เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 169 ทำความผิดร้ายแรงก่อนที่ความรักจะมาถึง
หนานกงเยี่ยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตาของเขาเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าขืนคุณยังมองแบบนี้ ผมจะเข้าใจผิดคิดว่าคุณเริ่มตกหลุมรักผมแล้วนะครับ”
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากอธิบาย กี่ครั้้งแล้วที่เขาเฝ้าฝันให้เธอกลับมา แล้วอธิบายเรื่องงานเลี้ยงคืนนั้นให้เธอฟัง แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ไม่อยากอธิบกาย เพราะเธอไม่สนใจเขาแล้ว ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรยังไงมันก็สูญเปล่า มีแต่จะทำให้เธอเห็นเป็นเรื่องตลกและคิดว่าเป็นแค่เรื่องโกหก ไม่ว่าผู้หญิงที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดงจะเป็นอวี้หลานซีหรือไม่ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน ล้วนเป็นการกระทำที่ทำให้เหลิ่งรั่วปิงขายหน้า เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเขาทำผิดไปแล้ว ผิดมากเกินจะเยียวยา ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำคือการทำให้เธอกลับมารักเขาอีกครั้ง ลืมความเจ็บปวดจากความผิดพลาดในครั้งนั้น
ทว่านัยน์ตาของเหลิ่งรั่วปิงกลับไม่มีรอยยิ้ม แววตาของเธอมีแค่ความเย็นชา “กระเพาะของคุณอาการหนักแค่ไหนคะ”
“คุณกำลังเป็นห่วงผม?”
“เปล่าค่ะ ทำไมฉันต้องเป็นห่วงคนแปลกหน้าด้วย” เหลิ่งรั่วปิงหลบตาลง “ฉันแค่สงสัย คุณหนานกงเยี่ยพูดเองว่า คุณเหลิ่งเป็นผู้หญิงที่คุณรักมากที่สุด แต่คุณกลับทำร้ายความรู้สึกของเธอขนาดนั้น บีบให้เธอไปจากชีวิตคุณ แล้วทรมานตนเอง ตอนนี้คุณกลับพยายามดึงฉันเข้าไปในชีวิตคุณเพื่อไปเป็นตัวแทนของเธอ สุดยอดนักธุรกิจระดับโลกอย่างคุณหนานกง ทำเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้เพราะอะไรกันแน่”
หนานกงเยี่ยเงียบอยู่นานครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาเศร้าเล็กน้อย “ผมคือหนานกงเยี่ย เป็นสุดยอดนักธุรกิจชื่อดังระดับโลก แต่ผมก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งในด้านความรักผมไม่ต่างอะไรกับผู้ชายทั่วไป บางทีผมอาจจะโง่กว่าผู้ชายทั่วไปก็ได้ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมถูกเลี้ยงดูมาโดยไม่มีคำว่า ‘รัก’ ดังนั้นผมไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ดังนั้นผมจึงทำเรื่องแย่ๆ ลงไป ก่อนที่ความรักจะมาหาผม สิ่งที่ผมทำมันเป็นความผิดร้ายแรง จนกระทั่งผมเสียเธอไป ผมถึงเข้าใจว่าความรักคืออะไร ความรักทำให้ผมมีความสุข แต่มันก็ทำให้ผมได้ลิ้มรสความเจ็บปวด ผมเสียใจกับความโง่ของตัวนเอง ผมอยากจะแก้ไขมัน อยากจะให้คำสัญญากับเธอ แต่ผมกลับตามหาเธอไม่เจอ ดังนั้นผมจึงได้แต่ทรมานตัวเอง พอร่างกายรู้สึกเจ็บ หัวใจของผมก็เจ็บปวดน้อยลง”
เหลิ่งรั่วปิงคิดถึงสภาพของเขาตอนอยู่บนทางด่วน เลือดของเขาไหลอาบลงมาเพราะมีดบินของเธอ เหลิ่งรั่วปิงพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมา เธอหลุบตาลง ไม่ให้เขาเห็นความหวั่นไหวของเธอ เขาบอกว่าเธอคือความรักของเขา หึ คนอย่างเขารู้จักความรักด้วยหรือ น่าเสียดาย ไม่ว่าเขาจะเข้าใจมันแค่ไหน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว แล้วจะกลับมาเหมือนเดิมได้อย่างไรยังไง
“คุณฉู่หนิงซยา คุณคิดว่าตัวนเองเป็นแค่ตัวแทนของเธอ ถ้าอย่างนั้นก็คิดไปก่อนเถอะครับ ผมไม่มีวันบังคับให้คุณต้องทำอะไรทั้งนั้น ตลอดเวลาที่คุณอยู่ที่เมืองหลง ขอแค่ให้ผมมองดูคุณเงียบๆ ก็พอแล้ว ถือว่าเป็นการปลอบใจผู้ชายอกหักคนหนึ่งแล้วกัน ได้ไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหยิบช้อนส้อมขึ้นมาอีกครั้ง การกระทำของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอยอมรับคำขอของเขาแล้ว ความเป็นจริง ส่วนลึกที่อยู่ในใจของเหลิ่งรั่วปิง ไม่ได้เข้มแข็งไร้ความรู้สึกอย่างที่เธอคิด
หนานกงเยี่ยมองเธออย่างลุ่มลึก คลี่ายยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก้มหน้าลงกินอาหารของเขาตนเอง
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ทั้งสองต่างก็ยุ่งกับงานของตัวนเอง เหลิ่งรั่วปิงอ่านหนังสือของเธอ หนานกงเยี่ยจัดการเคลียร์งานของบริษัท
หลังจากจบบทสนทนาก่อนหน้านี้ ทำให้ทั้งสองคนเข้ากันได้ดีขึ้น ไม่ว่าเขาจะมองหน้าเธออย่างไรยังไง เหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ได้ขัดขืนด้วยความรำคาญอีก เธอนั่งเงียบๆ แล้วปล่อยให้เขามองตัวนเอง ความหงุดหงิดและรำคาญของเหลิ่งรั่วปิงลดน้อยลง ทำให้หนานกงเยี่ยสบายใจขึ้นมาก
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ เหลิ่งรั่วปิงอ่านหนังสือไปประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นโน้มตัวลงนอนบนโซฟา ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าหมดจดของเธอจางหายไป ถูกต้องแล้ว ความเกลียดของเธอที่มีต่อเขาได้หายไปแล้ว แม้ว่าเรื่องขายหน้าในวันนั้นจะยังคงฝังลึกอยู่ความทรงจำของเธอ แต่เธอไม่เกลียดเขาแล้ว
เขาบอกว่าเขาไม่เข้าใจความรัก ตอนที่ความรักเข้าหาเขานั้น เขาได้ทำผิดกับมัน อันที่จริงเธอเองก็ไม่เข้าใจเรื่องของความรัก ตอนที่ความรักมาหาเธอนั้น เธอเลือกที่จะไม่เชื่อมั่นในความรักและเลือกที่จะปฏิเสธมัน บางทีอาจจะเป็นเพราะแบบนี้ ทำให้เส้นทางความรักของพวกเขาไม่สวยงาม พวกเขาต่างก็ควรได้รับการอภัย
เพียงแต่ แม้จะรู้สึกสบายใจมากขึ้นแล้ว แต่เธอไม่อยากกลับไปเดินทางเดิมอีก เธอยอมที่จะอวยพรให้เขามีความสุขส่งจากที่ไกลๆ
หนานกงเยี่ยวางแล็ปท็อปลงเบาๆ ห่มผ้าห่มให้กับเธอด้วยความอ่อนโยน นั่งอยู่ข้างๆ เธอ แล้วจ้องมองใบหน้านั้น
จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นอย่างรุนแรง ปฏิกิริยาแรกของหนานกงเยี่ยคือกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ การเอียงของเครื่องบินทำให้เธอกับเขาลื่นไถลชิดติดกับโซฟาด้านหนึ่ง เขากอดเธอเอาไว้แน่น เพื่อกันไม่ให้เธอชนกระแทก
เหลิ่งรั่วปิงตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”
หนานกงเยี่ยยังคงไม่ปล่อยมือ เขากอดเธอเอาไว้แน่น จากนั้นรัดเข็มขัดนิรภัยให้เธอและตนอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่คุณไม่ต้องกลัวนะ มีผมอยู่ข้างๆ”
ยี่สิบวินาทีผ่านไป เครื่องบินนิ่งขึ้นเล็กน้อย ก่วนอวี้วิ่งนำบอดี้การ์ดสองคนเข้ามา สีหน้าเป็นเคร่งเครียด “คุณชายเยี่ยครับ เครื่องบินตกหลุมอากาศในกระแสลมรุนแรงครับ ทำให้ปีกของเครื่องบินเสียหาย อาจจะทำให้เครื่องบินตกได้ คุณชายกับคุณฉู่รีบใส่ร่มชูชีพให้พร้อมเถอะครับ พวกเราต้องกระโดดร่มเพื่อเอาชีวิตรอด”
หนานกงเยี่ยคว้าเสื้อกันหนาวขนเป็ดและหมวกออกมา พร้อมกับสวมให้กับเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นรับร่มชูชีพมาจากบอดี้การ์ด สวมให้กับเหลิ่งรั่วปิง “กลัวไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงนิ่งมาก “ไม่กลัวค่ะ”
หนานกงเยี่ยรัดหัวเข็มขัดเส้นสุดท้าย นัยน์ตาของเขาฉายความชื่นชม “ดีมาก ผมจะอยู่ข้างคุณเอง”
พูดจบ เขาก็ใส่เสื้อของตัวนเอง สวมร่มชูชีพให้เรียบร้อย จากนั้นคว้าจับมือของเหลิ่งรั่วปิง “ไปกันเถอะ”
บอดี้การ์ดถูกฝึกมาอย่างดี พวกเขาสวมร่มชูชีพ เดินตามหลังหนานกงเยี่ย ไปยังประตูเครื่องบิน เวลานี้ ประตูเปิดออกแล้ว ลมหนาวพัดเข้ามาอย่างแรง
หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิงแน่นตลอดเวลา เขาหันมามองเธอ “กล้ากระโดดหรือรึเปล่า”
“ทำไมต้องไม่กล้าด้วยคะ” สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงนิ่งมาก ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
“ดีมาก” หนานกงเยี่ยชื่นชมเธอจริงๆ “ถ้าต้องตายพร้อมกับผม คุณจะเสียใจไหม”
“ฉันคิดว่าฉันคงไม่ตาย” เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปสองวินาที หันไปมองหนานกงเยี่ย “คุณเองก็ด้วย”
“อื้ม” หนานกงเยี่ยกระชับมือให้แน่น จับมือของเธอเอาไว้แล้วกระโดดลงไป
ก่วนอวี้และบอดี้การ์ดทุกคนก็กระโดดตามลงไปติดๆ
ร่มชูชีพแต่ละชุดกางออกมา คล้ายกับดอกไม้ที่สวยงาม เบิกบานอยู่บนท้องฟ้า
ไม่ว่ากระแสลมจะรุนแรงแค่ไหน หนานกงเยี่ยก็ไม่ปล่อยมือไปจากเหลิ่งรั่วปิง จนกระทั่งลงสู่พื้นดิน
ช่วงขณะที่กระโดดลงมา ลมหนาวที่พัดกระหน่ำทำให้หน้าของเหลิ่งรั่วปิงแดงก่ำ เธอเป็นคนกลัวความหนาวอยู่แล้ว ตอนที่กระโดดลงมา ทำให้เธอตัวสั่นเทาด้วยความหนาวน หนานกงเยี่ยรู้ดีว่าที่เหลิ่งรั่วปิงตัวสั่นไม่ได้เป็นเพราะตกใจ แต่เป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็น ดังนั้นตอนที่ถึงพื้นดิน สิ่งแรกที่เขาทำคือกอดเธอเอาไว้ “หนาวมากใช่ไหมครับ”
“นิดหน่อยค่ะ” ถึงแม้เธอจะพูดว่านิดหน่อย แต่เหลิ่งรั่วปิงหนาวจนปากสั่นอย่างเห็นได้ชัด
หนานกงเยี่ยมองไปรอบๆ พื้นที่ที่พวกเขาตกลงมานั้นเป็นหิมะ ไม่มีผู้คน “ก่วนอวี้ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน”
ก่วนอวี้รีบหยิบเครื่องระบุพิกัดออกมาตรวจเช็ค “คุณชายเยี่ยครับ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ชายแดนของประเทศต้าย่า เดินไปทางทิศใต้อีกประมาณห้ากิโลเมตร มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ที่นั่น เราสามารถไปพักที่นั่นก่อนได้ครับ จากนั้นค่อยส่งรถมารับ”
“อื้ม” หนานกงเยี่ยก้มหน้ามองผู้หญิงในอ้อมกอดของตนเอง เธอหนาวจนตัวสั่นไปหมด แล้วเงยหน้าขึ้นออกคำสั่ง “ไปหาฟืนมาหน่อย แล้วก่อไฟ พวกเราทำร่างกายให้อบอุ่นก่อนค่อยออกเดินทาง”
ก่วนอวี้รีบสั่งให้พวกบอดี้การ์ดไปหาฟืน ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็ก่อไฟสองกองบนพื้นหิมะ หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงผิงไฟด้วยกัน ส่วนก่วนอวี้ผิงไฟกับและพวกบอดี้การ์ดผิงไฟด้วยกัน
เปลวไฟสีแดงหลอมละลายหิมะ ทั้งยังส่องสว่างไปยังใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ เหลิ่งรั่วปิงไม่หนาวสั่นแล้ว ตอนนี้เธอกลับมาเหมือนดอกลิลลี่ป่าที่สวยบริสุทธิ์อีกครั้ง เธอทั้งเข้มแข็ง งดงาม บริสุทธิ์
หนานกงเยี่ยมองหน้าเหลิ่งรั่วปิง มุมปากของเขาคลี่ยิ้มจางๆ ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด ทำให้เขาชื่นชมได้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ผ่านความเป็นความตาย ทำให้เขารักเธอมากขึ้นเรื่อยๆทุกครั้ง
หนานกงเยี่ย “ยังหนาวไหมครับ”
“ไม่หนาวแล้วค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองเขา “เราออกเดินทางกันเถอะค่ะ”
เหลิ่งรั่วปิงรู้ดี สาเหตุที่หนานกงเยี่ยเลือกที่จะหยุดพักที่นี่เป็นเพราะเขาต้องการดูแลเธอ แต่ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เธอไม่อยากทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร หลังจากพระอาทิตย์ตกดินสองข้างทางก็มืดสนิท ไม่มีแม้แต่ไฟข้างทาง
“ครับ ไปกันเถอะ” หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิง แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้
พวกบอดี้การ์ดเอาหิมะมาดับกองไฟ จากนั้นเดินตามหลังมาติดๆ
ความเป็นจริงระยะทางห้ากิโลเมตรไม่ได้ไกลมาก แต่การเดินทางบนหิมะ ทำให้เดินทางได้ช้ามาก ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากเขตหิมะปกคลุม ฟ้าก็มืดแล้ว ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายหลักในหมู่บ้านเขตพื้นที่ชายแดน ไม่มีไฟข้างถนน มีแสงสว่างจากแค่พระจันทร์และดาวเท่านั้น โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไม่อย่างนั้นการเดินทางท่ามกลางความมืดคงลำบากมาแน่ๆ
พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เห็นแสงไฟเลือนรลางจากหมู่บ้าน
หนานกงเยี่ยก้มหน้าลง มองดูผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างเขา “เหนื่อยไหมครับ”
“ยังไหวดีค่ะ”
ถึงแม้เธอจะบอกว่ายังไหวดี แต่หนานกงเยี่ยรู้ว่าเธอไม่ไหวแล้ว เดินทางในตอนกลางคืนท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ทั้งๆ ที่เธอไม่ชอบอากาศหนาวที่สุด หนานกงเยี่ยลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก้มโค้งตัวลงช้อนตัวเธอขึ้นมา แล้วเดินไปด้านหน้า
เหลิ่งรั่วปิงตกใจมาก ตอนนี้เธอคือฉู่หนิงซยา การได้จับมือเขา รู้สึกว่าเป็นการทำลายข้อห้ามของเขาไปแล้ว ตอนนี้พอถูกเขาอุ้ม เธอยิ่งรู้สึกแปลกๆ “คุณหนานกง ปล่อยฉันลงค่ะ”
หนานกงเยี่ยไม่ยอมปล่อย “ผมบอกแล้ว คุณคิดว่าคุณเป็นเธอคนนั้นก็พอแล้ว ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องฝืน”
ก่วนอวี้ไหวพริบดีมาก เขาสั่งให้พวกบอดี้การ์ดรักษาระยะห่าง พยายามถอยห่างออกไป
“ฉันเดินเองได้ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงขัดขืน เธอพยายามจะลงมา แต่หนานกงเยี่ยพูดคำไหนคำนั้น แขนแกร่งใหญ่กระชับแน่น “คุณแน่ใจเหรอว่าจะทะเลาะกับผมที่นี่”
“ฉันไม่ได้ทะเลาะกับคุณ ฉันแค่อยากเดินเอง คุณหนานกงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้!” เหลิ่งรั่วปิงโมโห
หนานกงเยี่ยหยุดเดิน ก้มหน้าลงมองสีหน้าไม่สบอารมณ์ของคนในอ้อมกอด “ผมไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย แค่กลัวคุณจะปวดขาก็เท่านั้น คุณเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง แต่เวลาที่คุณรู้สึกแย่ คุณสามารถดื่มด่ำกับการดูแลของผู้ชายบ้างมันไม่ดีหรือครับ”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอด้วยความจนปัญญา “ผู้หญิงสามารถเพลิดเพลินกับการดูแลของผู้ชาย แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องยอมรับการดูแลจากผู้ชายทุกคน ฉันคิดว่าคุณกับฉัน เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่ฉันต้องยอมรับการดูแลจากคุณ”