เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 182 หนานกงเยี่ยใช้กำลังแย่งคนอีกแล้ว
ไซ่ตี้จวิ้นสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์สีเทาตัวสั้น ด้านในสวมเสื้อไหมพรมคอเต่าสีขาว กางเกงสแล็คสีดำ รองเท้าหนังสีดำ ลุคของเขาในวันนี้ดูอบอุ่นและสบายๆ ยืนอยู่ไกลออกไปสามเมตร ยิ้มได้อบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์ แววตาของเขานิ่งสงบ
“คุณไซ่ตี้จวิ้น?” เหลิ่งรั่วปิงรีบดึงมือกลับจากหนานกงเยี่ย แล้วเดินไปหาไซ่ตี้จวิ้น “คุณมาได้ยังไงคะ”
ไซ่ตี้จวิ้นไม่โกรธและไม่ประหม่าแม้แต่น้อย เขายิ้มพร้อมกับถอดเสื้อกันหนาวมาคลุมให้กับเหลิ่งรั่วปิง “มาฉลองปีใหม่กับคุณและหย่าเซวียนไงครับ”
เขารู้ ถึงแม้หน้าตาของเหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้จะเป็นฉู่หนิงซยา หนานกงเยี่ยดูไม่ออก แต่บุคลิกของเธอคือเหลิ่งรั่วปิง การที่หนานกงเยี่ยมายุ่งวุ่นวายกับเธอ เขาเองก็พอจะเข้าใจได้ ดังนั้น ขอแค่เหลิ่งรั่วปิงไม่หวั่นไหว เขาก็วางใจได้
มองดูท่าทีสนิทสนมของทั้งสองคน ดวงตาเฉียบคมของหนานกงเยี่ยหลุบตาลง บรรยากาศทั่วทั้งทางเดินค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นมา ความกดอากาศที่รุนแรงทำให้อากาศบิดเบือนไปหมด เขากำหมัดแน่น ขอเพียงมีความคิดแล่นเข้ามาในหัว เขาก็พร้อมจะชกหน้าไซ่ตี้จวิ้น แต่ที่เขาอดทนเอาไว้ เป็นเพราะกลัวเหลิ่งรั่วปิงจะจากเขาไป
แววตาอ่อนโยนของไซ่ตี้จวิ้น มองไปทางหนานกงเยี่ยพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณชายเยี่ย คงจะไม่ถือสาใช่ไหมครับถ้าผมจะรับเธอกลับไปตอนนี้”
“ถ้าผมบอกว่าถือสาล่ะ?” ดวงตาเฉียบคมของหนานกงเยี่ยจดจ้องไปที่ใบหน้าไซ่ตี้จวิ้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยการยั่วโมโห
ไซ่ตี้จวิ้นขมวดคิ้ว เขาเดาไม่ออกว่าหนานกงเยี่ยคิดจะทำอะไรกันแน่ ไม่ว่ายังไง ฉู่หนิงซยาคือคู่หมั้นของเขา เขาไม่มีสิทธิ์ห้ามตนพาเธอกลับไป “คุณชายเยี่ย คุณหมายความว่าอะไรครับ”
“ไม่เข้าใจเหรอ” หนานกงเยี่ยเดินสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ กอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ด้วยความเผด็จการ “ผมชอบเธอ”
เขาชอบเธอ!
โอหังแค่ไหน เผด็จการเอาแต่ใจตนเองแค่ไหน นี่เป็นคู่หมั้นของคนอื่น เขาบอกกับว่าที่เจ้าบ่าวว่า ชอบเธอ นี่มันต้องการแย่งเธอไปชัดๆ
แววตาไซ่ตี้จวิ้นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที “คุณชายเยี่ย คุณจะแย่งภรรยาคนอื่นเหรอ”
“หึ!” หนานกงเยี่ยหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน “ยังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย พูดมาได้ยังไงว่าเป็นภรรยา ฉันจะแย่งเธอไป นายจะทำอะไรได้”
เผชิญหน้ากับจอมเผด็จการหนานกงเยี่ย ไซ่ตี้จวิ้นรู้สึกว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ดังนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขา เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเยี่ยด้วยความเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่ากำลังท้าทาย
ความสามารถด้านการต่อสู้ของหนานกงเยี่ยเรียกได้ว่าสุดยอดมาก เขาไม่ค่อยมีงานอดิเรกที่ชอบเท่าไร นอกจากบริหารบริษัทหนานกงแล้ว งานอดิเรกของเขาก็คือออกกำลังกายและฝึกฝนการต่อสู้ แต่งานอดิเรกของไซ่ตี้จวิ้นกว้างขวาง มีสิ่งที่ชอบทำหลายอย่าง ด้านการต่อสู้จึงไม่ได้ศึกษาละเอียดมากนัก ดังนั้นถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ไซ่ตี้จวิ้นต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน
แต่ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายค้ำคอ ไม่เศร้าและไม่ดีใจ แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็พร้อมปกป้อง ยิ่งไปกว่านั้นคือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงภรรยา ต่อให้ต้องตายก็ต้องสู้กันสักตั้ง
“ดูเหมือนคุณชายเยี่ยอยากจะดวลกับผมสักตั้งนะครับ?” ไซ่ตี้จวิ้นถลกแขนเสื้อขึ้นโดยไร้ซึ่งความกลัว
ทว่าหนานกงเยี่ยกลับไม่ขยับ เขายังคงกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ “นายยังไม่มีคุณสมบัตินั้น!”
คำพูดนี้โอหังมาก แย่งคู่หมั้นคนอื่น แต่ยังจะบอกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติในการดวลด้วย!
สิ้นเสียงหนานกงเยี่ย ก่วนอวี้ปรากฎตัวขึ้นมาตรงทางเดินได้ทันเวลาพอดี หันไปมองไซ่ตี้จวิ้นพร้อมกับยิ้มอย่างสง่างาม “ให้ผมดวลกับประธานไซ่สักสองสามกระบวนท่านะครับ”
มองดูนายและบ่าวทั้งสองที่ทำตัวเหิมเกริม เหลิ่งรั่วปิงสุดจะทน สะบัดหนานกงเยี่ยทิ้ง เดินไปหาไซ่ตี้จวิ้น พร้อมกับคล้องแขนเขา “เราไปกันเถอะค่ะ”
ไซ่ตี้จวิ้นรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ชอบการต่อสู้ ดังนั้นจึงเตรียมจะออกไปพร้อมกับเหลิ่งรั่วปิง แต่หนานกงเยี่ยไม่อยากปล่อยเหลิ่งรั่วปิงไปแบบนี้ เขาเดินไปกระชากตัวเหลิ่งรั่วปิงกลับมา แล้วล็อกตัวเธอเอาไว้ในอ้อมแขน “ฉู่หนิงซยา ผมจะพูดซ้ำอีกหนึ่งรอบ เลิกกับเขา แล้วมาอยู่กับผม การแต่งงานของพวกคุณมันไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น”
ความเป็นจริง หนานกงเยี่ยไม่อยากทำแบบนี้ แต่การปรากฏตัวของไซ่ตี้จวิ้นกระตุ้นเขาอย่างหนัก เขาจะยอมให้เธอทิ้งเขาแล้วไปกับไซ่ตี้จวิ้นได้อย่างไร พวกเขาหมั้นกันแล้ว เรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะพาเธอกลับมาที่เมืองหลงได้ เขาจะยอมทนเห็นเธอสวีทหวานกับผู้ชายคนอื่นได้อย่างไร
เหลิ่งรั่วปิงไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของหนานกงเยี่ยได้ ปรายตามองเขาพร้อมกับหัวเราะเย้ยหยัน “คุณหนานกงเยี่ย คุณจริงจังกับตัวแทนคนนี้เกินไปหรือเปล่าคะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มชั่วร้ายและเย็นเยือก “ในเมื่อคุณชอบให้ตัวเองเป็นตัวแทนมากขนาดนี้ คุณก็ทำหน้าที่ตัวแทนของเธอให้ดีที่สุด จนกว่าเธอจะกลับมา”
“คุณหนานกงเยี่ย คุณอย่ารังแกกันเกินไป!” ไซ่ตี้จวิ้นผลักก่วนอวี้ทิ้ง พร้อมกับเดินไปหาหนานกงเยี่ยเพื่อที่จะกระชากเหลิ่งรั่วปิงออกมาจากอ้อมแขนของเขา
มีก่วนอวี้อยู่ แล้วจะให้เจ้านายลงมือเองได้อย่างไร ดังนั้นหนานกงเยี่ยยังคงไม่ขยับ กอดเหลิ่งรั่วปิงไว้แน่น ความเหยียดหยามกระจายอยู่ทั่วใบหน้าของเขา เขาไม่เคยเห็นไซ่ตี้จวิ้นอยู่ในสายตามาก่อน
ไซ่ตี้จวิ้นยังเดินมาไม่ถึงตัวเหลิ่งรั่วปิง ปืนของก่วนอวี้ก็จ่อตรงท้ายทอยของเขาแล้ว “ประธานไซ่ครับ ทางที่ดีที่สุดกรุณาใจเย็นด้วยครับ”
เหลิ่งรั่วปิงสติแตก พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของหนานกงเยี่ย แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่อาจหลุดพ้นจากแขนที่แข็งแกร่งของเขาได้ “คุณหนานกงเยี่ย คุณอย่าทำเกินไป!”
หนานกงเยี่ยก้มหน้ามองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด เพิกเฉยต่อสายตาโมโหของเธอ เงยหน้าขึ้นมองไซ่ตี้จวิ้นด้วยความเย้ยหยัน “ไซ่ตี้จวิ้น ฉันไม่เคยรังแกใครเกินกว่าเหตุ แต่นายต่างหากที่มาละโมบโลภมากอย่างได้ในสิ่งที่นายไม่คู่ควร ฉันไว้ชีวิตนายมาจนถึงทุกวันนี้ นายควรจะฉลองกับความโชคดีของตนได้แล้ว” แววตาเขาเหี้ยมโหดมากขึ้นหลายเท่า “อย่าให้ฉันเห็นนายที่เมืองหลงอีก!”
ขณะพูด หนานกงเยี่ยกระชากเสื้อกันหนาวของไซ่ตี้จวิ้นที่คลุมบนตัวเหลิ่งรั่วปิงทิ้ง พร้อมกับโยนลงบนพื้น กระชากเหลิ่งรั่วปิงเดินออกไปด้านนอก แน่นอนว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่ยอมแพ้ เธอพยายามจะสู้กับเขา แต่หนานกงเยี่ยไม่คิดจะยอมใจอ่อน เขารับหมัดของเธอแล้วล็อกเธอเอาไว้ในอ้อมกอด แววตาเย็นยะเยือก “ฉู่หนิงซยา ถ้าคุณกล้าขัดขืนผม หนึ่ง ผมจะเอาโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลงกลับมา สอง ผมจะฆ่าไซ่ตี้จวิ้นทิ้งทันที ผมพูดจริงทำจริง!”
“คุณหนานกงเยี่ย คุณมันสารเลว!” เหลิ่งรั่วปิงโมโหจนสั่นเทาไปทั้งตัว เหมือนหนานกงเยี่ยจะดูออกว่าสองอย่างนี้คือสิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากที่สุด จงใจเล่นงานจุดอ่อนของเธอ
หนานกงเยี่ยไม่สนใจความโมโหของเธอแม้แต่น้อย ลากเธอออกไปจากทางเดิน ตรงล็อบบี้มีคนเตรียมเสื้อกันหนาวรอเอาไว้แล้ว เขาไม่สนใจเธอที่พยายามดีดดิ้น สวมเสื้อกันหนาวให้เธอ จากนั้นลากเธอออกไปจากบริษัทหนานกง ขึ้นไปที่รถของตน
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่หนานกงเยี่ยใช้กำลังแย่งเหลิ่งรั่วปิงไปจากเขา ไซ่ตี้จวิ้นโมโหจนกำหมัดแน่น เวลาเดียวกันที่ความไม่พอใจและอัปยศพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจของเขา ไซ่ตี้จวิ้นชกกำแพงอย่างแรง
ก่วนอวี้เก็บปืนด้วยแววตาเย็นยะเยือก พูดเตือนเสียงเรียบ “ผมว่าประธานไซ่ทำใจเถอะครับ ฝืนโชคชะตามีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง”
ไซ่ตี้จวิ้นสั่นเทาไปทั้งตัว หันไปมองก่วนอวี้ “นายหมายความว่ายังไง? เจ้านายของนายอาศัยอำนาจและความรุนแรงแย่งคู่หมั้นคนอื่นไป หรือว่าเจ้านายของนายทำถูกต้องมีเหตุผล?”
ก่วนอวี้หัวเราะในลำคอ “ประธานไซ่เป็นคนฉลาด ทำไมคุณชายเยี่ยถึงไม่ไปแย่งคู่หมั้นคนอื่นล่ะครับ อยากจะมีชีวิตอยู่ก็ควบคุมตนเองและหัวใจให้ดี อย่าฝืนในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ผมขอเตือนให้ประธานไซ่ลืมคำว่า ”คู่หมั้น” สองคำนี้”
ไซ่ตี้จวิ้น “…”
เขาเป็นคนที่ฉลาด แต่เรื่องของความรัก เขามักจะทำผิดทั้งๆ ที่รู้ตัวดี ความรักคือการยึดติด
มองดูแผ่นหลังของก่วนอวี้ ไซ่ตี้จวิ้นยืนเหม่อลอยอยู่นาน สุดท้ายเขาหัวเราะเยาะตัวเองอย่างไม่ออกเสียง ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เขาเอาแต่ฝืน เอาแต่หลอกตัวเอง แต่กลายเป็นว่าเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า หนานกงเยี่ยรู้ตัวตนของเหลิ่งรั่วปิงมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไปข่มขู่ตนถึงประเทศเอ้าตู ทั้งยังล่อให้เธอกลับเมืองหลงด้วยโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลง ที่หนานกงเยี่ยไว้ชีวิตเขา เป็นเพราะกลัวว่าเหลิ่งรั่วปิงจะยิ่งจากไปไกล
ถูกต้อง หนานกงเยี่ยเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่เขาไม่มีวันเอาชนะได้ แย่งผู้หญิงกับเขา ตนเป็นฝ่ายแพ้ไปโดยตลอด ทั้งยังมีโอกาสแพ้จนไม่เหลือชิ้นดี
บนรถ หนานกงเยี่ยเงียบงัน ขับรถด้วยความตั้งใจ ใบหน้าของเขาตึงเครียด ริมฝีปากเม้มแน่น ไม่มีท่าทีจะเป็นฝ่ายพูดกับเหลิ่งรั่วปิงก่อน
เขาโมโหแล้ว ความเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา บรรยากาศในรถยนต์อัดแน่นด้วยความเย็นยะเยือก
เหลิ่งรั่วปิงไม่กลัวความเย็นยะเยือกของเขา เธอท้าทายความอดทนของหนานกงเยี่ยด้วยความดื้อรั้น “คุณหนานกงเยี่ย คุณจะทำอะไรกันแน่”
หนานกงเยี่ยทำหน้านิ่ง แววตาของเขาเหี้ยมโหด “ผมยังแสดงออกไม่ชัดเจนอีกเหรอ” ทุกคำที่พูดออกมานั้นราวกับน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ “ผมต้องการให้คุณเป็นผู้หญิงของผม”
“หนานกงเยี่ย คุณมันสารเลว!” เหลิ่งรั่วปิงใช้กระเป๋าฟาดไปที่หน้าหนานกงเยี่ยอย่างแรง
หนานกงเยี่ยไม่หลบและไม่หลีกหนี รับมันเอาไว้ สายตายังคงมองตรงไปด้านหน้า น้ำเสียงของเขาไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย “บ้าพอหรือยัง”
“ฉันเป็นคนที่กำลังบ้าอยู่เหรอคะ ตอนนั้นคุณเคยพูดว่ายังไง” เหลิ่งรั่วปิงโมโหจนริมฝีปากอดที่จะสั่นเทาไม่ได้ “หึ คุณหนานกงเยี่ย คุณอย่าบอกฉันนะคะ ว่าคุณรักผู้หญิงที่เป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว?”
“ถ้าคุณอยากจะเข้าใจแบบนี้ ก็เข้าใจแบบนี้ต่อไปเถอะ”
“ฉันไม่ทำแล้ว!”
หนานกงเยี่ยเหยียบเบรกกะทันหัน รถยนต์จอดกะทันหันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ ตอนนี้เธอคงปลิวออกไปแล้วแน่ๆ “คุณหนานกง คุณบ้าไปแล้วหรือไง!”
ใบหน้าของหนานกงเยี่ยไร้ความรู้สึก เขาหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย พูดตอบทีละคำๆ “คุณไม่มีทางเลือก ฉู่หนิงซยา ผมจะบอกอะไรให้คุณรับรู้เอาไว้หากคุณคิดจะแต่งงานกับไซ่ตี้จวิ้น แม้แต่ชาติหน้าก็ไม่ต้องเพ้อฝัน!”
“หนานกงเยี่ย!” เหลิ่งรั่วปิงแทบจะกัดฟันออกเสียงสามพยางค์นี้ ดวงตาเกรี้ยวโกรธปะทะกับเปลวไฟสีแดง มือเรียวยาวกำหมัดแน่น “แล้วถ้าฉันไม่ยอมล่ะ”
ผู้ชายคนนี้ยังคงเผด็จการ ไม่มีเหตุผล เขาคิดอยากจะทำยังไงก็ทำแบบนั้น เธอไม่พอใจ! ไม่ว่าเธอจะเป็นเหลิ่งรั่วปิงหรือฉู่หนิงซยา เธอไม่มีวันปล่อยให้เขาทำสำเร็จอีกครั้งแน่นอน
มองดูเหลิ่งรั่วปิงที่โกรธสุดขีด หนานกงเยี่ยหวาดกลัวเล็กน้อย เขารู้จักนิสัยของเธอเป็นอย่างดี บีบบังคับเธอจนเหลืออด แม้ว่าจะเอาอะไรมาขวางก็หยุดเธอไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
เขาไม่อยากให้เรื่องไปถึงขั้นนั้นอีก
ไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนปลุกความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของซึ่งอยู่ส่วนลึกในหัวใจของเขาขึ้นมา มองดูเธออยู่กับไซ่ตี้จวิ้น เขาก็ไม่อาจควมคุมความเผด็จการและการใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างไม่มีเหตุผลได้
เวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธของเธอ หนานกงเยี่ยค่อยๆ ใจเย็นลง