังอยู่ในพื้นที่เงียบสงบ
บุคคลที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนมีหน้ามีตา หลังจากยุ่งวุ่นวายกับการทำงานช่วงเวลากลางวันแล้ว ก็มักจะเดินเล่นไปบนเส้นทางที่ปูด้วยหินภายใต้แสงไฟนวลสว่างยามค่ำคืน
แน่นอนว่ามีเด็กๆที่พาสัตว์เลี้ยงของพวกเขามาด้วยไม่น้อย
หลังจากที่พวกเขาได้ยินเสียงร้องที่มาอย่างขาดๆหายๆแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ร่างเล็กๆนั้นสั่นเทาอย่างอดไม่ได้
เด็กเหล่านี้ล้วนคาบช้อนทองมาเกิด ล้วนถูกพ่อแม่ประคองเป็นของล้ำค่าในฝ่ามือ ไม่ต้องพูดถึงการตีเลย แค่ถูกพูดด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อยก็สามารถร้องไห้กระซิกๆได้ทั้งวันแล้ว
แน่นอน ภายในห้องของลั่วเฉียวที่อยู่ใกล้ห้องใต้หลังคามากที่สุดก็ได้ยินเช่นกัน อีกทั้งเสียงก็ดังมากกว่าเล็กน้อย
จิ่วจิ่วเงยหน้ามองเพดานห้อง จากนั้นก็เอ่ยกับแอนนิอย่างขลาดๆว่า “คุณป้าแอนนิ พี่หยางหยางเป็นอะไรไปหรือคะ ทำให้คุณแม่โกรธมากขนาดนี้เลย”
ลั่วเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางส่งสายตาให้ฉิงฮัว ฉิงฮัวก็เข้าใจรีบปิดหน้าต่างให้แน่นขึ้นในทันที ในวันที่อากาศร้อนจัด ผู้ใหญ่สามคน และเด็กอีกสองคนอัดกันอยู่ในห้องห้องหนึ่ง
ในวันที่อากาศร้อนจัดนั้น เวลายาวนานเล็กน้อยก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว ผู้ใหญ่ยังพอไหวอยู่ แต่ทารกที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานนั้นทนไม่ไหว ศีรษะเล็กๆนั้นขยับเล็กน้อย มือและเท้าก็เริ่มเคลื่อนไหวไปมา
ลั่วเฉียวเห็นลูกเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสาร เธอกระพริบตาปริบๆ หันไปมองแอนนิ พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกับว่ากำลังขอร้องแต่ก็ออดอ้อนว่า “สงสารเจ้าตัวน้อยของพวกเราหน่อยเถอะ ช่วยให้สองแม่ลูกด้านบนหยุดสงครามเสียที แม้ว่าจะแค่ครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ให้พวกเราระบายอากาศหน่อย”
แอนนิเพิ่งจะมองจิ่วจิ่ว ลั่วเฉียวก็รีบแย่งพูดว่า “เธอวางใจเถอะ จิ่วจิ่วฝากไว้ที่พวกเรา รับประกันได้เลยว่าจะไม่มีเรื่องอะไร แม้ว่าเป่หมิงโม่คนนั้นจะบุกเข้ามาแย่งคน ฉันก็จะปกป้องเธอสุดชีวิต แม้ว่าเขาจะแย่งลูกของฉันไปเพื่อเป็นการบีบบังคับ แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น……”
ฉิงฮัวฟังถึงตรงนี้แล้วคิ้วของเขาก็กระตุกเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่ สายตาเบนไปมองร่างของลั่วเฉียวในทันที
สายตาแบบนั้น กลัวว่าจะได้ยินประโยคเช่น แม้ว่าจะเอาลูกของตัวเองมาขู่กรรโชก ลั่วเฉียวก็จะไม่ถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว อะไรแบบนี้ออกมา
แม้ว่าเป่หมิงโม่จะเป็นเจ้านายของเขา แต่สำหรับปัญหาเรื่องนี้นั้น ฉิงฮัวนั้นก็ยังเลือกได้ยากมากว่าจะปฏิบัติตามหรือว่าต่อต้านดี
ลั่วเฉียวพูดถึงตรงนี้แล้วก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหันแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “ฮิฮิ ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ฉันก็ทำได้เพียงแค่มอบจิ่วจิ่วออกไปแล้ว ดังนั้น ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจเลือกผิดพลาด แอนนิ เธอรีบไปสงบสงครามด้านบนเร็วเข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ แอนนิก็ยังไม่พูดอะไร แต่จิ่วจิ่วนั้นรู้สึกผิดหวังก่อนแล้ว เธอเบะปาก “คุณป้าเฉียวเฉียว คุณป้าไม่ชอบหนูหรือคะ ถึงจะโยนหนูออกไป……” พูดไปพูดมา หยาดน้ำตาก็เริ่มรินไหล
ลั่วเฉียวเห็นว่าจิ่วจิ่วจะร้องไห้แล้วก็รีบโบกมือให้เธอ พลางอธิบายว่า “ทารกน้อย ไม่ใช่ว่าป้าเฉียวเฉียวไม่ต้องการหนูนะ เพียงแต่ว่าหนูดูสิ น้องชายยังเล็กขนาดนี้ เขาจำเป็นต้องให้ป้าดูแลมากกว่าใช่หรือไม่”
จิ่วจิ่วเหมือนจะเข้าใจความหมาย เธอยกมือปาดน้ำตา พยักหน้า พูดถึงเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อยว่า “หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณป้าเฉียวเฉียว” จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับแอนนิว่า “คุณป้าแอนนิ คุณป้ารีบขึ้นไปเถอะค่ะ หนูไม่อยากถูกพ่อพาตัวไป…….”
ในเวลาเดียวกันที่โซฟาห้องรับแขกบริเวณชั้นหนึ่ง เป่หมิงโม่นั่งบนโซฟาอีกครั้ง แต่คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาไม่ใช่ฉิงฮัวแต่เป็นเฉิงเฉิง
***
เป่หมิงโม่กับเฉิงเฉิงไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรต่อเสียงร้องโหยหวนที่ลอยมาจากด้านบน
“เฉิง มานั่งข้างๆพ่อ” เป่หมิงโม่เอนพิงโซฟา สีหน้านิ่งเรียบมาก
นี่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ตัวเองให้ลูกชายมานั่งกับตัวเอง นี่ทำให้เฉิงเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพียงแต่ว่าเขาก็ยังคงไปนั่งข้างๆคุณพ่ออย่างเชื่อฟัง
“แม่ของลูกไม่อยากให้พ่อเจอน้องสาวขนาดนั้นเลยหรือ”
เฉิงเฉิงหันหน้ามามองคุณพ่อ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า น้ำเสียงของคุณพ่อแฝงไปด้วยความผิดหวังและจนปัญญา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความหวังแฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย
เขาไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่ถามเป่หมิงโม่กลับคำถามหนึ่งว่า “คุณพ่อ ผมอยากรู้ว่า ตอนแรกทำไมคุณพ่อต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณแม่ พาหยางหยางไปจากข้างกายเธอ”
เป่หมิงโม่นั่งตัวตรง หันหน้าไปมองลูกชายครู่หนึ่งแล้วก็หันกลับมา มือประสานกันอยู่บริเวณหน้าท้อง นิ้วโป้งทั้งสองข้างถูไปมาไม่หยุด
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็เอ่ยตอบออกมา “เอาหยางหยางกลับคืนมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของพ่อในตอนนั้น เพียงแต่ว่า ตอนแรกเริ่มนั้นพ่อคิดว่าจะต้องทำแบบนี้”
เมื่อได้รับคำตอบแล้ว หยางหยางก็ดูเหมือนว่ายังคงไม่ค่อยเข้าใจ “คุณพ่อ ผมมองออกว่า นับตั้งแต่คุณแม่ปรากฏตัวขึ้น คุณพ่อก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม”
เป่หมิงโม่ได้ยินความคิดเห็นที่ลูกชายมีต่อตัวเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เขานั่งตัวตรง หันไปมองเฉิงเฉิง “พูดมาสิว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง”
เฉิงเฉิงมองคุณพ่อ อยากจะอ้าปากพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
เป่หมิงโม่มองเขา มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “ทำไม อยู่ต่อหน้าพ่อแล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรใช่หรือไม่”
เฉิงเฉิงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ส่ายหน้าในทันที “คุณพ่อ นับตั้งแต่ผมเกิดมา ก็ไม่เคยได้อยู่ด้วยกันกับคุณแม่ อยู่กับคุณพ่อมาตลอด สำหรับคุณแม่ ผมไม่ได้รับรู้ความรู้สึกใดๆ แต่สำหรับคุณพ่อนั้น ผมกลับรับรู้ได้อย่างมากมาย ก่อนที่คุณแม่จะปรากฏตัวขึ้นนั้น คุณพ่อทำงานยุ่งมาโดยตลอด ไม่ว่ากับใคร แม้กระทั่งคุณปู่ก็ไม่เคยยิ้มให้แม้แต่น้อย แต่นับตั้งแต่คุณแม่ปรากฏตัวขึ้นมา ผมพบว่าบนใบหน้าของคุณพ่อเริ่มมีรอยยิ้มบ้างแล้ว แม้จะน้อยมาก แต่ก็ยังมี ผมรู้ว่า ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่เกิดเรื่องขึ้นมากมายที่ไม่อยากให้ผมกับหยางหยางรู้ แต่นับตั้งแต่คุณแม่ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลานั้น พวกเราก็ยากที่แยกจากกันแล้ว ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็มักจะลากพวกคุณพ่อคุณแม่มาติดต่อกัน แต่ว่าอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ก็ต้องแยกกันเพราะเหตุผลเยอะแยะมากมาย แต่ในฐานะที่เป็นลูก ผมกลับไม่อยากเห็นคุณพ่อกับคุณแม่เป็นแบบนี้ต่อไปอีก”
เป่หมิงโม่ฟังจบแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็ยกมือวางลงบนไหล่เล็กของเฉิงเฉิงเบาๆ “เฉิง ลูกพูดไม่ผิดเลย ก่อนที่พวกลูกจะเกิด พ่อกับแม่ของลูกก็ได้เริ่มต้นกันครั้งหนึ่ง ถัดมาก็มีความเข้าใจผิดครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีการที่พ่อแย่งหยางหยางไปจะเป็นความคิดที่อยากยุติความผิดพลาดอย่างหนึ่ง แต่กลับสร้างความผิดพลาดมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า…….”
“คุณพ่อ คุณพ่อหมายความว่า การปรากฏตัวขึ้นของผม หยางหยาง กระทั่งจิ่วจิ่วล้วนเป็นความผิดพลาดหนึ่งหรือครับ” คำถามแบบนี้ เฉิงเฉิงไม่อยากถามออกมาเลยจริงๆ แต่เขากลับอดไม่ได้
เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวเอง หยางหยาง หรือว่าจิ่วจิ่วล้วนมีสิทธิ์ที่จะได้รู้ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังเด็ก แต่พวกเขาก็เป็นถึงผู้เกี่ยวข้อง
***
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามแบบนี้ของลูกชาย คิ้วของเป่หมิงโม่ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกเบาๆ ถัดมาก็ส่ายหน้าให้กับเฉิงเฉิง “ไม่ใช่ นับตั้งแต่ที่พวกลูกปรากฏตัวขึ้นมา พ่อก็ยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดพลาด อย่างน้อยพวกลูกก็ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นของขวัญ เป็นของขวัญที่งดงามอย่างหนึ่ง”
เมื่อครู่นี้เฉิงเฉิงยังรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของคุณพ่อแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้ามา
เขาเหลือบตาขึ้นมองคุณพ่อของตัวเอง ในนัยน์ตาไม่ใช่ความเย็นชาเหมือนในอดีตอีกแล้ว อ่อนโยนมาก เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ยากจะได้เห็น
“คุณพ่อ ถ้าอย่างนั้นตอนแรกที่คุณพ่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณแม่ แย่งหยางหยางไปจากมือเธอ เป็นเพราะอะไรหรือครับ”
เป่หมิงโม่หันหน้าไปยิ้มอย่างขื่นๆ “บางเรื่อง ในหลายๆครั้งก็เพิ่งจะรู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างหนึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องไปนานแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ลูกพูดนั้น เพียงแต่ว่าในภายหลัง พ่อยังคงตัดสินใจคืนลูกให้กับเธอคนหนึ่ง แน่นอน นี่ไม่ได้รับการยอมรับจากลูกก็ส่งลูกไปแล้ว”
“คุณพ่อ ผมดีใจมากที่คุณพ่อตัดสินใจแบบนี้” ตอนที่เฉิงเฉิงเอ่ยถึงตรงนี้ แววตาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
“ทำไม เป็นเพราะรู้สึกว่าตั้งแต่เล็กจนโต พ่อตั้งเงื่อนไขที่เข้มงวดกับลูกมากมาโดยตลอดใช่หรือไม่ กระทั่งสามารถพูดได้ว่าน่าเบื่อหน่าย ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของลูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ตอนที่เป่หมิงโม่พูดเรื่องเหล่านี้ ฟังแล้วดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนบทสนทนาระหว่างคุณพ่อกับลูกชาย เหมือนกับบทสนทนาระหว่างเพื่อนคุยกันมากกว่า
ถ้าหากว่าเป็นแต่ก่อน เฉิงเฉิงจะไม่พูดคำพูดที่เก็บอยู่ในท้องเหล่านี้ให้คุณพ่อฟังอย่างเด็ดขาด เพราะว่าปกติแล้วความรู้สึกที่คุณพ่อให้กับตัวเองคือความน่าเกรงขาม ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาคัดค้าน