เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 911 พ่อที่ล้มเหลว
บทที่ 911 พ่อที่ล้มเหลว
เจ้านายทั้งสองยืนขวางอยู่ที่ประตู ทำให้เขาผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องยืนอยู่หน้าประตูไม่สามารถเข้าไปได้…
ภายในบ้านมีภรรยาที่เพิ่งคลอดลูก และยังมีลูกที่ร้องไห้เพราะความหิวอีกด้วย
“คุณผู้หญิง เจ้านาย พวกคุณให้ผมเข้าไปก่อนได้หรือเปล่า…” ในที่สุดฉิงฮัวรวบรวมความกล้าและพูดออกมา
เป่หมิงโม่ถอนมือที่จับตรงขอบประตูกลับมา ปล่อยให้เป็นช่องว่างสำหรับคนๆหนึ่งเดินผ่านไปได้พอดี
กู้ฮอนเองก็หลบไปยังด้านข้าง
เพียงแต่ว่า ครั้งนี้เป่หมิงโม่ไม่ได้ขวางอยู่ที่ประตูอีกแล้ว เพียงแค่เอนพิงกำแพงเล็กน้อย สองมือกอดอกพลางมองไปยังกู้ฮอน
สำหรับคำตอบของเป่หมิงโม่ เธอไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ
ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็เป็นเพียงความคิดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น เพราะว่าในเวลานั้นเธอคิดเพียงแค่อยากจะให้เด็กๆอยู่กับตัวเอง
เขาสามารถพบเด็กๆได้โดยชอบธรรม นั่นหมายความว่า ในตอนที่ตนเองไปทำงานช่วงกลางวัน เขาอาจจะเป็นคนว่างงานคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นบ้านของฉิงฮัวเสียอีก ฉิงฮัวไม่สามารถห้ามไม่ให้เขามาได้
ในตอนที่ตนเองไม่ได้อยู่กับเด็กๆช่วงกลางวัน เขาสามารถอยู่กับพวกเด็กได้ตลอดทั้งวัน ถึงแม้ว่าตนเองจะเลิกงานแล้ว เขาก็ยังสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างถูกต้องและเปิดเผย จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาต้องการจะพักผ่อน
เช่นนี้แล้วเด็กๆก็จะอาศัยอยู่กับตนเองแค่เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป่หมิงโม่ใช้เวลาอยู่กับเด็กๆมากกว่าตนเองเสียอีก
วันหนึ่งที่มียี่สิบสี่ชั่วโมง ตนเองมีเวลาอยู่กับลูกๆเพียงครึ่งวันเท่านั้น หรืออาจจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในสามของวันด้วยซ้ำไป
***
แสงไฟในห้องรับประทานอาหารของคฤหาสน์ตระกูลฉิง สว่างไสวอย่างมาก ผ้าปูโต๊ะสีขาวบริสุทธิ์ลายดอกไม้ที่ปักด้วยเส้นไหมปูคลุมทั้งโต๊ะ
ภายในจานสีขาวอันสวยงามวิจิตรอุดมไปด้วยอาหารสเลิศร้อนๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย
เก้าอี้พนักสูงเจ็ดตัวถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยทั้งสองข้าง
ด้านหนึ่งมีฉิงฮัวนั่งอยู่หัวแถว ตามด้วยลั่วเฉียวและแอนนิ แน่นอนว่ามีทารกแรกเกิดตัวน้อยๆอยู่ในอ้อมแขนของลั่วเฉียว
อีกด้านหนึ่งนำด้วยเป่หมิงโม่ ข้างๆคือกู้ฮอน
และที่นั่งอิงแอบอยู่กับเธอ เป็นจิ่วจิ่วที่แอบชำเลืองมองไปทางเป่หมิงโม่ในบางเวลา และมีเฉิงเฉิงที่นั่งตัวตรงเป็นพิเศษ และหยางหยางที่กำลังนั่งจ้องน่องไก่ด้วยแววตาที่ลุกโชน
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก
ลั่วเฉียวที่อุ้มทารกน้อยอยู่ เธอใช้แขนสะกิดสามีที่นั่งอยู่ข้างๆเบาๆ จากนั้นจึงส่งสายตาให้เขาไปหนึ่งครั้ง
เพียงแต่ว่าฉิงฮัวที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าของบ้านคนนี้ กลับดูระแวดระวังเสียยิ่งกว่ากู้ฮอนเสียอีก แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในเจตนาบางอย่างของภรรยา
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มทักทายทุกคน : “โอ้ ทุกคนมากินข้าวกันเถอะ”
เพียงแต่ทว่าคำพูดนี้จบลง ก็กลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
คราวนี้สายตาของทุกคนล้วนแต่จับจ้องอยู่บนตัวของฉิงฮัว มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถขยับตะเกียบก่อนในฐานะหัวหน้าครอบครัว แล้วคนอื่นๆจึงสามารถเคลื่อนไหวได้
สิ่งนี้นับว่าเป็นมารยาทและกฎเกณฑ์ชนิดหนึ่ง
“พวกเราจะกินได้ยังไงถ้าคุณไม่ขยับตะเกียบสักที ตางั่ง” ลั่วเฉียวเตือนเขาเสียงเบา
จากนั้นฉิงฮัวจึงได้สติ ภายในห้องนี้เขาเป็นผู้มีสถานะสูงสุด แต่เพราะในความเป็นจริงเขาใช้เวลากับเจ้านายมานานเกินไป ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องให้เจ้านายเป็นคนเริ่มก่อน ตนเองเพียงแค่ทำตามเท่านั้น
ตอนนี้ปล่อยให้ตัวเองทำก่อน ยังรู้สึกปรับตัวไม่ได้จริงๆ
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบผักชิ้นเล็กๆลงในชามข้าวของภรรยา นี่จึงถือว่าได้เริ่มต้นมื้อค่ำอย่างเป็นทางการ
พวกผู้ใหญ่ต่างพากันเริ่มขยับตะเกียบ หยางหยางยอมตามหลังได้ที่ไหนกัน เขารีบคีบน่องไก่ที่มองน้ำลายยืดอยู่นานทันที
แล้วยังมีเสียงของถ้วยชามกระเบื้องกระทบกันเบาๆจนเกิดเสียง “ปึกๆๆๆ” เป็นครั้งคราว
เป่หมิงโม่กินอาหารอย่างสง่างาม แต่กู้ฮอนที่อยู่ข้างๆดูเหมือนจะไม่มีความอยากอาหารเลย ถึงแม้ว่าเธอจะยุ่งมาทั้งวัน และตอนที่กลับบ้านท้องยังร้องโครมคราม
แต่หลังจากที่มีเป่หมิงโม่มาอยู่ข้างกายในตอนนี้ กลับไม่มีความอยากอาหารใดๆเลย ในใจของเธอคิดถึงแต่เรื่องบัญชีความแค้นที่ไม่ยุติธรรมของกันและกันอย่างไม่หยุด
“คุณแม่ น้องสาว วันนี้คุณป้าแอนนิทำอาหารได้ในมาตรฐานที่ยอดเยี่ยมมาก พวกแม่เอาแต่นิ่งอึ้งไม่กินได้ยังไงครับ?” หยางหยางถือน่องไก่ไว้ในมือ ในปากมันเยิ้มไปด้วยน้ำมัน
กู้ฮอนได้สติคืนมาอย่างรวดเร็ว เธอหันไปมองเด็กหญิงตัวเล็กๆที่อยู่ข้างๆ และมองไปที่ใบหน้าเล็กๆที่กำลังประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวร่วมกับพ่อ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเงามืดที่แม่ได้ปลูกไว้ในใจของหนูน้อยยังไม่ถูกกำจัดออกไป
“ลูกน้อยจ๋า ไม่ต้องกลัวหรอกนะ แม่คอยอยู่ข้างๆหนูนะจ๊ะ”
เมื่อได้ยินกู้ฮอนปลอบโยนลูกสาวตัวน้อยของตนเอง เป่หมิงโม่ที่ใช้ตะเกียบคีบอาหารอยู่ก็ชะงักลงไปเล็กน้อย ฟังยังไงมันก็ไม่รื่นหูเอาเสียเลย ราวกับว่าเขาไม่ใช่คนดียังไงยังงั้น
แต่ทว่า ในไม่ช้าจิตใจที่ไม่สงบนี้ก็ถูกคำกล่าวประเภทที่ว่า “ลูกยังเล็ก ลูกยังรู้สึกว่าเราเป็นคนแปลกหน้า” โน้มน้าวภายในจิตใจ
เขาในฐานะพ่อ แต่ไม่มีวาสนาร่วมกับลูกเลย ในบรรดาเด็กทั้งสามคน มีสองคน ที่นอกจากให้ตนเองอยู่ในฐานะปีศาจแล้ว ยังเป็นให้คนชั่วที่เฮงซวยคนหนึ่งอีกด้วย
มีแต่เฉิงเฉิงเพียงคนเดียว ที่เรียกตัวเขาว่า “พ่อ” แต่ก็ชอบชีวิตที่ได้อยู่กับแม่ของเขาอีกนั่นแหละ…
เฮ้อ…มื้อเย็นนี้เรียกได้ว่าทำให้หดหู่ใจจริงๆ
***
หลังจากทานมื้อเย็นแล้ว เด็กทั้งสามคนรีบวิ่งหายวับขึ้นไปชั้นบน ทิ้งชั้นล่างให้เป็นโลกของพวกผู้ใหญ่
ผ่านไปสักพัก ฉิงฮัวก็ขึ้นไปชั้นบนกับภรรยาลั่วเฉียว
จากนั้นแอนนิก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในครัว
บนโซฟาในห้องรับแขกเหลือเพียงกู้ฮอนและเป่หมิงโม่กันเพียงสองคน
พอไม่มีใครอยู่รอบๆแล้ว สามารถพูดกันตรงๆได้ทุกเรื่อง
เป็นกู้ฮอนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาก่อนว่า : “คุณคิดจะทำยังไงต่อไปคะ?”
“อะไรคือขั้นต่อไป? ผมรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ก็ดีแล้วนะ ไม่จำเป็นต้องมีแผนอย่างอื่น” เป่หมิงโม่เอนกายพิงโซฟาอย่างสบายๆแล้วกดรีโมทคอนโทรลในมือเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ
“คุณไม่ได้ตอบคำถามไว้อย่างดีตอนอยู่ในที่ประชุมหรือไง : ขั้นตอนแรกของการเป็นประธานต้องมองข้ามเรื่องเวลา”
“ถูกต้องแล้ว ผมเริ่มแล้วไง ตอนที่อยู่ตระกูลเป่หมิง ผมละเลยพวกเด็กๆ เพราะอย่างนี้ไงถึงทำให้คุณมีโอกาสมาใช้ประโยชน์ ในใจของพวกเขาคุณอยู่ในตำแหน่งสูงสุด แล้วผมล่ะ เป็นเพียงแค่ร่างอวตารของปีศาจและคนชั่ว”
เป่หมิงโม่พูดความจริง แต่ฟังแล้วไม่รื่นหูเอาเสียเลย
“คำพูดของคุณหมายถึงฉันพูดไม่ดีเกี่ยวกับคุณให้เด็กๆฟังมาตลอดงั้นเหรอ?”
“อืม เท่าที่ผมรู้มันเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ ดูจากจิ่วจิ่วก็พอมองออกแล้ว” เป่หมิงโม่มองดูกู้ฮอน แล้วพูดอย่างสบายๆ แต่มีความมั่นใจอย่างยิ่ง
ปัญหาของจิ่วจิ่วเป็นจุดอ่อนของกู้ฮอนจริงๆ แต่เธอก็ยังต้องการปกป้องตัวเอง : “ใช่แล้วค่ะ ฉันพูดเรื่องไม่ดีของคุณให้จิ่วจิ่วฟัง แต่นั่นคุณหาเรื่องเองด้วย แต่ฉันไม่เคยบอกเฉิงเฉิงและหยางหยางเกี่ยวกับคุณ สำหรับพวกเขาจะมองคุณอย่างไรนั้น เป็นผลมาจากที่คุณปฏิบัติตัวต่อพวกเขาเองในเวลาปกติ เรื่องนี้ฉันไม่เกี่ยวด้วยเลย”
เป่หมิงโม่พยักหน้าเห็นด้วย : “ถูกต้อง ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะกล่าวหาคุณ เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องแก้ตัวอะไรหรอก และเพราะปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว ผมจะหาวิธีแก้ไขมันถึงจะถูก ส่วนคุณเป็นประธานอย่างสบายใจไปทุกวันก็ดีแล้ว เรื่องของเด็กๆมอบให้ผมดูแลก็พอ”
หลังจากที่กู้ฮอนได้ฟังแล้ว ทำให้ไฟลุกโชนขึ้นมาจริงๆ : “อะไรคือการที่พูดว่าจะมาดูแลเรื่องของเด็กๆ อย่าลืมว่าพวกเราพูดกันแล้วว่าลูกๆเป็นของฉัน!”
“ใช่แล้วล่ะ เป็นของคุณนั่นแหละ แต่ว่าคุณอย่าลืมสิ ว่าผมเองก็มีสิทธิ์และหน้าที่ที่คอยดูแลและติดตามพวกเขา ไม่ใช่ว่าพอคุณไปทำงานแล้วก็จะโยนพวกเขาทั้งสามคนให้แอนนิหรือลั่วเฉียวหรอกนะ ตัวลั่วเฉียวเองเพิ่งคลอดลูก ยังไม่มีสามารถช่วยตัวเองได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นแอนนิก็มีงานต้องทำมากมาย คุณช่วยบอกได้ไหมล่ะว่าจะมีใครคอยดูแลเด็กทั้งสามคนนี้ได้ แอนนิไม่ใช่พี่เลี้ยงของคุณกับลั่วเฉียวนะ เธอยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ เพราะว่าเป็นเช่นนี้ ผมในฐานะพ่อเลยอยู่เฉยไม่ได้อีกแล้ว อีกประการหนึ่งยังเป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์ของผมในใจของพวกเด็กๆด้วย”
“ก่อนหน้านี้ฉันรู้ว่าคุณโหดเหี้ยมและไร้ความปราณี คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว คุณยังมีเล่ห์เหลี่ยมและต่ำทราม บอกฉันมาตามตรงเลยนะว่าบ้านที่คุณให้ฉันคุณคิดมาดีแล้วใช่ไหม?” กู้ฮอนเหล่ตามองไปที่เขา และอยากจะพุ่งเข้าไปกัดเขาจริงๆ
แต่เธอเองก็มีความกังวลใจอยู่เล็กน้อยว่าการกระทำของเธอจะนำไปสู่ผลลัพธ์อื่นๆหรือไม่
อย่างนั้นแล้วจะถูกเขาตอบโต้แล้วตามด้วยกลยุทธ์ “ปล้นชิงตามไฟ” หรือไม่
เป็นเช่นนั้นแล้วตัวเองจะไม่กลายเป็นเนื้อแกะที่ถูกส่งเข้าปากงั้นเหรอ? จิ่วจิ่วเองก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการนี้เช่นกัน
***
เป่หมิงโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย : “ตระกูลเป่หมิงไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดไว้แต่แรก เพียงแต่ว่าเรื่องมาถึงตรงนี้พอดี แล้วแน่นอนว่าผมเลยเกิดความคิดขึ้นมาในฉับพลัน นอกจากนี้ เกี่ยวกับเรื่องของจิ่วจิ่วเป็นคุณที่เก็บซ่อนผมเอาไว้ ผมจึงไม่เคยสอบถามคุณมาตลอด เพราะฉะนั้นไม่ว่าผมจะทำอะไรกับคุณ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ให้อภัยได้ และยังเป็นเหตุเป็นผลที่สามารถถกเถียงกันได้ด้วย”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างผ่อนคลาย และมองไปยังกู้ฮอนที่อยู่ด้านล่างด้วยท่าทางของผู้ชนะ : “เอาล่ะ ตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเร็วเกินไป ควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ผมไม่เคยมีเวลาได้พักผ่อนดีๆเหมือนกับตอนนี้ คุณให้เด็กๆเข้านอนไวหน่อยแล้วกัน แล้วเราค่อยพบกันพรุ่งนี้”
พูดแล้วเขาหมุนตัวเดินออกประตูไป กู้ฮอนก่นด่าอยู่ด้านหลังเขาเงียบๆในใจนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งมีเสียงปิดประตูดังขึ้นถึงได้หยุด
*
เป่หมิงโม่นั่งอยู่บนรถของตัวเอง โดยไม่ได้กลับไปที่บ้านเก่าของตระกูลเป่หมิง และไปที่วิลล่าปานซาน ที่แห่งนี้ทำให้สามารถอยู่ใกล้ๆกับพวกเด็กๆได้อีกหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่เงียบสงบมาก สามารถทำให้ตัวเองใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
แน่นอนว่ารวมถึงวิธีการจัดการพวกถังเทียนจื๋อด้วย
ปัญหาในตอนนี้พูดได้ว่าเป็นความยุ่งยากนิดหน่อย หลี่เชินเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดกู้ฮอน แต่ก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเป่หมิงยี่เฟิงอีกด้วย เขาเป็นที่ต้องการของ บริษัทเป่หมิง มาโดยตลอด
ถ้าหากบอกว่าตนเองยังคงต้องการตำแหน่งประธานนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องพยายามดำเนินการโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นกู้ฮอนนั้นย่อมแตกต่างออกไป
เขามองออกว่า หลี่เชินยังคงห่วงใยในตัวลูกสาวคนนี้อย่างมาก ดังนั้นเพื่อไม่ให้กู้ฮอนต้องยากลำบาก เขาพยายามหยุดทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ และพยายามที่จะไม่ทำร้ายเธอ
การจัดการให้กู้ฮอนให้เป็นประธานเป็นความตั้งใจเดิมแต่แรก และเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะใช้เมื่อสุดทางแล้ว เพื่อจะสามารถให้ตัวเองได้คิดว่ามีวิธีอะไรอีก ที่จะทำให้ตระกูลเป่หมิงพ้นจากปัญหาได้
เรื่องเหล่านี้จะคิดในเวลาเดียวกันได้อย่างไร แน่นอนว่าจำเป็นจะต้องใช้เวลาพอสมควร
ในตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องคิดถึงความสัมพันธ์กับพวกเด็กให้มากขึ้น โดยเฉพาะกับจิ่วจิ่ว
เขายืนอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ และตรวจดูรูปลักษณ์ของตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
**********************************************