เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 164 เจอกันอีกครั้งที่งานสัมมนา
บนโลกใบนี้มีความรักมากมายหลากหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นสามีภรรยากัน
หึ!
ไซ่ตี้จวิ้นหัวเราะในลำคอ บนโลกใบนี้มีความรักหลากหลายรูปแบบ แต่เขาอยากรักกับเธอแค่แบบที่สามีภรรยารักกัน ตอนอยู่ที่เมืองเฟิ่งเขาเสียเธอไปครั้งหนึ่งแล้ว หรือว่าครั้งนี้เขาก็ต้องยอมปล่อยเธอไปอีก เธอเป็นคนเดินทาง ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังโลกของเขา เขาไม่อยากปล่อยเธอไปแน่
ตลอดทางทั้งสองคนต่างเงียบ กลับไปถึงคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองก็สามทุ่มกว่าแล้ว
ไซ่ตี้จวิ้นที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก เขายังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าอ่อนโยนของผู้ชายอบอุ่น ไม่อบอุ่นเท่ากับวันวานที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เย็นชา เพียงแต่มีความเหงาและโดดเดี่ยวเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ในด้านธุรกิจเขาจะเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างดุเดือด แต่เขาเป็นผู้ชายที่เกิดมาพร้อมใบหน้าที่อบอุ่น เป็นผู้ชายที่อ่อนโยน
เหลิ่งรั่วปิงเทชาร้อนแล้ววางไว้ตรงหน้าเขา “นี่ค่ะ ดื่มชาแก้วนี้เสร็จคุณก็กลับไปได้แล้ว” เธอถอดแหวนนิ้วกลางข้างซ้ายออกมา แล้ววางไว้ตรงหน้าเขา
ไซ่ตี้จวิ้นเงยหน้าขึ้น มองเหลิ่งรั่วปิงนานกว่าสามวินาที จากนั้นดึงมือเธอเข้าหาตน บอกให้เธอนั่งลงข้างๆ “รั่วปิง ผมไม่สามารถตัดใจจากคุณไม่ได้” แววตาอบอุ่นของเขามีความแน่วแน่ “คุณเหมือนยาเสพติด ผมเหมือนคนติดยา ผมไม่สามารถหยุดเสพไม่ได้”
“คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณ…”
“รั่วปิง คุณเป็นคนวิ่งมาที่โลกของผมเอง ในเมื่อคุณมาแล้ว ทั้งยังมาคนเดียว ผมจะยอมปล่อยคุณไปได้ยังไง”
“คุณรู้ไหมครับ ทำไมแมลงเม่าถึงบินเข้ากองไฟ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไฟนั้นจะแผดเผาตนเอง แต่แมลงเม่ากลับไม่กลัว เป็นเพราะมันต้องการแสงสว่าง และคุณก็คือแสงสว่างของผม”
“คุณบอกว่าอยากมีชีวิตเรียบง่าย ผมคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่เหมาะสมที่สุดที่จะอยู่กับคุณจนถึงบั้นปลายของชีวิต ผมไม่กลัวว่าหลังจากที่หนานกงเยี่ยรู้ความจริงแล้วเขาจะทำอะไรกับผมบ้าง ถึงแม้ตระกูลไซ่จะไม่ได้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจเท่ากับตระกูลหนานกง แต่อย่างน้อยก็เป็นตระกูลที่อยู่มานานกว่าร้อยปี เขาไม่สามารถทำลายตระกูลไซ่ไม่ได้ง่ายๆ ในชั่วข้ามคืนหรอกครับ เขายังมีท่านหนานกงคอยห้ามปราม เขาไม่สามารถทำอะไรตามที่ใจต้องการไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงไม่กลัวคำขู่ของเขา”
“ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับไปหาเขาอีก ถ้าอย่างนั้นคุณเดินไปข้างหน้ากับผมได้ไหมครับ”
“ตอนนี้คุณคือฉู่หนิงซยา ผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับหนานกงเยี่ย แต่เกี่ยวข้องกับผม ผมจะอยู่กับคุณ”
เหลิ่งรั่วปิง “…”
เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรยังไง คำพูดที่เขาพูดออกมามันลึกซึ้งมากและหนักอึ้ง คำพูดของเขาเหมือนพายุทอร์นาโด ที่ดูดเธอเข้าไปในโลกของเขา จนเธอต้องดิ้นรนเพื่อที่จะหนีออกมา
ไซ่ตี้จวิ้นหยิบแหวนขึ้นมา เขาสวมเข้าที่นิ้วนางของเธอ “รั่วปิง เราแต่งงานกันเถอะ” เขาพูดว่าแต่งงาน ไม่ใช่แค่หมั้นหมาย
ตัวของเหลิ่งรั่วปิงสั่นเทาเล็กน้อย ขนตางอนลยาวไหวระริกสั่นเทา เธอรู้สึกว่านิ้วนางข้างซ้ายของเธอหนักมาก หนักมากจริงๆ
ยังไม่รอให้เธอตอบ ไซ่ตี้จวิ้นโน้มหน้าลงมาจูบเธอ
เขาเคยหอมแก้มเธอแค่สองครั้ง ทุกครั้งที่เขาหอมแก้มเธอเหมือนแมลงปอดื่มน้ำค้าง แสดงถึงความสนิทสนมที่เขามีต่อเธอ และสื่อถึงการให้เกียรติเธอ แต่เวลานี้ เขากำลังจะจูบเธอ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นว่าจะแต่งงานกับเธอ
เทียบกับความมุ่งมั่นของเขา เหลิ่งรั่วปิงกลับรู้สึกย้อนแย้ง หัวใจของเธอหนักอึ้ง ดังนั้นตอนที่เขาโน้มหน้าลงมา ริมฝีปากบางกำลังจะสัมผัสกับเธอนั้น สัญชาตญาณของเธอบอกให้เธอเบี่ยงหนี สุดท้ายแล้วจูบจุมพิตของเขาประทับลงบนแก้มของเธอเท่านั้น “คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณให้เวลาฉันอีกสักนิดนะคะ ตอนนี้ฉันสับสนไปหมด คุณให้เวลาฉันทบทวนทุกอย่างหน่อย”
ไซ่ตี้จวิ้นมองดูเธอเงียบๆ แล้วพูดออกมา “ครับ ผมไม่เคยอยากบีบบังคับคุณ หลังจากจบงานสัมมนา คุณให้คำตอบผมนะครับ หื้ม?”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า “คุณรีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
ไซ่ตี้จวิ้นโน้มหน้าลงมาจูบหน้าผากของเธอ เพื่อเป็นการจูบลา “ฝันดีครับ”
เหลิ่งรั่วปิงคลี่ยิ้มบางๆ “เดี๋ยวฉันไปส่งคุณค่ะ”
ไซ่ตี้จวิ้นหยิบเสื้อกันหนาวบนโซฟา คลุมตัวเอาไว้ แล้วเดินไปที่ประตูพลางเปิดออก เปิดประตูให้เขา
เขาอาลัยอาวรณ์ไม่อยากกลับไป หันกลับมาพูดอีกครั้ง “พักผ่อนนะครับ”
“ค่ะ บ๊้ายบาย”
“บ๊้ายบาย”
ไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อแล้วจริงๆ ไซ่ตี้จวิ้นทำได้เพียงกลับไป เขาเดินเข้าไปในลิฟต์
เหลิ่งรั่วปิงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ปิดประตูห้อง
ที่ว่างตรงมุมบันได หนานกงเยี่ยเดินออกมาช้าๆ สีหน้าของเขาเย็นยะเยือกหน้าดำหน้าแดงด้วยความโมโห เขาแทบจะบ้าคลั่งเพราะด้วยความหึงหวง ความทรมานนี้ทำให้เขาเจ็บปวดไปหมดทั้งตัว ความโมโหที่อยู่ส่วนลึกในจิตวิญญาณถูกพลังงานบางอย่างดึงออกมา ถ้าทำได้ เขาอยากจะบีบไซ่ตี้จวิ้นจนกลายเป็นผุยผง
ตอนที่ไซ่ตี้จวิ้นอยู่ในห้องของเหลิ่งรั่วปิงประมาณสิบนาที เขารู้สึกนานเหมือนผ่านไปหนึ่งทศวรรษ มีหลายครั้งที่เขาอยากจะบุ่มบ่ามบุกเข้าไป เพื่อดูว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่ กำลังจูบหรือกำลังโอบกอดกัน? ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเขาก็ไม่สามารถทนไม่ได้!
ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงหนีไปจากเมืองหลง เขาตามหาเธอทั่วโลกด้วยความบ้าคลั่ง รู้สึกว่าเวลาเป็นสิ่งที่ทรมานมาก แต่เวลานี้ตอนที่เจอตัวเธอ เขากลับยิ่งรู้สึกว่าเวลาเป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม ชีวิตตลอดทั้งยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องไหนทำให้เขารู้สึกจัดการลำบากขนาดนี้มาก่อน เหลิ่งรั่วปิง คุณจะทำอะไรกันแน่?!
มือใหญ่ทั้งสองข้าง กำหมัดแน่น ราวกับจะบดขยี้ช่องว่างของมือจนเปลี่ยนรูปทรง
เขาคิดจินตนาการอีกครั้ง ถ้าวันนั้นเขาไม่ได้จัดงานเลี้ยงลองใจเหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้เธอจะยังอยู่ในอ้อมกอดของเขาใช่หรือไม่ พวกเขาจะสวีทหวานราวกับเป็นคนเดียวกัน? วันนั้น เธอจะยกหัวใจของเธอให้เขาใช่ไหม!
ประตูที่กั้นเอาไว้ ราวกับกั้นพวกเขาให้อยู่คนละโลก หัวใจของเขามีแค่เธอคนเดียว แต่หัวใจของเธอ ไม่มีเขาแล้ว!
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็เดินลงไปชั้นล่าง เข้าไปนั่งในรถ มองผ่านกระจกหน้าต่างรถยนต์ขึ้นไปชั้นบน จนกระทั่งไฟในห้องของเธอดับลง เขาจึงดึงสายตากลับมา
“คุณชายเยี่ยครับ กลับไปพักกันเถอะครับ” ก่วนอวี้อดไม่ได้ที่จะพูดเกลี้ยกล่อม “ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้คุณชายเยี่ยยังไม่ได้พักเลยนะครับะ อย่าทำให้เสียสุขภาพเลย ผมส่งคนมาที่นี่แล้ว มีคนคอยเฝ้าคุณเหลิ่งตลอดเวลา ไม่มีวันเกิดมีเรื่องอะไรหรอกครับ”
เงียบอยู่หนาน กว่าหนานกงเยี่ยถึงจะพยักหน้า “ไปเถอะ”
เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้ว่าหนานกงเยี่ยอยู่รอบตัวเธอตลอดเวลา เธอรู้สึกแค่ว่าภายในใจมีแรงกดดันสูง ด้านหนึ่งมาจากไซ่ตี้จวิ้น ส่วนอีกด้านหนึ่งมาจากหนานกงเยี่ย
นอนอยู่บนเตียงตามลำพัง ปิดไฟทั้งหมดในห้อง เธอยังคงนอนไม่หลับ แค่หลับตาก็เห็นหน้าของหนานกงเยี่ย ได้ยินเสียงของหนานกงเยี่ยดังขึ้นที่ข้างหู ภาพที่เธอเห็นมากที่สุดก็คือตอนที่อยู่บนทางด่วน หนานกงเยี่ยเลือดออกไม่หยุดเพราะมีดบินของเธอ
ความทรงจำเหล่านี้ ภายใต้ความมุ่งมั่นและตั้งใจ ภาพเหล่านี้ไม่เคยฉายออกมาอย่างพรั่งพรูเต็มความคิดของเธอ เธอคิดว่าเรื่องในอดีตก็เป็นเหมือนลม ที่พัดผ่านไป แต่วันนี้พอได้เจอกับหนานกงเยี่ยอีกครั้ง ความทรงจำเหล่านี้เหมือนมีม้าพยศ ที่ไม่สามารถควบคุมไม่ได้ ที่จริงแล้ว เธอไม่สามารถลืมเขาไม่ได้ เพียงแต่พยายามเก็บซ่อนเขาปิดล็อคเอาไว้เท่านั้น และตัวเขาก็คือกุญแจ แค่ได้เจอกับเขา ความทรงจำมากมายก็เปิดออกมาอัตโนมัติ
นอนพลิกตัวไปมาบนเตียง เธอรู้สึกอึดอัดมาก เหลิ่งรั่วปิงที่ไม่เคยร้องไห้ง่ายๆ สุดท้ายกลับร้องไห้ออกมา จนปลอกหมอนเปียกไปหมด
ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง เหลิ่งรั่วปิงไม่ยอมออกไปไหน เธอนั่งทำงานอยู่ที่คอนโดมิเนียม ปฏิเสธที่จะเจอไซ่ตี้จวิ้น ปฏิเสธที่จะเจอทุกคน
เธอไม่เคยรู้มาก่อน มีรถยนต์คันดำ จอดอยู่ใต้ตึกตั้งแต่เช้าจนค่ำมืด จอดอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งไฟในห้องของเธอปิด ค่อยเคลื่อนตัวออกไปเงียบๆ
วันเวลาผ่านไปทีละวันๆ จนถึงงานประชุมนานาชาติด้านการออกแบบ ในครึ่งเดือนต่อมา
*****
งานประชุมด้านการออกแบบอาคารในครั้งนี้จัดขึ้นโดยบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของประเทศเอ้าตู ร่วมกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่และสมาคมอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียง ภายในงานได้เชิญสถาปนิกชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงบริษัทใหม่ที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้ ซึ่งจัดงานด้วยความยิ่งใหญ่ โดยจัดขึ้นที่โถงนิทรรศการนานาชาติของประเทศเอ้าตู
สำหรับสถาปนิกแล้ว การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ เป็นโอกาสดีในการแสดงความสามารถของตนเอง เหลิ่งรั่วปิงเข้ามาในวงการสถาปนิกอีกครั้งด้วยชื่อของฉู่หนิงซยา แน่นอนว่าเธอให้ความสำคัญกับโอกาสในครั้งนี้มาก เธอได้เตรียมตัวล่วงหน้าถึงสามวัน
หัวข้อสัมมนาในครั้งนี้คือ “แนวโน้มทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม การพัฒนาและการออกแบบพาราเมตริกในอนาคต”
สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับแนวความคิดด้านการออกแบบของเหลิ่งรั่วปิง
ในยุคเทคโนโลยี ความต้องการของผู้คนด้านการออกแบบเป็นไปตามการพัฒนาของเทคโนโลยี พวกเขามีความต้องการที่สูงขึ้น ใหม่ขึ้น ทันสมัยโมเดิร์นขึ้น นักสถาปนิกที่ดีต้องสามารถผสานงานออกแบบของตนเข้ากับเทคโนโลยีให้ได้ นี่เป็นสิ่งที่การออกแบบสิ่งปลูกสร้างไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหลิ่งรั่วปิงทำความเข้าใจด้านนี้มาเป็นอย่างดี ดังนั้นผลงานออกแบบของเธอจึงออกมาดีแบบ งานการสัมมนาเริ่มขึ้นไม่นาน ผลงานออกแบบของเธอก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ในฐานะน้องใหม่ของวงการ ในฐานะฉู่หนิงซยา เหลิ่งรั่วปิงเปลี่ยนจากลูกคุณหนูที่ถูกรังเกียจ กลายเป็นสถาปนิกที่มีความสามารถและได้รับคำชื่นชมมากมาย การเปลี่ยนแปลงที่ดีแบบนี้ เธอเป็นคนแรกของประเทศเอ้าตู
งานสัมมนาในครั้งนี้ ผู้จัดงานได้เชิญหนานกงเยี่ยที่เป็นนักธุรกิจระดับโลกมาในงาน เขาเองก็ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย การมาของเขา ทำให้งานในครั้งนี้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างรู้ดี เขากว้านซื้อที่ดินโปรเจคหรูในประเทศเอ้าตูกว่าสิบผืน และมีความตั้งใจที่จะหาสถาปนิกที่มีความสามารถมาร่วมงาน ดังนั้นการมาของเขาในครั้งนี้ทำให้สถาปนิกมากมายดีใจเป็นอย่างมาก
หนานกงเยี่ยเดินเข้ามาในงาน สถาปนิกทุกคนล้อมรอบตัวเขาไปหมด บางคนก็เข้าไปพูดคุยกับเขา บางคนก็ยื่นนามบัตรของตนให้กับเขา พยายามนำเสนอโปรโมทตนเอง มีแค่เหลิ่งรั่วปิงเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ป้าย มองดูทุกอย่างด้วยความเงียบ
หลังจากเจอหนานกงเยี่ยที่ภัตตาคารหลงเถิงเยี่ยนแล้วนั้น เธอก็ไม่เคยได้เจอกับเขาอีกเลย นับดูแล้วก็ประมาณครึ่งเดือน เธอใช้เวลากว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมาพยายามทำให้ตนเองจิตใจสงบ แต่เจอกันอีกครั้ง หัวใจของเธอกลับกับแปรปรวนเหมือนคลื่นในทะเล
เธอยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน มองไปที่เขาเป็นพักๆ สิ่งที่เธอมองไม่ใช่ใบหน้าของเขา แต่เป็นแผลของเขาที่ถูกเธอใช้มีดบินทำร้าย เธอกำลังคิดว่ามันจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ให้เขาไหม
เขาดูซูบผอมกว่าครึ่งเดือนที่แล้วมาก แม้จะเป็นแบบนี้ ใบหน้าของเขาก็ยังคงเกลี้ยงเกลา ดวงตาลุ่มลึก เป็นประกาย ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เขายังคงเหมือนราชาผู้ที่สูงศักดิ์
หนานกงเยี่ยกระตุกมุมปากเล็กน้อย คล้ายจะยิ้มและไม่ยิ้ม เขาพยักหน้าตอบกลับสถาปนิกชื่อดังที่เข้ามาพูดคุย พร้อมทั้งชำเลืองมองไปทางเหลิ่งรั่วปิงเป็นครั้งคราว แม้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนา แต่นั่นก็ทำให้เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกปวดใจ
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ในที่สุดเหลิ่งรั่วปิงก็ดึงสติตนเองกลับมา ไม่ว่าเขาจะเป็นิย่างไรยังไง มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว เธอไม่มีวันร่วมงานกับเขาอีก แม้ว่าโอกาสนั้นจะดีแค่ไหน สำหรับเธอแล้วก็เป็นแค่คนแปลกหน้า
ดังนั้น เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หมุนตัวหันหลังเดินจากไป
ขณะที่เธอกำลังหันหลังไปนั้น ด้านหลังก็มีเสียงที่ทำให้เธอเกร็งไปทั้งตัวดังขึ้น “คุณฉู่!”