เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 119 ความจริงถูกเปิดเผย ซือคงอวี้โมโหเกรี้ยวกราด
ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว แต่เวลานี้ความคิดของเธอกลับสุขุมนิ่งสงบ หลังจากกระโดดลงมาจากหน้าต่างเธอก็กางร่มชูชีพ ในเวลาเดียวกันเหลิ่งรั่วปิงก้มหน้าลงมา เธอเห็นหนานกงเยี่ยยืนอยู่ด้านหลัง พูดตามตรง วินาทีนั้นเธอตื้นตันใจมาก เขามารับเธอท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายและท่ามกลางกล้องของสื่อมวงชน เป็นสิ่งที่เธอควรค่าแก่การตื้นตันใจจริงๆ
วินาทีนี้เหลิ่งรั่วปิงสวยมาก เธอเหมือนนางฟ้าบริสุทธิ์ ลอยตัวลงมาจากท้องฟ้า สีแดงและสีน้ำเงินบนร่มชูชีพเปรียบเสมือนดอกไม้ มันทำให้เธอดูสวยมาก
อาคารหลังใหญ่ด้านหลังของเธอเอียงไปทางทิศตะวันตก
ทางด้านหนานกงเยี่ย เขาเหมือนผ่านขวากหนามมากมายและท้ายที่สุดก็ได้เจอกับแสงสว่าง เขาเงยหน้าขึ้น ยื่นมือออกไปทั้งสองข้าง รับเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ก่อนที่เธอจะลงสู่พื้น เขาโอบกอดเธอเอาไว้ ร่มชูชีพขนาดใหญ่ค่อยๆ สยายลงมา บังทั้งสองจนมิด
“เหลิ่งรั่วปิง” หนานกงเยี่ยร้องเรียกเสียงเบา เขาโน้มหน้าลงจูบริมฝีปากของเธอด้วยความทะนุถนอม
วินาทีนี้ อาคารหลังใหญ่พังถล่มลงมา
ทว่าไม่มีใครตกใจ สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังชายหญิงที่อยู่ใต้ร่มชูชีพ พวกเขากำลังจูบกัน ผู้ชายคนนั้นคือหนานกงเยี่ย คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลง
มู่เฉิงซีหันหน้าไปอีกทาง เขาก้มหน้าลง เวลานี้เขาไม่มีอะไรจะพูด ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกสับสนไปหมด
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงผลักหนานกงเยี่ยออก “พอได้แล้วค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร รีบพาเด็กคนนี้ไปหาหมอเถอะค่ะ”
“ครับ” หนานกงเยี่ยสาวมือขึ้น สะบัดร่มชูชีพทิ้ง จากนั้นช้อนตัวเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมา ในมือของเหลิ่งรั่วปิงกำลังอุ้มทารกเอาไว้ ภาพตรงหน้าดูกลมกลืนกันมาก เหมือนพ่อแม่ลูก
กล้องของสื่อต่างๆ แพนไปยังพวกเขา กดชัตเตอร์รัวๆ
ก่วนอวี้เดินไปอุ้มทารก จากนั้นพาทารกไปที่รถโรงพยาบาล ทางด้านหนานกงเยี่ยอุ้มเหลิ่งรั่วปิงเข้าไปในรถของตน
นักข่าววิ่งตามเขาไป
“คุณชายเยี่ย นี่คือคนรักใหม่ของคุณหรอคะ”
“เมื่อวาน คุณอวี้หลานซีเพิ่งประกาศว่าเธอคือว่าที่ภรรยาของคุณ คุณรู้สึกอย่างไรคะ”
หนานกงเยี่ยไม่ได้สนใจฟัง เขาปิดประตูรถ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว นักข่าววิ่งตามเขาเป็นขบวน ทว่าไม่นานเขาก็สะบัดพวกนักข่าวทิ้งจนหมด
*****
วันที่สอง หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงขึ้นหน้าหนึ่งของสำนักข่าวใหญ่ในเมืองหลง
นักข่าวรายงานเหตุการณ์ไฟไหม้ทั้งหมด พวกเขาถ่ายแววตาของหนานกงเยี่ยเอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งสรุปได้เพียงคำเดียวว่าเขาให้ความสำคัญกับเหลิ่งรั่วปิงที่เป็นคนรักใหม่มากแค่ไหน
มีข่าวกอสซิปได้ทำการวิเคราะห์เพิ่มเติม พวกเขาบอกว่าอวี้หลานซีตบหน้าตนเอง วันก่อนเพิ่งออกมายอมรับว่าเธอคือว่าที่เจ้าสาวของหนานกงเยี่ย อีกทั้งยังบอกอีกว่าเธอกับหนานกงเยี่ยรักและเติบโตมาด้วยกัน ทว่าาวันที่สองหนานกงเยี่ยกลับจูบคนรักใหม่ต่อหน้าสื่อ อวี้หลานซีกลายเป็นตัวตลก
เหลิ่งรั่วปิงไม่สนใจข่าวพวกนี้แม้แต่น้อย เธอนอนพักอยู่ที่วิลล่าหย่าเก๋อ ทางด้านหนานกงเยี่ยเองก็ไม่สนใจ เขาคอยอยู่กับเธอตลอดเวลา ไฟไหม้ครั้งนี้ทำให้เขารู้จักเธอมากขึ้น ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ไม่รู้สึกเบื่อเธอ ตัวของเธอมีเสน่ห์อย่างหนึ่งแผ่ซ่านออกมา เสน่ห์ของเธอคอยดึงดูดเขาเอาไว้
แต่ทางด้านอวี้หลานซีที่พักอยู่ในคฤหาสน์หนานกงกลับแทบบ้า เธอเคยบอกว่าสามารถเปิดใจให้ผู้หญิงทุกคนของเขา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอยอมให้เขาพาผู้หญิงพวกนั้นออกสื่อ ผู้หญิงพวกนั้นควรอยู่ในที่ที่ไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน ส่วนคนที่สามารถให้สื่อและคนทั่วไปรู้จักนั้น มีแค่อวี้หลานซีเพียงคนเดียว แค่อวี้หลานซีคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้หญิงตัวจริงของหนานกงเยี่ย การที่พวกเขาเปิดเผยความสัมพันธ์ต่อหน้าสื่อมวลชนแบบนี้ เป็นการหักหน้าเธอชัดๆ
ตอนแรกเธอเองก็ไม่พอใจที่ถูกหนานกงเยี่ยกักบริเวณ แต่หลังจากที่อ่านข่าวพวกนี้ อวี้หลานซีก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม เธอไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์กุลสตรีได้อีกต่อไป อวี้หลานซีโมโหแล้วทำลายข้าวของต่างๆ เธอร้องไห้ทั้งวัน
ตอนที่พ่อบ้านบอกเรื่องนี้ให้กับหนานกงเยี่ย หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม เขาไม่ได้พูดอะไร เขาเป็นคนไม่ชอบผู้หญิงที่ไม่เชื่อฟังอยู่แล้ว เมื่อก่อนอวี้หลานซีเชื่อฟังมาก ถึงแม้เขาจะไม่รักเธอแต่เขาก็ทะนุถนอมเธอเป็นอย่างดี แต่ช่วงนี้นับวันอวี้หลานซีก็ยิ่งทำให้เขาปวดหัว แน่นอน เหลิ่งรั่วปิงเองก็ไม่เชื่อฟัง เธอไม่เชื่อฟังตั้งแต่แรกแล้ว แต่คนเราก็มักจะแปลกแบบนี้แหละ ความไม่เชื่อฟังของเหลิ่งรั่วปิงกลับดึงดูดเขา
*****
ไฟไหม้ที่เมืองหลงในครั้งนี้ ส่งผลกระทบอย่างมาก มีสื่อหลายประเทศนำไปรายงาน
ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข้อสรุปของเพลิงไหม้ในครั้งนี้แล้ว ไม่ใช่ฝีมือของผู้ก่อการร้ายและไม่ได้มีคนจงใจวางเพลิง แต่เป็นฝีมือของเด็กชายอายุห้าขวบ เด็กชายวัยห้าขวบขโมยไฟแช็คมาจากที่บ้าน ระหว่างเดินห้างกับแม่เขาได้จุดไฟเผาเสื้อหนึ่งถุง จึงทำให้เกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่ในครั้งนี้ขึ้น
ห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวาเป็นธุรกิจของอวี้ไป่หัน ตอนนี้เขาได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก อีกทั้งช่วงที่ผ่านมานี้คนในสังคมชั้นสูงต่างพากันพูดว่าช่วงสามปีนี้ดวงของเขากำลังตกต่ำ ถึงขั้นมีโอกาสล้มละลาย เมื่อปลายปีที่แล้ว ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถของเขาเพิ่งมีคนบุกเข้าไปยิงกันสนั่น ตอนนี้ห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวาได้รับความเสียหายอย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าเขากำลังซวย
ทว่าอวี้ไป่หันไม่ได้สนใจ ห้างเสิ้งหวาไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเขา ธุรกิจตระกูลอวี้กระจายเกือบครึ่งโลก ห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวาเป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ ของเขาเท่านั้น
ไฟไหม้ในครั้งนี้ กลายเป็นเรื่องใหญ่ของคนเมืองหลง แทบจะเป็นหัวข้อที่ต้องพูดถึงหลังมื้ออาหาร
ในประเทศซีหลิงที่ห่างไกล มีใครบางคนโมโหเกรี้ยวกราดกับเรื่องนี้ เขาไม่ได้โมโหเพราะไฟไหม้ แต่โมโหความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ถูกเปิดเผยในเหตุการณ์ไฟไหม้
ตอนที่ซือคงอวี้เห็นรูปหนานกงเยี่ยอุ้มเหลิ่งรั่วปิง เขาโมโหเป็นอย่างมาก หยิบมีดบินที่ซ่อนเอาไว้บนเก้าอี้แล้วเขวี้ยงไปที่แท่นวางเทพเจ้า แท่นวางเทพเจ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ หมาป่าเทาตกใจทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
ไม่ว่ายังไงซือคงอวี้ก็คิดไม่ถึง เขากำชับนักกำชับหนา อีกทั้งยังส่งอาเธอร์และหลินมั่นหรูไปที่เมืองหลง ทว่าก็ยังไม่สามารถเลี่ยงไม่ให้ผู้ชายคนอื่นมาใกล้เธอได้ อีกทั้งผู้ชายคนนั้นยังคือหนานกงเยี่ย
เขาหลงรักเหลิ่งรั่วปิงมานานหกปี คอยปกป้องและดูแลเธอเหมือนหยกล้ำค่า คอยช่วยเธอแก้แค้น แต่เธอกลับหักหลังเขา!
เพราะความโมโหทำให้ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ อีกทั้งยังมีเส้นเลือดโผล่ออกมา ซือคงอวี้กวาดมองไปรอบๆ ห้องโถง อยากจะไปเมืองหลงเสียตอนนี้เลย “เหลิ่งรั่วปิง คุณกล้าหักหลังผม ดูสิว่าคุณจะเอาอะไรมารองรับความโมโหของผม!หนานกงเยี่ย แกกล้าทำให้ผู้หญิงของฉันแปดเปื้อน งั้นก็เตรียมตัวตายซะ!”
*****
กลางดึก ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงกำลังนอนหลับในอ้อมกอดของเหลิ่งรั่วปิง จู่ๆ เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้นนั่ง เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เหมือนได้ยินเสียงคำรามด้วยความกระหายเลือดของซือคงอวี้ ความหวาดกลัวนี้อยู่หยั่งลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเธอ ความกลัวที่เธอมีต่อเขามันคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
เหตุการณ์ไฟไหม้ผ่านไปสามวันแล้ว สามวันที่ผ่านมานี้ เธอมัวแต่ดื่มด่ำกับการดูแลและเอาใจใส่ของหนานกงเยี่ย จนลืมครุ่นคิดไป เวลานี้ หลังจากตื่นจากฝันร้าย เหลิ่งรั่วปิงก็เพิ่งรู้ตัว ความสัมพันธ์ของเธอกับหนานกงเยี่ยถูกเปิดเผยโดยนักข่าว อีกทั้งซือคงอวี้คอยจับตาดูข่าวของเมืองหลงตลอดเวลา เขาคงรู้เรื่องของเธอกับหนานกงเยี่ยแล้ว ซือคงอวี้ต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแน่ๆ ตอนแรกเธออยากจะปิดบังเรื่องนี้จนถึงวันที่เธอแก้แค้นสำเร็จ ทว่าวันนี้ดูท่าความจริงกำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว
ซือคงอวี้เหี้ยมโหดและเลือดเย็นมาก เธออยู่กับเขามาหกปีแล้ว ความหวาดกลัวที่มีต่อเขามันฝังเข้ามาในกระดูก ดังนั้นเวลานี้เธอถึงรู้สึกกลัวมาก
หนานกงเยี่ยเองก็สะดุ้งตื่น เขาจับใบหน้าของเธอแล้วพูดงัวเงีย “เป็นอะไร ฝันร้ายหรอ”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ฝันถึงไฟไหม้ครั้งนั้นอีกแล้วหรอ”
“…ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า เธอไม่กล้าเปิดเผยว่าตนคือนักฆ่าของวิหารซีหลิง
หนานกงเยี่ยดึงตัวเธอเข้าไปกอด “เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ หื้ม?”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามเสียงเบา “คุณหนานกงเยี่ย ถ้ามีคนจะแย่งฉันไปจากคุณ คุณจะปกป้องฉันไหมคะ”
“แน่นอนสิ” หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงถามขึ้นมากะทันหัน หัวใจของเขามีหลุมดำเกิดขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว เป็นหลุมดำที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง เขารู้สึกกลัวและกังวล เธอกำลังพบเจอกับปัญหาอะไร
“ถ้าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมาก แล้วยังเป็นอันตรายต่อคุณ คุณยินดีที่จะเสี่ยงเพื่อฉันไหมคะ”
“ยินดีครับ” ผู้หญิงที่หนานกงเยี่ยต้องการ ไม่ว่าใครก็ห้ามทำร้าย แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ ขอแค่เขาต้องการ เขาพร้อมที่จะสู้กับสวรรค์ สู้กับนรก
เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม เธอซบลงที่อ้อมกอดของเขา แล้วหลับตาลงเบาๆ ไม่ว่าเขาจะทำมันได้หรือเปล่า แต่วินาทีนี้หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่นมาก
*****
เหลิ่งรั่วปิงรู้ ซือคงอวี้ต้องตามล่าจับตัวเธอแน่นอน แต่เธอภาวนาให้เขามีงานลัดตัวและเลื่อนเวลาออกไปจนกว่าเธอจะแก้แค้นสำเร็จ หลังจากไฟไหม้ในครั้งนั้น อาเธอร์ขาดการติดต่อกับเธอ เหลิ่งรั่วปิงเดาว่าเขาคงถูกเรียกตัวกลับวิหารแล้ว
ในขณะที่เธอรู้สึกไม่สบายใจ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แลนด์มาร์คเมืองหลงสร้างไปจนถึงชั้นสามสิบ ฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมาที่เมืองหลง ทั้งเมืองหลงท้องฟ้ามืดครึ้มและฝนตกทุกวัน เมืองหลงชุ่มช่ำไปด้วยฝนเหมือนอยู่ในหมอก แลนด์มาร์คหยุดก่อสร้างชั่วคราวเพราะฝนที่เทลงมา ตอนนี้รอเพียงวันที่แลนด์มาร์คจะถล่มลงมาเท่านั้น
ตั้งแต่ไฟไหม้ในครั้งนั้น หนานกงเยี่ยรู้สึกว่าเหลิ่งรั่วปิงมีความในใจบางอย่าง แต่เธอไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่สามารถรู้ได้ เขาคิดว่าไฟไหม้ในครั้งนั้นกลายเป็นปมในใจของเธอ
วันนี้ หนานกงเยี่ยรับเหลิ่งรั่วปิงกลับบ้านพร้อมกันเหมือนที่ผ่านมา ระหว่างทาง ฝนที่ตกลงมากระทบกับกระจกรถ หยาดฝนรวมตัวกันเป็นหยดน้ำ จากนั้นก็ถูกที่ปัดฝนปัดทิ้ง เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนท่วงทำนองในบทเพลง
เหลิ่งรั่วปิงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างหนานกงเยี่ย เธอรู้ดีว่าชีวิตที่สงบสุขแบบนี้เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาและรู้สึกคิดถึงกลิ่นของเขา
หนานกงเยี่ยมองดูเธอเงียบๆ ช่วงนี้เหลิ่งรั่วปิงมักจะนั่งเงียบ เขามองดูด้วยความปวดใจ กลัวว่าเธอจะหายไปท่ามกลางความเงียบนี้ ส่วนเขาก็จะไม่ได้เจอเธออีก ความรู้สึกหวาดกลัวที่จะสูญเสียเธอไปแผ่ซ่านอยู่ในใจของเขา
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เขาโอบกอดเธอเอาไว้ “คิดอะไรอยู่ครับ”
“เปล่าค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม “ฉันกำลังคิดว่าครั้งแรกที่คุณทิ้งฉันไปมันเป็นความรู้สึกยังไง”
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วย คุณให้ความสำคัญกับมันมากหรอ หรือว่าคุณยังโทษที่ผมทำให้คุณมีความทรงจำแย่ๆ”
“เปล่าค่ะ ถึงอย่างไรการทิ้งฉันไปก็เป็นการตัดสินปกติทั่วไปของคุณอยู่แล้ว” เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ “คืนก่อนวันเลิกกัน ฉันถามคุณว่าหลังจากที่เราเลิกกันแล้วคุณจะคิดถึงฉันไหม แต่คุณไม่ได้ตอบ ตอนนี้คุณตอบคำถามฉันได้หรือยังคะ”
“แล้วคุณคิดว่ายังไงครับ” หนานกงเยี่ยก้มหน้าลงแล้วมองดูเธอ “สมองของคุณนับวันก็ยิ่งโง่ ถ้าผมไม่คิดถึงคุณแล้วผมจะไปเอาตัวคุณมาจากเมืองเฟิ่งทำไม”
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ “ฉันคิดมาตลอดว่าคุณแค่เผด็จการและแสดงความเป็นเจ้าของเท่านั้น”
“นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ผมไม่ปฏิเสธว่าไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนทำให้ผมโมโห จนทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้น แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะสามารถทำให้ผมเผด็จการและต้องการเป็นเจ้าของ มีแค่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้”
“ถ้าพวกเราเลิกกันอีกครั้ง คุณจะคิดถึงฉันไหมคะ”