เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 135 ไฟไหม้สิ้นสุดความแค้น
มองดูเฮลิคอปเตอร์ที่บินออกไปจากป่า เหลิ่งรั่วปิงเงียบ หนานกงเยี่ยโอบเธอเอาไว้ด้วยความปวดใจ “ไม่ต้องเสียใจ เฉิงซีแค่รักผู้หญิงของเขาก็เท่านั้น”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มร่า “ฉันไม่เสียใจหรอกค่ะ ฉันดีใจกับเวินอี๋”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเราไปกันเถอะ”
“ค่ะ”
ทั้งสองเดินกลับไปทางเดิม ขับมอเตอร์ไซต์กลับเข้าไปในตัวเมืองด้วยกัน
เหลิ่งรั่วปิงนั่งซ้อนท้าย เธอกอดเอวของหนานกงเยี่ย แล้วเอาหน้าแนบชิดกับแผ่นหลังของเขา
บางทีเธออาจจะสามารถพึ่งพิงผู้ชายคนนี้ได้
*****
ตอนที่กลับมาถึงวิลล่าหย่าเก๋อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว
สิ่งแรกที่หนานกงเยี่ยทำก็คือ สั่งให้ก่วนอวี้กว้านซื้อบริษัททั้งหมดของจั่วเยี่ยนเหา ต้องให้เขาล้มละลายภายในหนึ่งคืน หลังจากที่เขากินมื้อค่ำกับเหลิ่งรั่วปิงเสร็จ เขาก็กลับไปที่บริษัท เพื่อไปดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเอง
เหลิ่งรั่วปิงเองก็ไม่ได้ทำตัวว่าง เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานแล้วแอบส่งข้อความไปหาอาเธอร์ บอกให้เขาสืบเรื่องของเจี่ยนชิวและลั่วซูเยียง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง อาเธอร์ตอบกลับ “ทรัพย์สินของตระกูลลั่วถูกอายัดไว้หมดแล้ว ตอนนี้เจี่ยนชิวและลั่วซูเยียงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าทรงยุโรปสองชั้นเก่าๆ แถวหนานเจียว
การซ้ำเติมสุนัขจนตรอก เป็นสิ่งที่เหลิ่งรั่วปิงยินดีที่จะทำมาก คืนนี้เธอจะคิดบัญชีแค้นทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ เหลิ่งรั่วปิงจึงออกไปตอนกลางดึก เธอนั่งรถแท็กซี่ไปทางทิศใต้ของเมือง แล้วเดินหาบ้านทรงยุโรปตามที่อาเธอร์บอกเอาไว้
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เหลิ่งรั่วปิงเจอบ้านทรงยุโรปหลังนั้น บ้านทรงยุโรปหลังนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณห้าร้อยเมตร ด้านข้างเป็นพื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้มีการก่อสร้างมานานแล้ว ทำให้มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ยิ่งเวลากลางคืนยิ่งดูน่ากลัว บ้านทรงยุโรปที่สองแม่ลูกอาศัยอยู่ ตั้งโดดอยู่ข้างๆ พื้นที่ก่อสร้าง โดยรอบไม่มีอาคารใดๆ ทั้งยังไม่มีไฟข้างถนนและไม่มีน้ำไม่มีไฟฟ้า เป็นอาคารที่ถูกทิ้งล้างจากการสร้าง
ห้องบนชั้นสองของบ้าน มีแสงเทียนส่องสลัว เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมที่มืดไปหมด แสงเทียนนั้นดูสลัวมาก
คืนนี้ เหลิ่งรั่วปิงสวมกางเกงขายาวสีดำและเสื้อเชิ้ตสีดำ ด้านนอกทับด้วยเสื้อหนังสีดำและรองเท้าผ้าใบสีดำ การแต่งตัวของเธอรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด เธอเหมือนนางฟ้าในค่ำคืนที่มืดมิด
ด้านในห้องที่มีแสงเทียนสลัว ประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อย คนที่ยืนอยู่ด้านนอกจึงได้ยินเสียงสนทนาของคนด้านในอย่างชัดเจน
ลั่วซูเยียง “ทำไมเรื่องเยอะขนาดนี้ หนูออกไปแค่ไม่นาน แม่ก็กลิ้งตกบันได ไร้ประโยชน์จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ตามให้หนูกลับมา หนูคงฆ่านางสารเลวทั้งสองคนเหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋ได้แล้ว!”
เจี่ยนชิว “แกจะดุฉันทำไม แกจะคิดเอาแต่ฆ่านางสารเลวสองคนนั้น จนไม่สนใจแม่ตัวเองหรอ อีกอย่าง ลู่หวาหนงต้องฆ่าพวกมันแล้วแน่ๆ แกรอฟังข่าวดีเถอะ”
ลัวซูเยียง “ใครจะไปรู้ คนโง่ๆ อย่างลู่หวาหนงจะทำสำเร็จไหม ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วแต่ยัยนั่นยังไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย”
“ยัยนั่นไม่มีโอกาสส่งข่าวมาบอกแกหรอก!” เหลิ่งรั่วปิงผลักประตูเดินเข้าไปในห้อง ริมฝีปากของเธอแสยะยิ้ม มองสองแม่ลูกที่อยู่ในห้องด้วยสายตาที่เหมือนมองคนตาย
เจี่ยนชิวและลั่วซูเยียงตกใจเป็นอย่างมาก ลั่วซูเยียงรีบลุกขึ้นยืน “เหลิ่งรั่วปิง ทำไมแกถึงยังไม่ตาย”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอ เธอเชยคางขึ้นเล็กน้อย “ฉันไม่ตายหรอก คนที่ตายคือลู่หวาหนง พวกแกคงผิดหวังมากใช่ไหม”
“แก…แกคิดจะทำอะไร” ลั่วซูเยียงก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว ด้วยความไม่ระวังทำให้เทียนที่อยู่บนโต๊ะล้มลง ใช้เวลาไม่นานผ้าม่านก็ติดไฟแล้วลุกไหม้
เจี่ยนชิวตกใจ “ซูเยียง รีบดับไฟ!”
บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ทรงยุโรปโบราณ ถ้าไฟไหม้ขึ้นมาไม่สามารถที่จะดับไฟได้ทันแน่นอน เรื่องนี้ลั่วซูเยียงรู้ดี เธอจึงรีบหยิบไม้กวาดขึ้นมาดับไฟตรงผ้าม่าน
เหลิ่งรั่วปิงแสยะยิ้ม เธอมาที่นี่เพื่อที่จะเอาไฟไหม้มาเป็นของขวัญให้สองแม่ลูกอยู่แล้ว เธอจะปล่อยโอกาสนี้หลุดมือได้ยังไง เหลิ่งรั่วปิงหยิบไฟแช็คออกมาจากกระเป๋า จุดไฟแล้วโยนเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ชั่วพริบตาตู้เสื้อผ้าไฟลุกไหม้ทันที ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศค่อนข้างที่จะแห้ง ทำให้ไฟลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊า! ซูเยียง ทางนี้!” เจี่ยนชิวนั่งอยู่ในวีลแชร์ไม่สามารถยืนขึ้นได้ เอาแต่ร้องตะโกนบอกกับลั่วซูเยียง
ลั่วซูเยียงที่เพิ่งดับไฟตรงผ้าม่านเสร็จ หันมาอีกทีก็เห็นตู้เสื้อผ้ามีไฟลุกไหม้ เธอเป็นกังวลมาก “เหลิ่งรั่วปิง แกคิดจะทำอะไร แกอยากจะตายไปพร้อมกับพวกฉันที่นี่หรือไง”
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ รอยยิ้มของเธอสวยเหมือนดอกไม้ไฟ “พูดเป็นเล่น ฉันจะตายไปพร้อมกับพวกแกได้ยังไง ฉันแค่อยากเห็นพวกแกตายก็เท่านั้น ตอนนั้นพวกแกวางแผนให้ฉันตายในกองไฟ วันนี้ฉันก็จะให้พวกแกตายในกองไฟ”
ลั่วซูเยียงวิ่งไปที่ประตูอย่างบ้าคลั่ง เธออยากจะวิ่งหนีออกไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย เธอไม่มีอารมณ์มาเป็นห่วงผู้เป็นแม่ เธออยากหนีเอาชีวิตรอด
เหลิ่งรั่วปิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเทพเซียน ตอนที่ลั่วซูเยียงวิ่งมานั้น เธอกระโดดเตะจนลั่วซูเยียงล้มลง “คืนนี้ ฉันจะจบความแค้นระหว่างเรา ดังนั้นแกหนีไปไหนไม่รอดหรอก” เสียงของเธอเหมือนฑูตแห่งความตายที่มาลงโทษคนผิด
ลั่วซูเยียงมองดูไฟที่ลุกลามรอบๆ ตนเองด้วยความกระวนกระวาย “เหลิ่งรั่วปิง ต่อให้แกจะเห็นพวกฉันตายต่อหน้าแก แต่แกก็หนีออกไปไม่ได้หรอก”
เหลิ่งรั่วปิงกระตุกมุมปาก “ใครบอกแกว่าฉันหนีไปจากที่นี่ไม่ได้ ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงอ่อนแอที่ยอมให้พวกแกรังแกอีกแล้ว หลังจากที่มองดูพวกแกสองแม่ลูกตาย ฉันก็สามารถออกไปได้”
เวลานี้ ตู้เสื้อผ้าทั้งตู้ไหม้ไปหมดแล้ว ควันเริ่มโขมงขึ้นมา เพดานห้องเต็มไปด้วยควันสีดำ เหลิ่งรั่วปิงแสยะยิ้มแล้วเตะเก้าอี้ที่มีไฟลุกไหม้ออกไปนอกประตู ทำให้บันไดไม้มีไฟลุกไหม้ขึ้นมาทันที หลังจากนั้นไม่นาน บันไดก็พังลง คนที่อยู่บนชั้นสองไม่สามารถลงไปชั้นล่างได้
“อ๊า! เหลิ่งรั่วปิง แกมันบ้า!” ลั่วซูเยียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง
“พวกฉันตาย แกก็อย่าหวังว่าจะรอด!” เจี่ยนชิวเอามือฟาดไปยังวีลแชร์อย่างแรง
ด้วยลมในต้นฤดูใบไม้ร่วง ไฟจึงลุกลามไปทั่วทั้งบ้านไม้อย่างรวดเร็ว สิบนาทีหลังจากนั้น บ้านทั้งหลังเริ่มโยกไปทั้งขวาทีซ้ายที ไฟที่โหมกระหน่ำด้านในห้องลามออกไปด้านนอก ไฟไหม้ลุกลามไปทั้งหลัง
เหตุเพราะเจี่ยนชิวไม่สามารถลุกหนีได้ ไม้ที่อยู่บนเพดานหล่นลงมาทับร่างของเธอ จนไฟเผาร่างของเธอ เจี่ยนชิวร้องด้วยความเจ็บปวด “ซูเยียง ช่วยแม่ด้วย!”
ทว่าลั่วซูเยียงกลับไม่ได้สนใจเจี่ยนชิวแม้แต่น้อย เธอมัวแต่หนีจากกองไฟเอาชีวิตรอด
เหลิ่งรั่วปิงแสยะยิ้มอีกครั้ง “ขอให้พวกแกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาในนรก”
พูดจบ เธอวิ่งไปที่หน้าต่าง กระโดดลงไป คล้ายกับผีเสื้อสีดำบินลงจากชั้นสอง กระโดดลงบนพื้นด้วยความมั่นคง
คล้ายกับลั่วซูเยียงเห็นโอกาสรอดชีวิต เธอรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง อยากจะกระโดดลงไป ถึงแม้เธอจะไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้ กระโดดลงไปแบบนี้อาจจะขาหักได้ ทว่าสำหรับเธอการที่ขาหักก็ยังดีกว่าตาย แต่เหมือนฑูตแห่งความตายกำลังมองดูเธออยู่ ขณะที่ลั่วซูเยียงกำลังจะกระโดดออกมาจากหน้าต่าง บ้านทั้งหลังก็ถล่มลงมา กลายเป็นกองไฟขนาดใหญ่ เจี่ยนชิวและลั่วซูเยียงจมอยู่ในกองไฟ แม้แต่กรีดร้องก็ยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา
เพลิงไฟลุกไหม้ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า
เหลิ่งรั่วปิงมองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา หมุนตัวเดินออกไป วินาทีนี้ เธอรู้สึกตัวเบาหวิว ความแค้นที่กดทับเธอมานานกว่าสิบปีได้จบลงแล้ว เธอไม่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อความแค้นอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เธอจะเป็นเหลิ่งรั่วปิงที่มุ่งมั่นเพื่อความสุข
ขณะที่เธอเดินอยู่บนถนน เธอเห็นรถของหนานกงเยี่ยจอดเอาไว้ข้างเธอ ม่านตาของเหลิ่งรั่วปิงหดเล็ก มือกำหมัดแน่น
หนานกงเยี่ยลดกระจกลง พูดด้วยน้ำเสียงโมโหเล็กน้อย “ขึ้นรถสิ รอให้ตำรวจมาจับคุณหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงมองไปทางเข้าตัวเมือง มีรถดับเพลงและรถตำรวจกำลังมา เธอไม่คิดอะไรให้มากความ รีบเข้าไปนั่งในรถของหนานกงเยี่ย
หนานกงเยี่ยปิดหน้าต่าง เหยียบคันเร่ง ขับรถไปทางทิศตะวันตก กลับเข้าไปในตัวเมืองด้วยถนนอีกเส้นหนึ่ง
บนรถ หนานกงเยี่ยนิ่งเงียบ จนสุดท้ายเหลิ่งรั่วปิงก็หมดความอดทน เธอจึงถามเขา “คุณไม่อยากถามอะไรฉันสักหน่อยหรอคะ”
หนานกงเยี่ยคลายยิ้มบางๆ “ถามอะไร คนพวกนั้นทำร้ายคุณ ต่อให้คุณไม่ฆ่าพวกเธอผมก็จะเป็นคนฆ่าเอง ทำไมผมต้องถามด้วย” เขายิ้ม “ผมถามคุณเรื่องนี้ดีกว่า คุณโกรธผมไหมที่มีผู้หญิงเข้ามายุ่งกับผมจนทำให้เกิดเรื่องขึ้นกับคุณ”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร ได้ ในเมื่อเขาเข้าใจแบบนี้ เธอก็จะไม่อธิบาย
เพียงแต่ ก้าวต่อไป เธอควรจะอยู่ต่อหรือไปจากที่นี่ดี?
เวลานี้ ความคิดของหนานกงเยี่ยก็เต็มไปด้วยคำถามนี้เหมือนกัน เธอแก้แค้นสำเร็จแล้ว หลังจากนี้ เธอจะไปจากที่นี่หรือจะอยู่กับเขา?
ครุ่นคิดมาตลอดทาง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ เขาจะลองใจเธอ
เมื่อมาถึงวิลล่าหย่าเก๋อ มองดูเหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าไปในบ้าน หนานกงเยี่ยพูดในใจ เหลิ่งรั่วปิง ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนไปจากผมก่อนที่ผมจะไล่ คุณเองก็ห้ามไป ถ้าคุณรักผม ผมจะให้ความรักที่ดีที่สุดกับคุณ แต่ถ้าคุณไม่รักผม ก็อย่าโทษผมละ…
*****
วันที่สอง เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ไปทำงาน เธอกำลังสับสน ตอนนี้เธอต้องการเวลาในการใช้ความคิด
หนานกงเยี่ยเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาตื่นไปทำงานแล้ว เมื่อคืนเขากว้านซื้อกิจการทั้งหมดของจั่วเยี่ยนเหา ทำให้จั่วเยี่ยนเหาล้มละลาย วันนี้เขายังมีเรื่องต้องจัดการต่อ แน่นอน ก่อนจะไป เขาได้ส่งบอดี้การ์ดจำนวนมากเข้าไปในวิลล่าหย่าเก๋อ เพื่อป้องกันไม่ให้เหลิ่งรั่วปิงแอบหนีไป
หลังจากหนานกงเยี่ยออกไป เหลิ่งรั่วปิงโทรศัพท์ไปหาเวินอี๋ จากนั้นก็พูดคุยกับเธอเรื่องของเจี่ยนชิวและลั่วซูเยียง
เวินอี๋ดีใจมาก “พี่รั่วปิง ในที่สุดความแค้นทั้งหมดของเราก็จบลงแล้ว หลังจากนี้พวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
“อื้ม” เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้รู้สึกดีใจหรือเสียใจมากเท่าไหร่ เธอแค่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก “วันข้างหน้า ถ้าพี่ไม่อยู่ข้างเธอ เธอต้องดูแลตัวเองให้ดี มู่เฉิงซีรักเธอมาก พี่เองก็วางใจ”
“พี่รั่วปิง…” เวินอี๋เงียบไปพักหนึ่ง “พี่ตัดสินใจไปจากที่นี่แล้วจริงๆ หรอคะ”
“…” เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่พักหนึ่ง “พี่เองก็ยังไม่รู้”
“พี่ไม่ได้ไม่รู้สึกอะไรกับคุณหนานกงเยี่ยสักนิดใช่ไหมคะ”
“…” เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่นาน “แต่ว่า เรื่องบางอย่างต่อให้มีความรู้สึกดีๆ กับเขาก็ใช่ว่าไม่สามารถที่จะไม่แคร์ได้ สุดท้ายเขาต้องแต่งงานกับคุณอวี้หลานซี ส่วนพี่…” เธอเองก็มีซือคงอวี้คอยบีบบังคับอยู่แล้ว
“พี่รั่วปิง อันที่จริงคุณหนานกงเขา…เขา…เขารู้เรื่องของพวกเรามานานแล้วค่ะ