เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 130 ผมต้องการให้คุณรักผมแค่คนเดียว
กลับไปที่คฤหาสน์อีกครั้ง หนานกงเยี่ยสั่งให้คนใช้ในคฤหาสน์ออกไปจนหมด ภายในห้องครัวมีแค่เขากับเหลิ่งรั่วปิง
เหมือนครั้งตอนที่อยู่ในวิลล่าหย่าเก๋อ เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนทำอาหาร ส่วนหนานกงเยี่ยเป็นลูกมือของเธอ เพียงแต่ครั้งนี้ บรรยากาศแตกต่างออกไปจากเดิม หนานกงเยี่ยคอยระมัดระวังทุกอย่าง เพราะกลัวว่าจะทำให้เธอโมโห เขาเชื่อฟังเธอเหมือนเด็กน้อย
ผู้ชายที่ปกติเย็นชาและเผด็จการ จู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่ระมัดระวังในทุกการกระทำของตนเอง เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกไม่ชิน แต่สุดท้ายเธอก็เข้าใจว่าที่เขาทำแบบนี้เป็นเพราะรู้สึกผิด
เหลิ่งรั่วปิงเปิดใจยอมรับทุกอย่างที่เขาทำ เธอไม่อาจปฏิเสธได้ เธอเริ่มชอบหนานกงเยี่ยขึ้นมาแล้ว หรือจะบอกว่ารักเขาเข้าแล้วก็ได้ แต่เธอไม่อยากฝืนโชคชะตา เธอไม่มีวันเป็นเหมือนอวี้หลานซี เธอหยิ่งในศักดิ์ศรีและรักตัวเองมาก ถ้าหนานกงเยี่ยหมดรักเธอ เธอไม่มีวันทนอยู่กับเขาต่อแม้วินาทีเดียว
เมื่อเธอคิดได้แล้ว เหลิ่งรั่วปิงก็ไม่รู้สึกเศร้าอีก เธอรอการบอกเลิกจากเขาด้วยความใจเย็น
เหลิ่งรั่วปิงเอาเนื้อไก่ไปล้าง จากนั้นเอาไปผัดในกระทะ ใส่เครื่องปรุงต่างๆ เข้าไป พร้อมกับเติมน้ำแล้วตุ๋น
ระหว่างตุ๋นไก่ เธอเอาเห็ดไปล้าง ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ เหมือนผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังเตรียมมื้อเที่ยงให้กับสามี
หนานกงเยี่ยมองดูเธออยู่นาน เขาสวมกอดเธอจากด้านหลัง ใบหน้าของเขาแนบชิดกับใบหน้าของเธอ “เหลิ่งรั่วปิง อย่าโกรธผมเลย ดีกันนะ”
เหลิ่งรั่วปิงชะงัก เธอคลายยิ้มบางๆ “คุณพูดอะไรคะ”
ริมฝีปากบางของหนานกงเยี่ยสัมผัสไปที่แก้มของเธอ “เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือยอร์ช เป็นความผิดของผมเอง”
“…ฉันไม่เก็บมาคิดหรอกค่ะ” ในเมื่อจะเลิกกันอยู่แล้ว เธอก็จะจดจำแค่เรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ แน่นอน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเวลาส่วนมากเขาล้วนทำดีกับเธอ
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความเศร้า แล้วเอาหน้าไปถูแก้มของเธอแรงๆ สองที “เป็นเพราะคุณไม่ได้รักผม ก็เลยไม่แคร์?”
“…คิดว่าเป็นแบบนั้นก็แล้วกันค่ะ”
หนานกงเยี่ยหยุดทุกการกระทำของตนเองทันที เขาซบอยู่บนหัวไหล่ของเธอเงียบๆ แววตาของเขาหม่นหมอง “ผมไม่เป็นที่รักขนาดนั้นเลยหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจ “พวกเราอยู่ด้วยกันเพราะข้อตกลง ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นไม่ดีตั้งแต่แรก ในเมื่อผลสุดท้ายมันจบลงไม่ดี ทำไมคุณต้องฝืนมันด้วยคะ” เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น แล้วยังต้องการให้เธอรักเขา มันจะเป็นไปได้ยังไง เธอรักตัวเองยังดีเสียกว่า
หนานกงเยี่ยเม้มปากแน่น เขาคลายกอด นิ่งงันอยู่พักหนึ่ง แล้วกระแทกถ้วยบนโต๊ะอย่างแรง “เป็นเพราะเราเริ่มต้นด้วยกันไม่ดี คุณก็เลยปฏิเสธผมใช่ไหม” จากนั้น หนานกงเยี่ยก็โยนถ้วยทิ้ง “ผมยังทำดีไม่มากพออีกหรอ คุณต้องการให้ผมทำยังไงกันแน่”
เหลิ่งรั่วปิงหลับตาลง ต้องการให้ทำยังไงงั้นหรอ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น! เธอแค่ไม่อยากเป็นนางบำเรอของเขา ไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้หญิงมากมายของเขา! ในเมื่อคุณจะแต่งงานกับอวี้หลานซี ก็อย่าคิดว่าฉันจะอยู่กับคุณ! ยิ่งไม่ต้องเพ้อฝันว่าฉันจะรักคุณ!
คำพูดที่พูดออกมาเพราะความโมโหของหนานกงเยี่ย เธอคิดจริงจังมาโดยตลอด
หลายปีให้หลัง หนานกงเยี่ยรู้สึกเสียใจมากที่ตนเองไม่ยอมอธิบายให้เธอฟัง ถ้าเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาจะยอมลดศักดิ์ศรีของตนเองแล้วอธิบายให้เธอฟัง แต่มันน่าเสียดาย ที่ตอนนี้เขาไม่รู้
หลังจากเสียงถ้วยแตก ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงเปิดหม้อต้ม แล้วใส่เห็ดเข้าไป
หนานกงเยี่ยกอดเธออีกครั้ง เขาพูดพึมพำอยู่ตรงหูของเธอ “เหลิ่งรั่วปิง ผมต้องการให้คุณรักผม รักแค่ผม คุณพูดมาสิว่าคุณรักผม!”
ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาขอร้องให้เธอพูดว่ารักเขา
เหลิ่งรั่วปิงไม่ขัดขืนเขาแม้แต่น้อยและไม่ได้ตอบเขา เธอเอาแต่ดื้อไม่ยอมพูดมันออกมา
สุดท้าย หนานกงเยี่ยหมดความอดทัน เขากัดไปที่คอระหงของเธออย่างแรง “เหลิ่งรั่วปิง คุณมันคนไม่มีหัวใจ!”
พูดจบ เขาผลักเหลิ่งรั่วปิงไปที่เคาน์เตอร์ห้องครัว แล้วหันหลังเดินออกไป เหลิ่งรั่วปิงได้ยินเสียงสตาร์ทรถดังขึ้น เขาขับรถออกไปจากคฤหาสน์หนานกงแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงจับแผลตรงคอของตนเองเบาๆ เธอเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นก็เดินไปปิดแก๊ซ ตักไก่ตุ๋นเห็ดออกมา พร้อมกับตักข้าวให้ตนเองหนึ่งถ้วย เธอกินข้าวเงียบๆ ข้าวถ้วยนี้ เธอกินนานมาก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเธอก็กินข้าวจนหมด ขณะที่เธอกำลังจะเก็บกวาดโต๊ะ อยู่ดีๆ หนานกงเยี่ยก็เดินออกมาจากห้องครัว สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่ไม่มีความโมโหแล้ว
เขาเดินมานั่งที่โต๊ะเงียบๆ แล้วพูดขึ้น “ตักข้าวให้ผมหน่อย”
เหลิ่งรั่วปิงเดินไปตักข้าวให้เขา พร้อมกับตักเนื้อไก่และเห็ดที่เหลือออกมา
หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาตั้งใจกินมันมาก เหมือนว่าเขาจะหิวเป็นพิเศษ กินหมดทั้งข้าวและอาหาร
สุดท้าย หนานกงเยี่ยพูดขึ้น “คุณทำอาหารอร่อยมาก” น้ำเสียงของเขาไม่เหมือนกับตอนทะเลาะกัน
ที่จริงเขาไม่เคยคิดมาก่อน วันหนึ่งเขาต้องทะเลาะกับคนอื่น ทั้งยังทะเลาะกับผู้หญิง เขาไม่เคยพูดเรื่องไร้สาระ ไม่มีวันเสียเวลามาทะเลาะกับคนอื่น คำพูดของเขาถ้าไม่ใช่คำสั่งก็เป็นการแจ้งให้ทราบเท่านั้น แต่เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนทำให้เขาเริ่มทะเลาะกับคนอื่น เขาทะเลาะกับเธออยู่หลายครั้งและรู้สึกผิดทุกครั้งที่ทะเลาะกับเธอ เขามักจะเป็นกังวลว่าจะทำให้เธอเสียใจ
เขาไม่ใช่หนานกงเยี่ยคนเดิมอีกแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงไม่ยอมพูด เธอเริ่มคิดไปต่างๆ นานา
ไม่ได้อยู่ด้วยกันนานสิบกว่าวัน เขาคิดถึงเธอมาก คิดถึงเธอมากๆ
เธอเป็นยาพิษ ที่เขาไม่สามารถถอนพิษได้
*****
วันนี้เป็นวันที่ลั่วซูเยียงออกจากคุก เธอกลับมาที่วิลล่าตระกูลลั่วอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้บ้านของเธอเละเทะไปหมด มองดูห้องรับแขกที่เละเทะ ตู้เซฟที่ว่างเปล่า รวมถึงเจี่ยนชิวที่เอาแต่กรีดร้องสาปแช่งต่างๆ นานาบนวีลแชร์ ลั่วซูเยียงรู้สึกหมดหวัง ความแค้นของเธอก็ทะยานขึ้นสูง
เวลานี้ โทรทัศน์กำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับลั่วเฮิ่ง ลั่วเฮิ่งนั่งเฮลิคอบเตอร์ส่วนตัวบินหนีไปต่างประเทศ ระหว่างทางเครื่องบินของตระกูลหนานกงเยี่ยและรัฐบาลได้มาขวางทางเอาไว้ จึงทำให้เขากลับลำ บินชนกับภูเขา ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ทางเจ้าหน้าที่รัฐได้เจอซากเฮลิคอปเตอร์ของเขาแล้ว ภายในเฮลิคอปเตอร์มีทองคำแท่งจำนวนมาก
หลังจากดูข่าวจบ ลั่วซูเยียงหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่น่าเวทนา
ขณะที่เธอกำลังหัวเราะอยู่นั้น มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในบ้าน เหตุเพราะตระกูลลั่วล้มละลายแล้ว ทำให้ไม่มีบอดี้การ์ดและยามคอยเฝ้าประตู แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้ จึงเดินตรงเข้ามาในห้องรับแขก
เธอสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำ นอกจากดวงตาและมือทั้งสองข้างแล้ว ร่างกายส่วนที่เหลือของเธอล้วนอยู่ภายใต้ชุดคลุมตัวยาว รอบๆ ของเธอแผ่รังสีอาฆาต
ลั่วซูเยียงตกใจจนหยุดหัวเราะ “แกเป็นใคร?”
“ฉันเป็นคนที่อยากเห็นเหลิ่งรั่วปิงตาย!” พอเธอพูดออกมา ราวกับเป็นเสียงจากนรก คลุ้งไปด้วยความอาฆาต คล้ายกับว่าเธอเป็นวิญญาณที่มาจากความตาย
“เหลิ่งรั่วปิง?” ลั่วซูเยียงกัดฟันกรอดตอนที่เธอพูดชื่อนี้ออกมา เธออยากจะหั่นเหลิ่งรั่วปิงเป็นหมื่นๆ ท่อน
“พวกเราเป็นพวกเดียวกัน รออะไรอยู่ ไปฆ่าเหลิ่งรั่วปิงกับฉัน!”
“ใช่ การฆ่าเหลิ่งรั่วปิงเท่านั้น ที่สามารถคลายความเกลียดแค้นในใจฉันได้”
*****
หลังจากนอนกลางวัน หนานกงเยี่ยได้รับสายของก่วนอวี้ จากนั้นเขาก็รีบออกไป ทิ้งให้เหลิ่งรั่วปิงอยู่ในคฤหาสน์ เหลิ่งรั่วปิงเห็นข่าวของลั่วเฮิ่งแล้ว ตอนแรกเธอคิดว่าลั่วเฮิ่งจะติดคุก คิดไม่ถึงว่าเขาจะหนีเข้าไปในป่า ดูท่าแล้วเธอคงต้องเป็นคนส่งเขาไปนรกเอง
ด้วยเหตุนี้ เหลิ่งรั่วปิงจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ เธออาบน้ำล้างตัวเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ออกไปจากคฤหาสน์หนานกงแล้วเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังภูเขาเป่ยซาน
คนอื่นตามหาลั่วเฮิ่งไม่เจอ แต่เธอสามารถตามหาเขาได้ เพราะวันที่เธอหารือโปรเจคแลนด์มาร์คกับเขา ลั่วเฮิ่งดื่มจนเมาหนัก เธอจึงแอบยิงเครื่องติดตามเข้าไปในหูของเขา ทำให้อาเธอร์สามารถตามหาพิกัดเขาได้ตลอดเวลา
เหลิ่งรั่วปิงมาถึงเชิงเขา เธอลงจากรถ เปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ แล้วโทรหาอาเธอร์ “อาเธอร์ ตอนนี้ลั่วเฮิ่งอยู่ที่ไหน”
“อยู่ตรงหน้าผาภูเขาเป่ยซาน”
บนหน้าผา ด้านบนมีต้นไม้ปกคลุม ด้านล่างมีหินมากมาย เป็นที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัว
เหลิ่งรั่วปิงกระตุกมุมปาก แสยะยิ้ม ปีนขึ้นไปบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ หลังจากที่เธอปีนป่ายผ่านภูเขาสองเนิน ในที่สุดเธอก็มาถึงบนหน้าผา
เวลานี้ลั่วเฮิ่งเหมือนสุนัขไร้บ้าน เสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าเปรอะเปื้อน ผมเพ้ายุ่งเหยิง คดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ แลดูทุกข์ระทมและน่าอนาถ สมแล้วที่ตกลงมาจากที่สูง สภาพของเขาไม่ทำให้เหลิ่งรั่วปิงผิดหวังเลยสักนิด
แม้ว่าชีวิตของเขาจะน่าอนาถถึงขั้นนี้ แต่เขายังคงไม่รู้สึกผิดกับเรื่องเลวๆ ที่ทำเอาไว้เมื่อสิบปีก่อน ไม่ได้รู้สึกผิดกับบาปกรรมที่ได้รับ แต่เขากลับเสียใจที่ตนเองไม่เชื่อลั่วซูเยียง ถ้าเขารู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงกับเจียงหน่วนซินเป็นคนเดียวกัน เขาต้องคิดหาวิธีและทำทุกอย่างเพื่อฆ่าเธอ แต่น่าเสียดาย มันสายไปแล้ว
“ลั่วเฮิ่ง…”
ตอนที่เสียงของเหลิ่งรั่วปิงดังเข้ามาในโสตประสาทของลั่วเฮิ่ง เขานึกว่าตนเองหลอนไปเอง จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้น ในทางกลับกันเขาเอาแต่พูดกับต้นหญ้าบนพื้น “เหลิ่งรั่วปิง แกทำให้ครอบครัวของฉันพัง ฉันจะทำให้แกตกนรก!”
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะเสียงดัง “ก็ลองดูสิ แต่ต้องดูว่าแกจะมีชีวิตรอดไปทำไหม”
ในที่สุดลั่วเฮิ่งก็รู้ว่าเขาไม่ได้หลอนไปเอง เขารีบลุกขึ้นกัดฟันกรอดแล้วพุ่งไปหาเหลิ่งรั่วปิง “เหลิ่งรั่วปิง!”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะอย่างสะใจ “ใช่แล้ว ฉันคือเจียงหน่วนซิน ฉันกลับมาเมืองหลงเพื่อส่งพวกแกทั้งครอบครัวลงนรก”
“หึ ในเมื่อมาแล้ว ฉันก็จะส่งแกไปเจอกับพ่อของแก!”
ขณะที่พูด ลั่วเฮิ่งชักปืนออกมา เล็งไปที่เหลิ่งรั่วปิง แต่เขายังไม่ทันได้ยิง เหลิ่งรั่วปิงก็ยกมือขวาขึ้น มีแสงกะพริบ หนึ่งวินาทีต่อจากนั้น มีดบินของเหลิ่งรั่วปิงบินทะลุปืนของเขาปักเข้าที่มือ
“อ๊า!” ลั่วเฮิ่งเจ็บจนร้องเสียงหลง ปืนหล่นลงพื้น
รอยยิ้มของเหลิ่งรั่วปิงสวยงามเป็นพิเศษ “หึ ฉันฝึกมีดบินมานานหกปี เพื่อวันนี้ ลั่วเฮิ่ง แกรู้สึกยังไงบ้าง”
“แก…แกมันนางปีศาจ!” ลั่วเฮิ่งอดทนกับความเจ็บปวด มือข้างซ้ายจับข้อมือข้างขวาเอาไว้ เขาอยากจะดึงมันออก แต่ไม่มีความกล้านั้น
หนานกงเยี่ยยืนหลบอยู่หลังก้อนหินอีกฝั่งหนึ่งของหน้าผา เขามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด