เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 102 หนานกงเยี่ยบ้าไปแล้ว
อาเธอร์ปล่อยมือทันที เขาสะบัดหลินมั่นหรูไปอีกทาง จากนั้นถอยหลังเดินไปอยู่ข้างเหลิ่งรั่วปิงอย่างรวดเร็ว
หลังจากหลินมั่นหรูหลุดพ้นจากพันธนาการ เธอทรุดตัวลงนั่งพยายาอาเจียน เพราะอยากคายเอายาที่กินเข้าไปออกมา
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราในลำคอ “อย่าเปลืองแรงไปเลย ยาพิษสูตรลับเฉพาะของตระกูลถัง เมื่อเข้าปากจะละลายทันที ร่างกายดูดซับด้วยความรวดเร็ว เวลานี้พิษได้แผ่ซ่านเข้าไปในเลือดของเธอแล้ว ล้วงคอยังไงก็ไม่มีวันอ้วกออกมาหรอก”
หลินมั่นหรูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษอยู่แล้ว แค่ปรายตามองเธอก็รู้ว่าสัญลักษณ์ที่กล่องคืออะไร นั่นเป็นยาสูตรลับเฉพาะของตระกูลถัง แน่นอน สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือแท้จริงแล้วยานี้มีสรรพคุณช่วยทำให้ผิวพรรณดี แต่เธอไม่เชื่อว่าเหลิ่งรั่วปิงจะให้เธอกินยาที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้หลินมั่นหรูจึงคิดว่าเหลิ่งรั่วปิงให้เธอกินยาพิษ
หลินมั่นหรูหยุดการกระทำที่เปล่าประโยชน์ เธอเหยียดตัวลุกขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต “เหลิ่งรั่วปิง แกเอายาอะไรให้ฉันกินกันแน่”
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ พูดเสียงหวาน “เธอเองก็รู้ดี ตอนนี้ฉันเป็นผู้หญิงของหนานกงเยี่ยแล้ว ฉันรู้จักกับคุณชายตระกูลถัง เขาจึงให้ยาเม็ดนี้เป็นของขวัญ ยาเม็ดนี้ไม่มีอะไรมากหรอก มันแค่จะกลืนกินเลือดเนื้อของมนุษย์ ทำให้ยิ่งอยู่หน้าตายิ่งน่าเกลียด จนสุดท้ายเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ประมาณครึ่งปี ดังนั้นครึ่งปีนี้เธออย่ามาทำให้ฉันโมโห ไม่อย่างนั้นฉันไม่ให้ยาถอนพิษเธอแน่” เหลิ่งรั่วปิงต้องการเวลาครึ่งปีในการปิดบังซือคงอวี้ หลังจากครึ่งปีผ่านไปเธอจะเป็นคนทำให้เขารู้ด้วยตนเอง
“เหลิ่งรั่วปิง แกมันสารเลว!” หลินมั่นหรูกัดฟันกรอด มองเหลิ่งรั่วปิงด้วยสายตาอาฆาต ยาของตระกูลถัง วิธีการปรุงยาว่าเป็นความลับแล้ว ตัวยาที่ใช้เป็นความลับยิ่งกว่า นอกจากคนตระกูลถังแล้ว ไม่มีใครมียาถอนพิษ ทว่าตระกูลถังมีอำนาจมาก ใครจะกล้ามีปัญหากับพวกเขา
เหลิ่งรั่วปิงเลิกคิ้วขึ้น “เธอรนหาที่เอง เมื่อเทียบกับแกแล้ว ฉันยังเทียบไม่ติดเลยสักนิด” เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองอาเธอร์ “ส่งฉันกลับเข้าเมืองหน่อย” เธอออกมานานมากแล้ว ถ้าหนานกงเยี่ยหาตัวเธอไม่พบ ต้องการเรื่องวุ่นวายแน่
“อื้ม” อาเธอร์ชำเลืองมองหลินมั่นหรู จากนั้นรีบพาเหลิ่งรั่วปิงออกไปทันที
หลังจากทั้งสองคนออกไป หลินมั่นหรูกรีดร้องเสียงดัง เธอยิงปืนไปทั่ว ทำให้รูปภาพที่แขวงอยู่บนกำแพงและเครื่องลายครามบนโต๊ะเสียหายหมด
บนรถ อาเธอร์อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณให้หลินมั่นหรูกินยาอะไร”
เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยความเสียดาย “ยาที่ช่วยให้ผิวพรรณดี เป็นยาสูตรลับเฉพาะของตระกูลถัง”
“อะไรนะ” อาเธอร์หันไปมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความตกใจ “คุณเอายาราคาแพงแบบนี้ให้หลินมั่นหรูกิน?”
เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจ “ทำยังไงได้ละ ตอนนั้นฉันหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทำได้แค่ยอมเสียของรักของหวงไป”
อาเธอร์เงียบ เขามองไปที่เหลิ่งรั่วปิงนานสองวินาที จากนั้นหัวเราะเสียงดัง “รั่วปิง คราวนี้คุณขาดทุนย่อยยับเลย”
เหลิ่งรั่วปิงเองก็หัวเราะเสียงดัง “ใช่แล้ว ฉันขาดทุนย่อยยับเลย รู้สึกเหมือนเอาอุ้งมือหมีให้หมากิน เสียดายของจริงๆ”
“ฮ่าๆๆ…” อาเธอร์หัวเราะพร้อมกับตบพวงมาลัยอย่างแรง
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะไปด้วยเสยผมตนเองไปด้วย นี่เป็นการหัวเราะจากใจจริงครั้งแรกของเธอ นับตั้งแต่มาอยู่เมืองหลง เวลาอยู่ต่อหน้าอาเธอร์ เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังความเป็นตัวเองเอาไว้ เขาเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งมาก สามารถปกป้องและสนับสนุนเธอ อีกทั้งยังยิ้มให้เธอจากใจจริง
ใช้เวาไม่นานรถก็ขับมาถึงตัวเมือง เธอเห็นแสงไฟกระพริบท่ามกลางสายฝน เสียงไซเรนรถตำรวจดังระงม เหมือนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเป็นปม “อาเธอร์ ให้ฉันลงตรงนี้ คุณรีบไปจากที่นี่เถอะ”
“อืม” อาเธอร์ไม่รอช้า รีบจอดรถตรงข้างทางทันที หลังจากเหลิ่งรั่วปิงลงจากรถ เขาก็รีบหมุนพวงมาลัย ขับฝ่าฝนกลับไป
เหลิ่งรั่วปิงยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน เธอกางร่ม ใส่แบตเข้าไปในโทรศัพท์แล้วเปิดเครื่อง จากนั้นเดินมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง
*****
ย้อนกลับไป
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ หนานกงเยี่ยโทรศัพท์ไปหาเหลิ่งรั่วปิงอีกครั้ง เขาถามเธอว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่จู่ๆ เธอกลับปิดเครื่อง สัญญาณที่คอยตรวจจับว่าเธออยู่ที่ไหนก็หายไปด้วย วินาทีนั้น เขากระวนกระวายมาก
เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนใส่ใจในรายละเอียด เธอไม่มีทางลืมชาร์ตแบตแน่นอน นอกจากว่าเธอตั้งใจปิดเครื่อง หรือไม่ก็เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ
หรือว่า เธอแอบหนีออกไปจากเมืองหลง หนีไปจากเขาแล้ว? ไม่ เป็นไปไม่ได้ การแก้แค้นของเธอยังไม่สำเร็จ เธอไม่มีวันไปจากที่นี่
ความคิดไม่ดีบางอย่างผุดขึ้นมาหัวของหนานกงเยี่ย เกิดเรื่องขึ้นกับเหลิ่งรั่วปิง! ถึงแม้เธอมีทักษะด้านการต่อสู้ แต่ต่อให้เก่งแค่ไหนก็สามารถพลาดพลั้งได้ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหนานกงเยี่ย หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความบ้าคลั่ง เขาตะโกนเรียกก่วนอวี้ทันที “ตามหาเธอให้ทั่วเมือง แลกด้วยอะไรก็ยอม!”
ก่วนอวี้รู้ว่าเรื่องนี้รุนแรงแค่ไหน เขาไม่กล้ารอช้า รีบเรียกคนของเขามารวมตัว พร้อมกับตามหาเหลิ่งรั่วปิงทั่วเมือง
หนานกงเยี่ยรอฟังข่าวคราวในวิลล่าหย่าเก๋อด้วยความร้อนใจ พร้อมกับจ้องมองดูสัญญาณจีพีเอสในโทรศัพท์ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ความอดทนของเขาหมดลง หนานกงเยี่ยโทรศัพท์ไปหาก่วนอวี้ “ยังหาไม่เจอ?”
“ยังครับ คุณชายเยี่ย” ก่วนอวี้ตอบด้วยความตื่นตระหนก คนของตระกูลหนานได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เขาใช้คนจำนวนมาก ตามหาทุกซอกซอย แต่กลับไม่เจอตัวเหลิ่งรั่วปิง เขาไม่รู้จะอธิบายให้หนานกงเยี่ยฟังอย่างไร
หนานกงเยี่ยแทบจะเสียสติ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่ากลับเย็นยะเยือก “ตามหามาตั้งนานแต่นายกลับบอกฉันว่ายังหาไม่เจอ เก็บนายไว้ทำไม!”
ก่วนอวี้รู้ดีว่าหนานกงเยี่ยเป็นห่วงเหลิ่งรั่วปิงมาก เขาจึงพูดปลอบเจ้านายของตน “คุณ…คุณชายเยี่ยครับ คุณเหลิ่งมีทักษะด้านการต่อสู้ อาจจะไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายก็ได้ครับ คุณชายเยี่ยวางใจเถอะ เดี๋ยวผมจะเพิ่มกำลังคน ต้องหาตัวคุณเหลิ่งเจอแน่นอน”
“แล้วยังจะพล่ามอยู่ทำไม รีบไปตามหาเธอสิ!”หนานกงเยี่ยตะคอกใส่โทรศัพท์ด้วยความบ้าคลั่ง เขาวางสาย เตะโต๊ะด้วยความโมโห “พวกโง่เอ้ย!”
เขานั่งไม่ติดแล้ว หนานกงเยี่ยขับรถออกไปจากวิลล่าหย่าเก๋อ เขาออกไปตามหาเธอด้วยตนเอง ระหว่างทางหนานกงเยี่ยโทรหามู่เฉิงซี “ระดมตำรวจทั้งเมือง ช่วยฉันตามหาเหลิ่งรั่วปิงที”
เวลานี้มู่เฉิงซีอยู่บ้านของเวินอี๋ ตอนที่เขาได้รับสายถึงกับตัวแข็งทื่อ “ติดต่อเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้?” ตอนที่เขามาถึงบ้านของเวินอี๋ เหลิ่งรั่วปิงเพิ่งออกไป ทำไมจู่ๆ ถึงติดต่อไม่ได้
“ใช่” หนานกงเยี่ยเป็นกังวลมาก “ช่วยฉันตามหาเธอเดี๋ยวนี้!”
มู่เฉิงซีขมวดคิ้วเป็นปม เขารู้ดีว่าหนานกงเยี่ยไม่ใช่คนที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ลำพังคนของเขาก็สามารถตามหาเหลิ่งรั่วปิงได้ทั่วทั้งเมืองหลงแล้ว ถ้าไม่ใช่เป็นเพราหาเธอไม่เจอจริงๆ หนานกงเยี่ยไม่มีวันโทรมาหาตน แต่ว่าเขาเป็นตำรวจของเมืองหลง ยศของเขาใช้ในการปกป้องและรักษาทรัพย์สินของประชาชนในเมือง ไม่ได้มีไว้ช่วยเพื่อนตามหาผู้หญิง
ด้วยเหตุนี้ มู่เฉิงซีจึงลังเลเล็กน้อย “หนานกง ฉันระดมตำรวจทั้งเมืองมาช่วยนายตามหาผู้หญิง ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคงไม่ดีเท่าไหร่”
“อย่าพร่ามให้มาก!” หนานกงเยี่ยโกรธจัด “ช่วยตามหาหรือไม่ช่วย ถ้าไม่ช่วยก็ตัดขาดความเป็นเพื่อนกันไปเลย!” พูดจบ หนานกงเยี่ยตัดสายไปทันที
เพื่อผู้หญิงคนเดียวหนานกงเยี่ยถึงกับตัดขาดความเป็นเพื่อนกับเขา! ภายใจของมู่เฉิงซีรู้สึกแย่ แต่เขาก็เข้าใจเพื่อนของตนเป็นอย่างดี ตอนนี้สายตาของหนานกงเยี่ยมีแต่เหลิ่งรั่วปิง เหมือนกับที่สายตาของเขามีแต่เวินอี๋ ทุกอย่างที่พวกเธอทำส่งผลต่อใจพวกเขา เขาเข้าใจหนานกงเยี่ยที่พูดจารุนแรงแบบนี้เพราะอารมณ์
มู่เฉิงซีลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเขาสวมเสื้อกันหนาวแล้วจะเดินออกไป
“มีอะไรรึเปล่าคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เวินอี่เดินออกมาจากห้องนอนเวินจี๋ไห่ เธอถามด้วยความเป็นห่วง
“เปล่าครับ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณพักผ่อนเถอะนะ” มู่เฉิงซีไม่อยากให้เวินอี๋เป็นห่วง
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณระวังตัวด้วย” เวินอี๋ไม่เคยสงสัยคำพูดของเขา
หลังจากมู่เฉิงซีขับรถออกไปจากหมู่บ้านเวินเฉวียน เขารีบโทรติดต่อหลายฝ่าย ระดับตำรวจกว่าครึ่งเมือง เพื่อค้นหาเหลิ่งรั่วปิงตามพื้นที่ต่างๆ ทว่าผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงแล้ว ทั้งสองฝ่ายระดมคนตามหาไม่หยุด แต่ก็ยังคงไม่เจอตัวเหลิ่งรั่วปิง ด้วยเหตุนี้มู่เฉิงซีจึงสั่งให้คนขยายวงกว้างในการตามหาไปถึงแถบชานเมือง
หนานกงเยี่ยขับรถด้วยตนเอง เขาตามหาเธอไม่หยุด หนานกงเยี่ยคิดในใจ ถ้าเขาเจอตัวเธอเมื่อไหร่ เขาจะจับเธอล่ามโซ่ มัดเธอติดกับตนเอง
ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คนที่โทรมาคือก่วนอวี้ หนานกงเยี่ยรับสายทันที “หาเจอหรือยัง”
ก่วนอวี้พูดด้วยความดีใจ “คุณชายเยี่ยครับ สัญญาณโทรศัพท์ของคุณเหลิ่งแจ้งพิกัดแล้วครับ ตอนนี้อยู่ที่ถนนซีเฉิงจงครับ”
หนานกงเยี่ยไม่คิดอะไรทั้งนั้น เขารีบกดโทรหาเหลิ่งรั่วปิงทันที
*****
เหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าเมือง เธอเดินเข้าไปใกล้รถตำรวจพวกนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เธอจะกางร่ม แต่เสื้อผ้าของเธอก็เปียกหมด ขาของเธอเปื้อนดิน สภาพของเธอดูโทรมเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะโทรมยังไง เธอก็ยังคงสวย
ตอนเดินเข้าไปใกล้ เธอมองดูคนที่อยู่ในตำรวจ หนึ่งในนั้นได้แก่มู่เฉิงซี
มู่เฉิงซีเองก็เห็นเธออย่างรวดเร็ว เขารีบจอดรถแล้วเปิดประตูลงมา มู่เฉิงซีกางร่มแล้วรีบวิ่งมาตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง แววตาเยือกเย็นฉายความดุดัน ในความคิดของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ผู้หญิงคนนี้ต้องมีความลับอะไรบางอย่างแน่ แต่ว่าตอนนี้เขายังพูดไม่ได้ เพราะเขายังไม่มีหลักฐาน
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม “ดาบตำรวจมู่ ออกมาทำหน้าที่ตอนกลางดึกแบบนี้ มีคดีใหญ่อะไรหรอคะ”
มู่เฉิงซีแสยะยิ้ม ความเย็นยะเยือกในตัวเขาแผ่ซ่านออกมา “คดีใหญ่มากเลยครับ ใหญ่จนต้องระดมตำรวจกว่าครึ่งเมือง เพราะต้องช่วยหนานกงเยี่ยตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง!”
“!!!” ภายในใจของเหลิ่งรั่วปิงมีคลื่นลูกใหญ่ เธอคิดไม่ถึงว่าหนานกงเยี่ยจะตามหาเธอจนเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จนมู่เฉิงซีต้องระดมตำรวจกว่าครึ่งเมือง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคนของตระกูลหนานกงถูกเกณฑ์ออกมาใช้จนหมด เธอสำคัญกับเขามากขนาดนี้เชียวหรอ”
สายตาของมู่เฉิงซียังคงไม่เป็นมิตร “เหลิ่งรั่วปิง คุณเป็นปีศาจจิ้งจอกกลับชาติมาเกิดหรือไง หนานกงถึงหลงคุณมากขนาดนี้! แต่คุณเคยถามใจตนเองไหม คุณจริงใจกับเขาหรือเปล่า”
เหลิ่งรั่วปิงหลบตาลง เธอไม่ได้ตอบคำถาม เธอไม่เคยจริงใจกับหนานกงเยี่ย เพราะว่าเธอไม่ได้รักเขา แล้วทำไมต้องจริงใจกับเขาด้วย เรื่องของเธอกับเขาเริ่มต้นด้วยเรื่องแย่ๆ แล้วจะมาคาดหวังความจริงใจทำไม เธอต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือตั้งแต่แรก ส่วนเขาเพียงแค่ต้องการร่างกายของเธอ เวลานี้มู่เฉิงซีบอกว่าเขาจริงใจกับเธอ ดังนั้นเธอจึงควรจริงใจกับเขา? บนโลกใบนี้ไม่มีหลักการนี้!
ขณะที่ทั้งสองนิ่งเงียบ เสียงโทรศัพท์ของเหลิ่งรั่วปิงดังขึ้น คนที่โทรมาคือหนานกงเยี่ย เหลิ่งรั่วปิงปรายตามอง เธอกดรับสายพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “สวัสดีค่ะ คุณหนานกง”
ทางด้านหนานกงเยี่ยกลับเต็มไปด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง “เหลิ่งรั่วปิง คุณอยู่ไหน”
“ฉันอยู่…” เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นมองป้ายข้างถนน “ถนนซีเฉิงจง68ค่ะ”
“คุณไปทำอะไรที่นั่น ทำไมไม่รับสายผม ทำไมถึงปิดเครื่อง” ได้ยินเสียงที่นิ่งสงบของเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยโล่งอก อย่างน้อยก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย
“ลุงเวินป่วยหนักค่ะ ฉันรู้สึกแย่ก็เลยออกไปนอกเมืองคนเดียว แต่ใครจะคิดว่าพอฝนตกก็ไม่มีรถแท็กซี่ให้นั่ง ฉันก็เลยต้องเดินกลับมา” เหลิ่งรั่วปิงพูดโดยไม่มีข้อสงสัย “โทรศัพท์ของฉันแบตหมด ฉันมัวแต่เดินเลยไม่ได้เปลี่ยนแบตค่ะ”
หนานกงเยี่ยโล่งอกทันที เขาไม่ได้โทษเธอ ในทางตรงข้ามเขาดีใจที่เจอตัวเธอ “คุณยืนอยู่ตรงนั้นห้ามไปไหน เดี๋ยวผมไปรับคุณเอง”