เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 167 คุณชายเยี่ยเลวทรามที่สุด
หนานกงเยี่ยเพิ่งเดินเข้ามาในงาน คนจากตระกูลดังและนักธุรกิจใหญ่ต่างล้อมวงเข้าไปหา แต่ละคนพากันประจบประแเจงหนานกงเยี่ยต่างๆ นานา เหล่าดาราในวงการบันเทิงก็ไม่ต่างกัน ชั่วขณะหนึ่ง เจ้าภาพในงานกลับถูกเพิกเฉยไม่ได้รับความสนใจ
ภายในใจของไซ่ตี้จวิ้นรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ ให้คงความสง่างามเหมือนเดิม ไซ่ตี้จวิ้นจูงมือเหลิ่งรั่วปิงเดินไปกล่าวทักทายหนานกงเยี่ย “คุณชายเยี่ยมาร่วมงาน ถือเป็นเกียรติของผมจริงๆ ครับ”
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น มองหน้าไซ่ตี้จวิ้น จากนั้นหันไปมองหน้าเหลิ่งรั่วปิง ถึงแม้ตอนนี้หน้าตาของเธอจะไม่ใช่เหลิ่งรั่วปิง แต่ดวงตาคู่นั้นของเธอยังคงมีเสน่ห์เหมือนเดิม ยังคงดึงดูดเขามาก แค่เผลอมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เขาก็รู้สึกเหมือนต้องมนตร์
เหลิ่งรั่วปิงหลุบตาลง พยายามบอกตนเอง เธอคือฉู่หนิงซยา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนานกงเยี่ย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่อาจสามารถหลอกความคิดตัวเองได้
หนานกงเยี่ยดึงสายตากลับ กวาดมองไปที่มือของไซ่ตี้จวิ้นที่จับมือเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ หัวใจของเขาเหมือนมีหนามแหลมทิ่มแทง เคืองตาเหมือนมีทรายเข้าตา สีหน้าแสดงออกชัดถึงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ประธานไซ่เกรงใจเกินไปแล้วครับ ผมมาที่นี่ไม่ได้มาร่วมแสดงความยินดี แต่มารับนักสถาปนิกที่ผมเลือกด้วยตนเอง” เจ้าของดวงตาสีนิลชำเลืองมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง “อีกหนึ่งชั่วโมงเครื่องบินของผมจะขึ้นบิน ถ้าคุณมาได้ก็ขึ้นเครื่องกลับเมืองหลงไปพร้อมกับผม แต่ถ้ามาไม่ได้ ผมก็จะประกาศรับสมัครคนใหม่”
ก่วนอวี้ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงเยี่ย อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มขึ้นมา คำพูดของคุณชายเยี่ย ทำไมฟังดูทำเกินกว่าเหตุ บีบบังคับให้เจ้าสาวรีบออกไปจากพิธีหมั้น พฤติกรรมขาดศีลธรรมแบบนี้ เกรงว่าคงมีแต่คุณชายเยี่ยของเขาเท่านั้นที่ทำออกมาได้
ทว่าหนานกงเยี่ยกลับยังรู้สึกไม่สะใจ เขาแสยะยิ้ม เจ้าของดวงตาสีดำสนิทหรี่เล็กลง “เครื่องบินของผมจอดอยู่ที่ลานบินตงเจียว จากที่นี่ไปลานบินตงเจียวต้องใช้เวลาประมาณห้าสิบนาที ผมขอตัวก่อน ยินดีกับงานหมั้นของพวกคุณทั้งสองคนด้วยนะครับ”
พูดจบ หนานกงเยี่ยหันหลังเดินออกไปจากงานหมั้น ท่ามกลางสายตาตกใจของทุกคน แผ่นหลังของเขาไม่ว่าจะมองอย่างไรยังไงก็รับรู้ได้ถึงความสะใจและเผด็จการ
ก่วนอวี้เดินตามหลังหนานกงเยี่ย อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก คุณชายเยี่ยมาขัดขวางงานหมั้นชัดๆ เริ่มจากแต่งตัวทำผมด้วยความบรรจงเพื่อแย่งหน้าซีนเจ้าภาพ ตามด้วยบีบให้เจ้าสาวรีบออกจากงานหมั้น เป็นพฤติกรรมที่แย่มากจริงๆ และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ กำหนดเวลาให้เหลิ่งรั่วปิงไปถึงลานบินภายในหนึ่งชั่วโมง อีกทั้งขับรถจากที่นี่ไปลานบินยังต้องใช้เวลากว่าห้าสิบนาที ซึ่งก็หมายความว่าเหลิ่งรั่วปิงสามารถอยู่ในงานหมั้นได้อีกแค่สิบนาที นี่เป็นเวลาที่น้อยมากจริงๆ ไอ้หยา!อั๊ยย๊า คุณชายเยี่ยของเขาไม่เพียงแต่ไร้ศีลธรรม แต่เลวทรามที่สุด
ไซ่ตี้จวิ้นรู้ดีว่าหนานกงเยี่ยจงใจหาเรื่องตน เขากำหมัดแน่น สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังของหนานกงเยี่ย กัดฟันกรอด
เหลิ่งรั่วปิงสบถด่าหนานกงเยี่ยในใจ คุณหนานกงเยี่ย คุณมันเลวจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนใจแคบแบบนี้ มีปัญหากับไซ่ตี้จวิ้นก็เลยจงใจให้เขาตกที่นั่งลำบาก ถ้าไม่ใช่เพราะแลนด์มาร์คเมืองหลง เธอไม่มีวันกลับเมืองหลงกับเขาเด็ดขาด
มองดูสีหน้าไม่สบอารมณ์ของไซ่ตี้จวิ้น เหลิ่งรั่วปิงปวดใจมาก เธอตบหัวไหล่เขาเบาๆ “อย่าโมโหเลยนะคะ อดทนเพื่อฉันได้ไหมคะ หลังจากเสร็จงานแล้ว พวกเราก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอีก”
เธอใช้คำว่า ‘”พวกเรา’”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของไซ่ตี้จวิ้นมีรอยยิ้มจางๆ “ครับ ผมไปส่งคุณไปนะ”
ไม่มีเวลาแล้ว เหลิ่งรั่วปิงจึงรีบถอดชุดหมั้น สวมเสื้อขนเป็ดตัวยาวแล้วออกเดินทางทันที เธอเดินไปที่หน้าประตูโรงแรมพร้อมกับไซ่ตี้จวิ้น พบว่าหนานกงเยี่ยยังไม่ไป เขานั่งอยู่ในรถ ลดกระจกลง มองมาที่เธอเหมือนจะยิ้มและเหมือนจะไม่ยิ้ม “คุณฉู่ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ไปลานบินพร้อมกับผมก็ได้นะครับ”
“ขอบคุณความหวังดีของคุณหนานกงมากนะคะ แต่คู่หมั้นของฉันจะไปส่งฉันค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอย่างมีสง่า แต่ความรู้สึกที่แสดงออกมานั้นดูจืดจางและห่างเหิน
ไซ่ตี้จวิ้นรู้สึกเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่กดทับใจของเขา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเปิดประตูให้เหลิ่งรั่วปิง ดูแลเธอจนนั่งเรียบร้อยเข้าที่ จากนั้นเดินอ้อมไปที่ที่นั่่งคนขับ สตาร์ตทรถ แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ รถยนต์ของเขาที่ตอนเช้ายังดีๆ อยู่ กลับสตาร์ตทไม่ติด เขาลองสตาร์ตทอยู่หลายครั้ง ก็ยังคงสตาร์ตทไม่ติด
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ถ้าสั่งให้คนเอารถคันใหม่มาก็คงไม่ทันเวลาอย่างแน่นอน ไซ่ตี้จวิ้นชกเข้าที่พวงมาลัยอย่างแรง รถยนต์ของเขา เขารู้ดี ต้องมีใครมาทำอะไรกับมันแน่ๆ คนที่กล้ามายุ่งกับรถของเขา นอกจากหนานกงเยี่ยแล้วจะมีคนบ้าที่ไหนกล้าทำ
หึ หนานกงเยี่ย เขาไม่ได้แค่โรคจิต แต่ยังปัญญาอ่อนอีกด้วย!
เวลานี้ เสียงของหนานกงเยี่ยดังขึ้นอีกครั้ง “ประธานไซ่ เหมือนว่ารถของคุณจะมีปัญหานิดหน่อยนะครับ ถ้าอย่างนั้นให้คู่หมั้นของคุณมานั่งรถผมไหมครับ”
ไซ่ตี้จวิ้นหงุดหงิด เขานิ่งเงียบ เหลิ่งรั่วปิงลำบากใจมาก สุดท้ายเธอจึงกุมมือไซ่ตี้จวิ้นแล้วปลอบโยนเขา ด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เขามีปัญหากับคุณเพราะเหลิ่งรั่วปิง แต่ว่าคนที่เป็นคู่หมั้นของคุณในตอนนี้คือฉู่หนิงซยา คุณไม่จำเป็นต้องถือสาคนอย่างคุณหนานกงหรอกค่ะ นะคะ?”
ไซ่ตี้จวิ้นเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคลี่ยิ้มออกมา เขาก้มหน้าลงหอมแก้มของเหลิ่งรั่วปิง “ครับ เชื่อฟังคุณทุกอย่าง”
การหอมแก้มในครั้งนี้ ทำให้หนานกงเยี่ยหน้าดำหน้าแดงทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้เขาคงถอนฟันไซ่ตี้จวิ้นจนหมดปาก แล้วต่อยเขาจนหน้ายับแล้วแน่ๆ
เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม ลงจากรถของไซ่ตี้จวิ้น ขึ้นไปบนรถของหนานกงเยี่ย ไซ่ตี้จวิ้นยืนอยู่ที่รถอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หนานกงเยี่ยกลับสั่งให้ก่วนอวี้ขับรถออกไป ก่วนอวี้รีบปิดกระจกแล้วเหยียบคันเร่งทันที รถพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วราวกับลูกดอกธนู แค่เสี้ยววินาทีก็ขับไปไกลจากไซ่ตี้จวิ้น
เหลิ่งรั่วปิงปรายตามองหนานกงเยี่ยอย่างเหนื่อยใจ เธอลอบพูดในใจ ผู้ชายคนนี้ยังคงเผด็จการและเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน ไม่รู้จักโตเลยสักนิด
ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงขึ้นมาบนรถ หนานกงเยี่ยเอาแต่ทำหน้าบึ้ง จ้องไปที่แก้มของเธอที่ถูกไซ่ตี้จวิ้นหอม เขาอยากจะจับเธอไปล้างหน้าให้สะอาดเสียตอนนี้เลยจริงๆ เธอเป็นผู้หญิงของเขา แต่กลับกล้าให้ผู้ชายคนอื่นมาหอมแก้ม ควรจะจับตีก้นจริงๆ! รอให้กลับไปถึงเมืองหลงก่อนเถอะ เขาจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับนิสัยดื้อรั้นของเธอ!
เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจถึงความประสาทของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจ พิงตัวลงแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง นั่งเงียบไม่พูดไม่จาก ถึงจะนั่งบนรถคันเดียวกับเขาอีกครั้ง กลับไปเมืองหลงด้วยกัน แต่ก็เพื่อที่จะสานฝันให้สำเร็จ ห้ามเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับเขาอีก นี่คือสิ่งที่เหลิ่งรั่วปิงบอกกับตนเอง
เดิมทีก่วนอวี้คิดว่า ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้คุณเหลิ่งมาอยู่ใกล้ตัว คุณชายเยี่ยต้องทำทุกอย่าง เพื่อที่จะทำให้เหลิ่งรั่วปิงมีความสุข ทำทุกอย่างเพื่อชนะใจเธอ แต่ใครจะไปคิดว่าคุณชายเยี่ยของเขาจะทำหน้าบึ้งตลอดทาง ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว การกระทำของหนานกงเยี่ยทำให้ก่วนอวี้ร้อนใจมาก และทำให้เขาเดาไม่ออกจริงๆ
ห้าสิบนาทีผ่านไป พวกเขามาถึงลานบินตงเจียว หนานกงเยี่ยยังคงหน้าบึ้ง เขาลงจากรถ แล้วสาวเท้าเดินขึ้นไปบนเครื่องบินส่วนตัว
ก่วนอวี้ยื่นกุญแจรถให้กับพนักงานที่อยู่ในประเทศเอ้าตู เดินนำเหลิ่งรั่วปิงไปบนเครื่องบินด้วยความเคารพ บริการเธออย่างดี เขาไม่รู้ว่าหนานกงเยี่ยกำลังโมโหเพราะเรื่องอะไร แต่สิ่งที่เขารู้ก็คือ ไม่ว่าหนานกงเยี่ยจะโมโหแค่ไหน แต่เหลิ่งรั่วปิงก็สำคัญกับหนานกงเยี่ยมาก ดังนั้นตนจึงจำเป็นต้องดูแลเหลิ่งรั่วปิงอย่างดี ไม่อย่างนั้นหน้าที่ผู้ช่วยนี้คงไม่ต้องทำแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงไม่สนใจหนานกงเยี่ยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรการกลับไปเมืองหลงครั้งนี้ของเธอก็ไม่ได้กลับไปเพื่อคืนดีกับเขา ยิ่งความสัมพันธ์ของเธอกับเขาแย่เท่าไรหร่ก็ยิ่งเป็นไปตามที่เธอต้องการ เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล เธอสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง ขึ้นไปบนเครื่องบิน เหลิ่งรั่วปิงเก็บสัมภาระของตนเองให้เรียบร้อย นั่งบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหนานกงเยี่ย หยิบหนังสือออกมาอ่าน เธอไม่สนใจหน้าตาบูดบึ้งของเขา ระหว่างทั้งสองคนมีโต๊ะกั้นกลางเอาไว้ ทำให้นั่งห่างกันเล็กน้อย
เครื่องบินส่วนตัวที่หนานกงเยี่ยนำออกมาใช้ในครั้งนี้ ขนาดเทียบเท่ากับเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก ภายในตกแต่งอย่างหรูหรา มีทั้งโซฟา โต๊ะ ขนมหวานและไวน์อย่างครบครันถ้วน ไม่ต่างอะไรกับโรงแรมห้าดาว เหล่าบอดี้การ์ดและพนักงานทั้งหมดถูกก่วนอวี้ไล่ไปที่ห้องโดยสารอีกด้านหนึ่ง ห้องโดยสารหลักจึงมีแค่เหลิ่งรั่วปิงและหนานกงเยี่ย
หนานกงเยี่ยนั่งอยู่บนโซฟา เอนอิงตัวลงพิงเบาะนอน นั่งไขว่ห้าง มองดูเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือตาไม่กระพริบ จู่ๆ ความโมโหที่อยู่ภายในใจก็ค่อยๆ จางหายไป หลายต่อหลายคืนที่เขานอนไม่หลับ ได้แต่ฝันให้เธอกลับมาอยู่ข้างเขา ตอนนี้เธอกลับมาหาเขาแล้ว รู้สึกเหมือนกำลังลอยตัวอยู่บนก้อนเมฆ กลัวว่านี่จะเป็นแค่ความฝัน
อากาศภายในห้องโดยสารอุ่นมาก เหลิ่งรั่วปิงถอดเสื้อขนเป็ดตัวยาว ด้านในสวมเสื้อสเวตเตอร์ลายลูกไม้สีเขียวเข้ม กางเกงทรงสลิมสีดำ รองเท้าหนังสีส้ม เธอแต่งตัวเรียบง่าย ทะมัดทะแมง มีสง่า เหมือนครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเธอตอนอยู่ที่เมืองหลง คิ้วเรียวบาง สีหน้านิ่งๆ ผมยาวประบ่า ใบหน้าหมดจดและคอระหง เธอสวยเหมือนเทพีแห่งสายน้ำในนิยายกรีก แม้ว่าเธอจะไม่แสดงมีสีหน้าและไม่ได้ทำท่าทางใดๆ แต่นั่นก็ทำให้หัวใจของคนที่มองเต้นแรง
หนานกงเยี่ยเงียบอยู่นาน ไม่อยากทำลายบรรยากาศนี้ เขาทำเพียงแค่มองหน้าเธอเงียบๆ แค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากแล้ว
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง เขาเหยียดนั่งตัวตรง กระแเอมไอเบาๆ แล้วพูดขึ้น “คุณอยากดื่มอะไรหน่อยไหม”
เหลิ่งรั่วปิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ เธอคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” หลังจากที่เธอตอบกลับสั้นๆ ก็ก้มหน้าลงอ่านหนังสืออีกครั้ง
ความนิ่งเฉยและห่างเหินของเธอทำให้เขาเจ็บปวด สีหน้าของหนานกงเยี่ยนิ่งค้าง ความเย็นชาของเธอ ทำให้เขาไม่รู้จะชวนคุยพูดเรื่องอะไร พวกเขาเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง สุดท้าย หนานกงเยี่ยลุกขึ้นแล้วเดินไปเติมน้ำเปล่ามาให้เธอ เขายื่นไปตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง พยายามยิ้มและพูดกับเธออย่างเป็นธรรมชาติที่สุด “คุณเย็นชากับเจ้านายคนใหม่ขนาดนี้เลยเหรอครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ มองดูใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ใกล้เข้ามา เธอรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดิน ถ้าเธอจำไม่ผิด หนานกงเยี่ยไม่เคยจีบผู้หญิงมาก่อน จึงอย่าได้พูดเรื่องว่าเขาจะตักเติมน้ำให้ผู้หญิงคนไหนเลย เธอกับเขาเคยเจอกันแค่สองครั้งเท่านั้น ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย
หนานกงเยี่ยเองก็เพิ่งรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม เวลานี้เขาเห็นเธอเป็นผู้หญิงของเขา แต่เธอยังคงแทนตัวเองเป็นฉู่หนิงซยา การที่เขาเข้าใกล้เธอมากขนาดนี้มันดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
เขาคิดดูแล้ว เขาใช้ไม้แข็งกับเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ และไม่สามารถเปิดโปงเธอไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้เธอชอบที่จะเป็นฉู่หนิงซยา ดังนั้นเขาต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มจากการตามจีบฉู่หนิงซยา
ใช่ จีบฉู่หนิงซยา
หนานกงเยี่ยไม่เคยจีบผู้หญิงคนไหนมาก่อน ตอนนี้กลับตัดสินใจที่จะจีบเธอ นี่คงเป็นแค่ครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่เขาจะจีบผู้หญิงคนหนึ่ง
เมื่อก่อน เธอเอาแต่บอกว่าการเริ่มต้นของเขากับเธอมันเริ่มต้นไม่ดี ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมเปิดใจให้เขา ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้เขาจะเริ่มต้นใหม่กับเธอ ทำทุกอย่างเพื่อที่จะชนะใจเธอ
ใช่แล้ว นับตั้งแต่วินาทีนี้ หนานกงเยี่ยจะตามจีบฉู่หนิงซยา