เดิมพันรักยัยตัวแสบ - เดิมพันรักยัยตัวแสบ - บทที่ 957 จากกันอย่างไม่เป็นมิตร
บทที่ 957 จากกันอย่างไม่เป็นมิตร
เมื่อพูดคุยแล้วความเห็นไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายก็แตกคอกันในทันที จะพูดอย่างไรกู้ฮอนก็เป็นทนายความคนหนึ่ง เธอไม่เคยเชื่อในอำนาจที่อยู่เหนือกว่ากฎหมายเลย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้ก็เป็นการปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเธอขึ้นมา “ผู้อำนวยการโกว ในเมื่อพวกเราพูดกันมาขนาดนี้แล้ว อย่างนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก อาศัยในสิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่นี้ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะสู้กับคุณจนถึงที่สุด อีกอย่าง ฉันคิดว่าในใจคุณก็ทราบชัดเจนดีว่าคนที่ทำร้ายคุณเมื่อวานเป็นใคร อีกทั้งบางทีคุณก็อาจจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคนคนนั้นแล้ว หรือไม่คุณก็อาจจะไม่รู้ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว พวกเรามาคอยดูกัน!”
กู้ฮอนเดินอ้อมเตียงนอนผู้ป่วยไปทางประตูห้องผู้ป่วย ก่อนที่ดึงประตูให้เปิดออก เธอก็หันหน้ากลับมาเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง “หวังว่าสุขภาพของคุณจะฟื้นฟูได้เร็วมากพอ ไม่อย่างนั้นการใช้ชีวิตในคุกสำหรับคุณก็คงจะไม่สบายนัก”
เอ่ยจบ เธอก็เปิดประตูเดินออกไป จากนั้นก็ปิดลงอย่างแรง
รอจนตอนที่เธอออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว เธอก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองสั่นไม่หยุด นี่ไม่ใช่เพราะว่าเธอกลัวแต่เพราะมีโทสะ
เธอโกรธที่ตอนนี้เป็นสังคมที่ยึดถือระบบกฎหมายเป็นหลักแล้ว แต่ทำไมยังมีคนที่ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย หลบหนีไปได้อย่างลอยนวลอีก ทำไมเมื่อคนคนหนึ่งมีที่พึ่งพิงแล้วสามารถทำทุกอย่างตามอำเภอใจได้ ส่วนผู้เคราะห์ร้ายกลับทำได้แค่โกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปากพูด
วันนี้เธอจะท้าทายสิ่งที่ชั่วร้ายแบบนี้ เหมือนกับว่าไม่ได้มีเพียงความคิดที่จะช่วยเป่หมิงโม่ออกมาอย่างเดียวอีกแล้ว แต่มีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว แต่เพื่อส่วนรวมที่ถูกกลุ่มชั่วร้ายกดขี่มาเป็นเวลานาน และเพื่อกลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่ไร้ความสามารถ เธอยังคงเชื่อว่า ความจริงและความยุติธรรมจะยืนอยู่ฝ่ายตัวเอง
***
กู้ฮอนแสดงท่าทีจริงจังมีมโนธรรมที่ทำให้ผู้คนเห็นแล้วเคารพยำเกรงออกมา หายลับไปจากประตูท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้อำนวยการโกว ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับเหล่าวีรบุรุษที่ไม่หวั่นเกรง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว ดาบปลายปืนอันเย็นเยียบ ในภาพยนตร์ที่สอนให้รักชาติที่ดูตอนเด็กๆ
ในใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยเลือดที่เดือดพล่านและโหยหาชัยชนะในปลายทางแล้ว
เรื่องแรกที่ทำหลังออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว เธอต้องจัดการภารกิจเรื่องการหาทนายความคนหนึ่งให้เป่หมิงโม่ก่อน
ตัวเองไม่สามารถเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะเป็นทนายความได้แล้ว ที่จริงแล้วในใจของเธอก็ทราบแน่ชัดว่า แม้ว่าตัวเองจะสามารถเป็นทนายความให้กับเขาได้ สำหรับคดีความนี้นั้นก็อาจจะไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จมากนัก เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นก็เป็นเพราะว่าในใจของเธอรู้ความสามารถของตัวเองดี
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะชนะคดีความมาบ้าง แต่ในใจก็ชัดเจนเป็นอย่างดีว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทที่เห็นชัยชนะเป็นเรื่องสำคัญ
ตอนนั้นตัวเองก็แค่ถูกชัยชนะทำให้สมองเลอะเลือน นึกว่าเป็นคุณงามความดีของตัวเองจริงๆ แต่หลังจากที่เรื่องผ่านไปตามเวลาที่เลยผ่าน พบเจอกับเรื่องราวมากมายแล้วมองกลับไป ชั่วขณะหนึ่งที่ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเล็กๆนั้นก็เปลี่ยนเป็นความหดหู่แทน
นี่ก็คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการตกผลึกในชีวิตของมนุษย์เรา ความเย่อหยิ่งอวดดีในอดีตค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่ง และมากพอที่จะสามารถตกผลึกส่วนสำคัญที่มีความหมายมากที่สุดในตอนนี้ออกมาได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต
ระหว่างทางที่กลับไปยังบริษัทเป่หมิง กู้ฮอนก็โทรศัพท์หาฉิงฮัว เล่าเรื่องที่ตัวเองพบกับเป่หมิงโม่ที่สถานีตำรวจอย่างคร่าวๆ รวมไปถึงเรื่องที่หาจุดสำคัญพบระหว่างที่สนทนากับผู้อำนวยการโกวที่โรงพยาบาลให้เขาฟัง
ฉิงฮัวฟังแล้ว ด้านหนึ่งก็รู้สึกเป็นกังวลแทนเจ้านาย อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกโกรธต่อสิ่งที่ผู้อำนวยการโกวกระทำทั้งหมดมาก
กู้ฮอนนั้นสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนระหว่างที่สนทนากับเขา ถ้าหากว่าเมื่อวานเขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยแล้วล่ะก็ อาจจะลงมือโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเป่หมิงโม่เล็กน้อย แม้ว่าจะไม่เอาชีวิตของเขา แต่ก็อาจจะให้เขาใช้อีกครึ่งชีวิตที่เหลือบนเก้าอี้รถเข็นก็ได้
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้เรื่องสำคัญยังคงเป็นการคิดหาหนทางช่วยเป่หมิงโม่ออกมาก่อน
“ตอนนี้สถานะของฉันไม่สามารถเป็นทนายความให้กับเขาได้ ดังนั้นคุณช่วยคิดวิธีหาทนายความที่ดีที่สุดมาช่วยเขาฟ้องร้องดำเนินคดีนี้หน่อย” กู้ฮอนเอ่ยกำชับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“วางใจได้เลยครับคุณผู้หญิง ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย ใช่แล้ว ผมให้คนขับรถของคุณกลับมาแล้วนะครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ตอนนี้อย่ากลับมาเชียว เพราะข้างล่างตึกมีนักข่าวรวมตัวกันอยู่มากมายเลยครับ”
กู้ฮอนที่มองไปนอกหน้าต่างรถแท็กซี่ก็พยักหน้า “ได้ ตอนนี้ฉันจะคิดหาหนทางอยู่ด้านนอกก่อน หาทนายความได้แล้วรีบโทรศัพท์หาฉันทันทีนะ”
*
ผู้อำนวยการโกวมองกู้ฮอนที่ออกจากห้องพักผู้ป่วยไปแล้วก็ถลึงตาใส่ประตูอย่างดุร้ายพลางเอ่ยว่า “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ผมจะให้คุณคุกเข่าขอร้องผมบนพื้น ยอมให้ผมชักใยอยู่เบื้องหลัง นี่คือจุดจบของคนที่คิดจะสู้กับผม”
เพิ่งจะสิ้นสุดเสียงพูด ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
คนที่เข้ามาไม่ใช่กู้ฮอน แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงสง่าคนหนึ่ง ประโยคแรกที่เขาเอ่ยหลังจากเข้ามาแล้วคือ “ผู้อำนวยการโกว คนที่คิดจะสู้กับคุณนั้นมีจุดจบอย่างไรหรือ ลองพูดให้ผมฟังหน่อยสิ”
สีหน้าผู้อำนวยการโกวเปลี่ยนไปในทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามา ใบหน้ายิ้มเหมือนกับดอกไม้บานดอกหนึ่ง เขารีบลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ “คุณกัง ผมไม่ทราบว่าคุณมา เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
***
ถังเทียนจื้อมาถึงที่นี่ก็เพราะต้องการส่งต่อคำเตือนของหลี่เชินให้กับผู้อำนวยการโกวท่านนี้ แน่นอน หลี่เชินก็คือผู้ให้การสนับสนุนของเขาคนนั้น
ตอนที่เขากำลังจะถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยนั้นก็เห็นว่าประตูห้องของเขาถูกเปิดออกมาแล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยโทสะ
ถังเทียนจื้อแอบหลบเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยข้างๆห้องหนึ่งอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ทั้งยังก้มหน้าลง พร้อมกับกดปีกหมวกเบสบอลให้ต่ำด้วย
รอจนผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าเขาไปแล้ว เขาถึงได้หันหน้ากลับไปมอง อีกทั้งเมื่อเห็นแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง เพราะว่าเขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าผู้หญิงคนนั้นคือกู้ฮอน
เธอปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในตอนนี้ ก็เชื่อมโยงไปถึงเรื่องเมื่อวาน ดูท่าการคาดเดานี้ค่อนข้างจะเป็นไปได้
เมื่อเขาผลักประตูเข้าไปนั้นก็ได้ยินผู้อำนวยการโกวกำลังพูดจาโหดเหี้ยมอยู่ด้านใน
ผู้อำนวยการโกวเห็นถังเทียนจื้อแล้วก็เหมือนกับขี้ข้าที่พบกับเจ้านาย อย่าพูดว่านั่งบนเตียงเลย เขาออกแรงขยับลงจากเตียงมายืน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณกัง เมื่อครู่นี้ผมถูกคนที่เพิ่งมาที่นี่คนนั้นทำให้โกรธน่ะครับ”
ถังเทียนจื้อเดินไปหยุดที่ด้านหน้าเขา มองขึ้นๆลง จากนั้นสายตาก็หยุดลงที่แขนข้างที่เข้าเฝือก “พวกเราได้ยินเรื่องเมื่อวานนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บหนักพอควร”
“ทำให้คุณกังเป็นห่วงแล้ว ที่จริงแล้วแขนของผมไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแต่ข้อหลุดเท่านั้นเอง ผมทำแบบนี้ก็เพื่อใช้โอกาสนี้ในการสั่งสอนพวกเขาสักรอบ” ผู้อำนวยการโกวพูดแล้วก็ขยับแขนไปมาง่ายๆเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองก็แค่แสร้งจัดฉากออกมา
“ผู้อำนวยการโกว ดูท่าคุณต้องใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อที่จะจัดการกับพวกเขา”
“ฮ่าๆ นี่มันคำพูดอะไรกันครับ ผมยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของคุณท่านนะครับ”
ถังเทียนจื้อมองไปที่เขา ท่าทีอ่อนโยนเมื่อครู่นี้ก็เปลี่ยนไปในทันที เขายกมือขึ้นมาชกลงไปยังแขนข้างที่เข้าเฝือกและพันผ้าก๊อซสีขาวเอาไว้อย่างแรง
ถัดมาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้อำนวยการโกวดังขึ้น
ผ้าก๊อซบริเวณที่ถังเทียนจื้อลงมือนั้นเป็นรอยยุบลงไปส่วนหนึ่ง บริเวณเฝือกที่ถูกเขาชกนั้นแตกละเอียด
แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้อำนวยการโกวจะไม่ได้รับบาดเจ็บจนถึงกระดูก แต่อาศัยร่างผอมบางของเขา จะสามารถทนรับแรงมหาศาลนี้ได้อย่างไร นี่ทำให้เขาเจ็บจนเหลือทนแล้ว
มือข้างหนึ่งของเขาจับบริเวณแขนที่ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง มองไปที่ถังเทียนจื้อ เอ่ยพูดตะกุกตะกักด้วยความเจ็บปวดว่า “ซี๊ด……. คุณกัง นี่คุณ……ผมทำผิดอะไรกันแน่ คุณถึงได้ลงโทษผมแบบนี้”
ถังเทียนจื้อในตอนนี้ใบหน้าโหดเหี้ยมจนทำให้คนตกใจ “คนที่ออกไปจากห้องของคุณเมื่อครู่นี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วครับ เธอก็คือผู้หญิงที่ทำให้แขนของผมได้รับบาดเจ็บเมื่อวานนี้ แต่ว่าทำไมถึงได้ทำให้คุณมีโทสะล่ะครับ” ผู้อำนวยการโกวนั้นไม่เข้าใจเลยจริงๆ นั่นเป็นประธานบริษัทเป่หมิง อีกอย่างตัวเองก็ได้รับคำสั่งมาว่าจะต้องสั่งสอนบริษัทเป่หมิงสักหน่อยไม่ใช่หรือ
ถังเทียนจื้อไม่ได้ตอบคำถามเขาตรงๆ พูดเพียงแค่ว่า “คุณเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนกลางคืนตั้งแต่ต้นจนจบให้ผมฟังเสีย ห้ามปิดบังอะไร ไม่อย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้นะว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร”
“คุณกัง ใจเย็นๆก่อนครับ ผมจะเล่าเรื่องเมื่อวานให้คุณฟังเดี๋ยวนี้” ดังนั้น ผู้อำนวยการโกวก็เล่าเรื่องเมื่อวานตอนกลางคืนให้เขาฟังรอบหนึ่ง
สำหรับเรื่องที่ ลูกน้องปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง ของเขาใส่ยาในแก้วเหล้ากู้ฮอนอย่างไร ไปจนถึงเรื่องที่ตัวเองเตรียมที่จะอาศัยโอกาสนี้ในการเอาเปรียบนั้นไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำ
***
ถังเทียนจื้อฟังผู้อำนวยการโกวเล่าเรื่องเมื่อวานจบแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด เหมือนกับว่าที่เขาพูดมาก็ไม่น่าจะทำให้เป่หมิงโม่โกรธจนต้องลงมือชกต่อยเขา
ดูท่าไอ้หมอนี่ยังคงมีเรื่องที่ไม่ได้พูดออกมา คิดจะใช้วิธีนี้หลอกตบตาให้ผ่านไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยกมือขึ้นอีกครั้งสร้างหลุมยุบบนผ้าก๊อซและเฝือกบนแขนของเขาอีกรอย
ความเจ็บนี้ทำให้หน้าผากผู้อำนวยการโกวมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นมา เขาพูดอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “คุณ คุณกัง ผมล้วนพูดไปหมดแล้วนะครับ”
“เหอะ…….” ถังเทียนจื้อส่งเสียงเย็นชาออกมา “สาเหตุที่คุณถูกชกจะต้องไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณพูดมาเหล่านั้นอย่างแน่นอน ความกล้าของคุณนี่มีมากจริงๆ กล้าที่จะปิดบังผม ถ้าหากว่าฉลาดล่ะก็ เล่าเรื่องส่วนที่คุณปิดบังเอาไว้ออกมาเสีย ไม่อย่างนั้นผมอาจจะทำให้อาการบาดเจ็บหลอกๆของคุณกลายเป็นจริงก็ได้ ทั้งยังจะเพิ่มเป็นสองเท่าด้วย”
ประโยคนี้ทำให้ไขสันหลังของผู้อำนวยการโกวเย็นยะเยือก ในเมื่อปิดบังเอาไว้ไม่อยู่แล้ว อย่างนั้นมีอะไรก็พูดให้หมดเลยก็แล้วกัน คราวนี้เขาไม่ได้ปิดบังอะไรแม้แต่น้อยแล้วจริงๆ กระทั่งรายละเอียดเล็กๆก็พูดออกมาหมด
นี่ทำให้ถังเทียนจื้อที่ฟังอยู่ กำหมัดแน่นจนมีเสียงดังกร๊อบๆ
รอจนเขาพูดถึงตอนที่เป่หมิงโม่ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็ถูกถังเทียนจื้อต่อยอีกครั้งโดยไม่มีการเอ่ยเตือน
“อ๊าก………”
ถัดมาก็เป็นเสียงโหยหวนของผู้อำนวยการโกว
มือข้างที่ใส่เฝือกและมีผ้าก๊อซเริ่มสั่นเบาๆ ในไม่ช้าก็มีเลือดซึมออกมาจากผ้าก๊อซ
ครั้งนี้ต่อยได้หนักยิ่งกว่าเป่หมิงโม่ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแขนข้างนี้ของตัวเองอาจจะหักได้
แน่นอน ในเมื่อถังเทียนจื้อต่อยเขา ก็ต้องให้เขารู้ว่าทำไมต้องต่อยเขา
“คุณรู้หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“เธอก็เป็นประธานบริษัทเป่หมิงไม่ใช่หรือครับ…….” ตอนนี้เสียงของผู้อำนวยการโกวติดสะอื้นแล้ว สองวันก่อนหน้านี้ก็ถูกต่อยไปสองรอบ แต่ทำไมบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บมีแค่แขนข้างเดียวกัน
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของอาจารย์ผม! คุณกล้าที่จะคิดไม่ซื่อกับเธอ ดูท่าว่าคุณไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ”
ผู้อำนวยการหลี่ที่ได้ยินถึงตรงนี้ก็เข่าอ่อน เขาคุกเข่าลงดังตุ้บอยู่ด้านหน้าถังเทียนจื้อ ตอนนี้ไม่มีเวลามาใส่ใจความเจ็บปวดปางตายบริเวณแขนแล้ว เทียบกับชีวิตของตัวเอง ความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้จะนับเป็นอะไรได้