เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 193 ลวนลามจนติดเป็นนิสัย
หนานกงเยี่ยถูกรังแกถึงขั้นนี้ แต่กลับไม่โมโหแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะอย่างมีความสุข เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขานึกถึงค่ำคืนที่เล่นหิมะด้วยกัน คืนนั้นพวกเขาเล่นสงครามหิมะ เขาเองก็ทำใจขว้างหิมะใส่เธอไม่ได้ แต่เธอกลับขว้างหิมะใส่เขาด้วยความสะใจ โยนก้อนหิมะมาให้เขานับไม่ถ้วน
ภาพที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ยังคงเป็นเหมือนเดิม เขารักเธอ มากกว่าที่เธอรักเขานับหมื่นเท่า แต่เขาไม่ถือสา เขาไม่เรียกร้องให้ความรักของพวกเขาเท่ากันอีกแล้ว เขาขอแค่ได้รักเธอก็พอแล้ว การที่เธอยอมรับความรักของเขา หนานกงเยี่ยก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว
หลังจากแยกจากกัน เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความรัก
ความรัก ไม่มีความเท่าเทียมและยุติธรรม และไม่มีทางที่ต่างฝ่ายจะตอบแทนกันและกัน ไม่ใช่ว่าเราให้ความจริงใจไปเท่าไร อีกฝ่ายก็จะให้ความจริงใจกลับมาเท่ากัน ขอเพียงแค่รัก ยินดีที่จะยอมทุ่มเททุกอย่าง ไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายตอบแทน ขอเพียงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ใครรักมาก ใครรักน้อย ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือ การอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วคว้าจับมือของเหลิ่งรั่วปิง “พอแล้วครับ ไม่เล่นแล้ว ขืนยังเล่นต่อคงไม่ได้ห่อเกี๊ยวกันพอดี”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มด้วยความงดงาม ยื่นมือออกไปแตะจมูกของหนานกงเยี่ย “คุณเป็นคนเริ่มสงครามก่อนนะคะ แต่กลับเป็นฝ่ายข้อร้องให้หยุด ขายหน้าจัง!”
“ครับๆๆ ผมมันไม่ได้เรื่อง” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วพาเหลิ่งรั่วปิงเดินไปยังอ่างล้างมือ เขาหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าเหลิ่งรั่วปิง
เหลิ่งรั่วปิงได้รับการดูแลแบบนี้ ทำให้รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เธอจึงหยิบผ้าขนหนูและช่วยเขาเช็ด ภาพตรงหน้าตลบอบอวลด้วยความรัก ตอนที่เธอรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไร อย่างกะทันหัน หนานกงเยี่ยก้มหน้าลงจูบเธอ มือใหญ่คว้าเอวบางของเหลิ่งรั่วปิง โอบกอดเธอเอาไว้แน่น
ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรใกล้กันแบบนี้ แต่เธอกลับไม่ผลักเขาออกไป เหลิ่งรั่วปิงเพิ่งรู้ตัวว่า ความเป็นจริงเธอโหยหาและคิดถึงอ้อมกอดของเขามาก รวมถึงจูบของเขา
นานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงแทบจะหมดอากาศหายใจจึงผลักเขาออกไป “คุณหนานกงเยี่ย คุณลวนลามฉันจนติดเป็นนิสัยไปแล้วใช่ไหมคะ”
หนานกงเยี่ยยิ้ม “แต่คุณก็ดื่มด่ำกับมันมากนี่ครับ”
เหลิ่งรั่วปิงทั้งอายและทั้งโมโห กำหมัดแน่น อยากจะตีเขาเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วจับมือเล็กๆ ของเธอเอาไว้ “พอได้แล้วครับ อย่าดื้อเลย พวกเราไปห่อเกี๊ยวกันเถอะ หืม?”
พูดจบ ไม่สนใจท่าทีปฏิเสธของเธอ เขาพาเหลิ่งรั่วปิงกลับไปนั่งอีกครั้ง
ตั้งแต่นั้น เหลิ่งรั่วปิงไม่พูดแม้แต่คำเดียว เธอก้มหน้าลงห่อเกี๊ยวเงียบๆ พักอยู่ในวิลล่าหย่าเก๋อหนึ่งคืนหนึ่งวัน เธอถูกเขาจูบอย่างดูดดื่มไปสามครั้ง จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าการอยู่ด้วยกันแบบนี้มันแปลกมาก
หนานกงเยี่ยไม่ได้บีบบังคับ เขาห่อเกี๊ยวไปด้วย และลอบมองใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ รู้สึกเหมือนมือแห่งความสุขกำลังโอบกอดหัวใจของเขาเอาไว้ เขามีความรู้สึกราวทิ้งตัวนอนอยู่บนก้อนเมฆ ถึงแม้จะผ่านความทุกข์ทรมานมามากมาย แต่เขาก็เจอเธอ
หลังจากห่อเกี๊ยวเสร็จ หนานกงเยี่ยต้มเกี๊ยวด้วยตนเอง เหลิ่งรั่วปิงเตรียมถ้วยกับตะเกียบอย่างรู้งาน
หนานกงเยี่ยปรุงไส้เกี๊ยวตามหนังสือสอนทำอาหาร เขาปรุงรสได้อร่อยมาก ดังนั้นถึงแม้เกี๊ยวของพวกเขาจะหน้าตาไม่ดี แต่รสชาติถือว่าไม่เลว
เกี๊ยวในคืนส่งท้ายปีกินกันอย่างมีความสุข
หนานกงเยี่ยในอดีต สำหรับเขาแล้วคืนวันสิ้นปี ไม่แตกต่างจากวันปกติทั่วๆ ไป ชีวิตของเขาไม่มีความสุขอะไรมากมาย คืนวันสิ้นปีเมื่อปีที่แล้วเขาฉลองกับเหลิ่งรั่วปิง ทั้งยังสารภาพความในใจกับเธอ แต่เธอปฏิเสธเขา ทั้งสองทะเลาะกัน คืนส่งท้ายปีเก่าในปีนี้ เป็นคืนที่เขามีความสุขที่สุด ตลอดยี่สิบแปดปีที่ผ่านมา
สำหรับเหลิ่งรั่วปิง นี่เป็นคืนส่งท้ายปีที่เธอมีความสุขที่สุด หลังจากสูญเสียพ่อ มีผู้ชายคนหนึ่งที่รักเธอเหมือนพ่อ ทำให้เธอรู้สึกมีความสุข เมื่อเทียบกับคืนสิ้นปีในปีที่ผ่านๆ คืนนี้เธอมีความสุขมาก
หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อย ทั้งสองจูงมือกันเดินไปที่สวนหย่อมหลังวิลล่า หนานกงเยี่ยจัดวางพลุเอาไว้แต่แรกแล้ว ใช้ธูปก้านยาวจุดดอกแรก พลุดอกอื่นๆ ก็จุดติดเองอัตโนมัติ ท้องฟ้าบนวิลล่าหย่าเก๋อมีงานเลี้ยงดอกไม้ไฟ
หนานกงเยี่ยสวมกอดเหลิ่งรั่วปิง ให้ใบหน้าของเธอแนบชิดกับคอเสื้อของเขา หัวใจที่เต้นแรงและความอบอุ่นของเขาส่งผ่านไปถึงเธอ หนานกงเยี่ยก้มหน้ามองหญิงสาวในอ้อมกอด พบว่าเธอยังสวยได้มากกว่าดอกไม้ไฟเสียอีก ด้วยเหตุนี้ เขาเองก็คลี่ยิ้มกว้าง
ตอนที่พลุดอกสุดท้ายจบลง เขาก้มหน้า เอ่ยถามเธอเสียงเบา “ฉู่หนิงซยา คุณมีความสุขไหมครับ”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่มีท่าทีจะไปจากอ้อมกอดของเขา เธอยังคงแนบชิดอยู่ที่คอเสื้อหนานกงเยี่ย พยักหน้าเบา
“คุณรักผมไหมครับ” ริมฝีปากบางของหนานกงเยี่ยโน้มลงข้างหูเหลิ่งรั่วปิงแล้วเอ่ยพูดเสียงเบา
“…” เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร ซบอยู่ในอ้อมกอดเขาเงียบๆ
รักไหม น่าจะเรียกว่ารัก ตอนนั้นเธอรักเขา แต่ที่เธอตัดสินใจไปจากเขาเด็ดขาดแบบนั้น เป็นเพราะรู้สึกว่าความรักของตนเองถูกเหยียบย่ำ รู้สึกไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดและรักต่อไปไม่ไหว แต่หลังจากอยู่คนเดียวเงียบๆ มาหลายเดือน พบเจอกับเขาอีกครั้ง เธอพบว่าตนเองยังคงโหยหาเขา ไม่รังเกียจจูบของเขา และไม่รังเกียจอ้อมกอดของขา แม้แต่ความรักที่เขามีให้เธอก็ไม่รู้สึกรังเกียจ
ถ้าเขาไม่รักเธอ เธอคงทิ้งเขาไปได้อย่างเด็ดขาด แต่เขารักเธอ ทำให้เธอโหยหาและคิดถึงเขา
เขาเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ ถึงแม้ตอนแรกที่อยู่ด้วยกันจะไม่ใช่เพราะความรัก แต่เขารักเธอมาก จนเธอเผลอใจให้เขาโดยไม่รู้ตัว ว่ากันว่าผู้หญิงจะไม่มีวันลืมผู้ชายคนแรกของตนเอง ถึงขั้นที่ว่าจะจดจำและคิดถึงไปตลอดชีวิต อันที่จริงเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงทั่วไป ที่ให้ใจใครไปแล้วก็รักไปทั้งชีวิต
ไม่ใช่ว่าไซ่ตี้จวิ้นไม่ดี และไม่ใช่ว่าเขาดีไม่พอ และยิ่งไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าตาเธอ เพียงแต่ร่างกายของเธอให้หนานกงเยี่ยไปนานแล้ว เธอยากที่จะยอมรับผู้ชายคนอื่น มีเพียงแค่จูบของเขาเท่านั้นที่จะทำให้เธอยอมรับด้วยความสบายใจ และมีเพียงอ้อมกอดของเขาเท่านั้นที่จะปลอบโยนเธอได้ดีที่สุด
ทว่า รักแล้วอย่างไร สุดท้ายเธอก็ต้องไปจากเขา เพราะเธอไม่มีความกล้าที่จะหันหลังกลับ หันหลังกลับเท่ากับว่าเธอเลือกเดินบนเส้นทางที่มีแต่ขวากหนาม
เงียบอยู่นานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางเบา “ในเมื่อคุณเห็นฉันเป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิง แล้วทำไมต้องสนใจด้วยคะว่าฉันจะรักหรือไม่รัก”
“แล้วถ้าคุณคือเธอล่ะ” ถึงแม้เขาจะตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเธอจะรักหรือไม่รักเขา เขาก็จะรักเธอ เพียงแต่ถ้าเธอรักเขาตอบ ความรักถึงจะสมบูรณ์แบบ
เหลิ่งรั่วปิงกะพริบตา “สุดท้ายคุณกับเธอก็ไม่มีวาสนาได้รักกัน แล้วทำไมคุณต้องแคร์ด้วยว่าเธอจะรักคุณหรือไม่รัก”
นัยน์ตาหนานกงเยี่ยฉายความผิดหวัง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะโหยหาเขามาก แต่ภายในใจของเธอไม่คิดที่จะหันหลังกลับมา ทว่าเขาไม่ได้โกรธ เป็นความผิดของเขาที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ เขาต้องยอมรับมัน
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วกอดเหลิ่งรั่วปิงแน่น เอ่ยพูดเสียงแผ่วเบา “ครับ ผมจะไม่แคร์ ขอแค่คุณอยู่ข้างๆ ผมก็พอแล้ว”
เสียงนาฬิกาในวันปีใหม่ดังขึ้น ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองหลงดาษดาด้วยดอกไม้ไฟ ท้องฟ้าสีดำสนิทแต้มไปด้วยสีสัน เป็นภาพที่สวยมาก
หนานกงเยี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างภายในห้องนอน มองดูท้องฟ้าที่สวยงาม คลี่ยิ้มบางบาง ก้มหน้ามองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉู่หนิงซยา สวัสดีปีใหม่ครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้น มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่น ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มงดงาม “สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณหนานกงเยี่ย”
แม้จะไม่รู้ว่าต้องแยกจากกันเมื่อไร แต่ตอนนี้เธอยินดีที่จะอยู่เคียงข้างเขา
คืนวันปีใหม่ เขานอนอยู่ข้างๆ เธอ ถึงแม้จะรักษาระยะห่าง แยกกันห่มผ้าห่มคนละผืน แต่หัวใจของทั้งสองกลับใกล้ชิดกัน
เช้าวันที่สอง แสงอาทิตย์เจิดจ้า ท้องฟ้าสดใสไม่มีเมฆหมอก ลมเย็นๆ พัดผ่านแผ่วเบาราวกับฤดูใบไม้ผลิ
พ่อบ้านและเหล่าคนงานของวิลล่าหย่าเก๋อกลับมาแต่เช้าตรู่ รู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงยังนอนอยู่ จึงไม่มีใครกล้าเสียงดัง ทำหน้าที่ของตนเองเงียบๆ
ถังเฮ่า มู่เฉิงซีและเวินอี๋ อวี้ไป่หันและไซ่หย่าเซวียน ทยอยมาถึงวิลล่าหย่าเก๋อ นั่งอยู่ในห้องรับแขกเงียบๆ หนานกงเยี่ยเป็นคนเรียกร้อง ที่จะออกไปเที่ยวด้วยกันในวันนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นทำให้คุณชายทั้งสี่ของเมืองหลงรู้สึกผิดกับเหลิ่งรั่วปิงมาก อีกทั้งทุกคนต่างรู้ดีว่าเธอคือแก้วตาดวงใจของหนานกงเยี่ย ตอนนี้เขาแทบจะดูแลเธอเหมือนกับราชินี ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเธอ หนานกงเยี่ยไม่ให้ปลุกเธอก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ไซ่หย่าเซวียนไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเหลิ่งรั่วปิง เธอยังโกรธที่เหลิ่งรั่วปิงทิ้งพี่ชายของตน ไซ่หย่าเซวียนร่วมทริปไปเที่ยวกับอวี้ไป่หันเพื่อที่จะทำให้เหลิ่งรั่วปิงหมดสนุก ดังนั้น หลังจากนั่งรอพักหนึ่ง เธอจึงพูดขึ้น “คุณหนานกงคะ คนรักใหม่ของคุณสูงส่งขนาดไหนกัน ถึงให้คนมากมายรอเธอแค่คนเดียว”
หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ปรายตามองไซ่หย่าเซวียน เพียงแค่ปรายตามอง ก็ทำให้ไซ่หย่าเซวียนหนาวสั่นไปทั้งตัว
“พอแล้วครับๆ ไม่ต้องพูดมาก” อวี้ไป่หันรีบพาไซ่หย่าเซวียนออกไปจากห้องรับแขก ถ้าขืนปล่อยให้เธอพูดมากแล้วทำให้หนานกงเยี่ยโมโห เขาก็คงไม่กล้าช่วยเธอแล้วจริงๆ เพราะตั้งแต่เขาทำลายความสัมพันธ์ของหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงแล้วนั้น เขาก็รู้สึกว่าตนติดหนี้พวกเขาทั้งสอง ถ้าไม่ใช่เพราะถังเฮ่าและมู่เฉิงซีช่วยพูด ตอนนี้เขากับหนานกงเยี่ยคงไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนกัน
เธอเข้าไปในสวน ไซ่หย่าเซวียนสะบัดมืออวี้ไป่หันทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์ “คนขี้กลัวอย่างคุณ ยังกล้าคิดจะตามจีบฉัน คนอื่นมองฉันด้วยสายตาข่มขู่ คุณก็ทำได้เพียงพาฉันเดินหนี!” สายตาเย็นยะเยือกมองค้อนไปที่อวี้ไป่หัน “คุณหนานกงมีสิทธิ์อะไรทำตัวเผด็จการแบบนี้ คิดอยากจะแย่งผู้หญิงของพี่ชายฉันก็แย่งไปหน้าตาเฉย ทั้งยังห้ามไม่ให้ฉันต่อว่าอีก?”
อวี้ไป่หันทอดถอนหายใจ “เรื่องในอดีตที่ผ่านมาคุณไม่เข้าใจ ความเป็นจริงหนานกงไม่ได้แย่งผู้หญิงของพี่ชายคุณ แต่เป็นพี่ชายคุณที่คิดจะแย่งคนรักของหนานกง จนถึงตอนนี้หนานกงไม่ฆ่าพี่ชายคุณ ถือว่าเขาอดทนมากพอแล้ว คุณอย่าสร้างเรื่องอีกเลย”
ไซ่หย่าเซวียนเบิกตากว้างด้วยความไม่เข้าใจ “หรือว่าเมื่อก่อนฉู่หนิงซยาเคยคบกับคุณหนานกง?” จากนั้นเธอก็ส่ายหน้าอย่างแรง “เป็นไปไม่ได้ เมื่อก่อนฉู่หนิงซยาไม่มีโอกาสในการเข้าใกล้คุณหนานกง เมื่อก่อนยัยนั่นตามจีบพี่ชายฉันจนไม่เหลือศักดิ์ศรี ทั้งยังเป็นว่าที่เจ้าสาวของกู้จือเหา แล้วจะเคยคบกับคุณหนานกงได้ยังไง”
“ความเป็นจริง ฉู่หนิงซยาในตอนนี้ ไม่ใช่ฉู่หนิงซยาคนเดิม อันที่จริงแล้วเธอคือ…”
“คือใครคะ” ไซ่หย่าเซวียนเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวด้วยความสงสัย
“มาๆๆ ผมอธิบายให้คุณฟัง”
อวี้ไป่หันพาไซ่หย่าเซวียนเดินหลบเข้าไปในสวน นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เล่าเรื่องของหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงให้เธอฟัง พยายามพูดให้ซึ้งใจที่สุด หวังว่าจะทำให้ไซ่หย่าเซวียนสะเทือนใจ เพื่อที่เธอจะได้ไม่โกรธและไม่โวยวายอีก