เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 201 เผชิญหน้ากับความตายโดยไม่โดดเดี่ยว
เมืองไห่ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศต้าย่า เกิดแผ่นดินไหวราวเก้าริกเตอร์ สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทุกมุมโลก ทั่วโลกพากันรายงานภัยพิบัติในครั้งนี้ รัฐบาลของประเทศต้าย่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก รีบให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว
แผ่นดินไหวในครั้งนี้ รุนแรงมาก ทำให้เมืองไห่ได้รับผลกระทบอย่างแรง พังทลายลงมาเกือบทั้งเมือง อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดถูกทำลาย อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ก็ถูกทำลายลงเช่นเดียวกัน ถนนหนทางเสียหายอย่างหนัก เหตุเพราะภูมิประเทศของเมืองเต็มไปด้วยหุบเขา พื้นที่หลายจุดเกิดดินถล่มกีดขวางเส้นทาง หน่วยกู้ภัยจึงยากที่จะเข้ามาช่วยเหลือ รัฐบาลส่งเครื่องจักรจำนวนมาก เพื่อจัดการและซ่อมแซมถนนตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หน่วยกู้ภัยทำงานแข่งกับเวลา เพราะทุกวินาทีมีโอกาสที่จะสูญเสียทุกชีวิตที่อยู่ใต้ซากปรักหักพังได้
ก่วนอวี้รู้ดีว่าหนานกงเยี่ยไปที่ไหน เดิมทีเขาอยู่กับอวี้หลานซี ทว่าหลังจากดูข่าว ราวกับฟ้าผ่าลงมาในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่กล้าชักช้าแม้แต่วินาทีเดียว รีบนำเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลหนานกงออกมาใช้ พาคนมุ่งหน้าไปยังเมืองไห่
แน่นอนว่าข่าวใหญ่แบบนี้ต้องไปถึงประเทศเอ้าตูและประเทศซีหลิง
ก่อนหน้านี้ไซ่ตี้จวิ้นได้รับรายงานการเดินทางของไซ่หย่าเซวียน รู้ว่าเธอและเหลิ่งรั่วปิงไปเมืองไห่ ดังนั้นตอนที่เห็นข่าว หัวใจของเขาตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งพันปี แทบจะไม่รอช้าแม้แต่วินาทีเดียว ทิ้งงานทุกอย่าง นั่งเครื่องบินส่วนตัว มุ่งหน้าไปยังเมืองไห่ เขาต้องไป ที่นั่นมีน้องสาวและผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด
ก่อนที่ไซ่ตี้จวิ้นจะบิน ฉู่เทียนรุ่ยตามมาด้วย ตอนที่ไซ่หย่าเซวียนคอยตามตอแยเขาทุกวัน เขารู้สึกรำคาญ แต่พอเธอหายไปจากชีวิตของเขากะทันหันแบบนี้ กลับทำให้เขารู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างในชีวิตขาดหายไป แต่เพราะรักษาความทะนงมานานกว่าสิบปี เขาจึงอายที่จะไปหาเธอที่เมืองหลง แผ่นดินไหวที่เมืองไห่ในครั้งนี้เป็นเหตุผลที่ดีที่สุด นอกจากไปเจอเธอแล้ว เขายังเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอด้วย เขาไม่เคยรู้มาก่อน บนโลกใบนี้จะมีคนที่ทำให้เขาเป็นห่วงได้ขนาดนี้
นั่งอยู่บนเครื่องบิน เขาอธิษฐานครั้งแล้วครั้งเล่า ‘ไซ่หย่าเซวียน เธอห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด รอให้เธอมา พี่จะไม่ชักสีหน้าใส่เธอแล้ว’
คนเรามักจะทำผิดพลาดเสมอ ตอนที่สูญเสียไปแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าอะไรสำคัญกับตนเอง ถึงแม้ฉู่เทียนรุ่ยจะเป็นหมอระดับแนวหน้าของโลก แต่เขาก็หลีกหนีจากจุดอ่อนข้อนี้ของมนุษย์ไม่ได้
ตอนที่ซือคงอวี้ได้รับรายงานของข่าว ราวกับฟ้าร้องเสียงดัง ทุกอย่างหลุดลอยไปกับสายลมเพราะความตกใจ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น เกือบพังเก้าอี้ทองคำที่เขานั่งเอาไว้ ข่าวนี้ ทำให้เขาร้อนใจยิ่งกว่าข่าวใหญ่ของประเทศเสียอีก
คนที่เขาส่งให้ไปอยู่เมืองหลง คอยติดตามเหลิ่งรั่วปิงตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าเธออยู่ที่ไหน
แผ่นดินไหวเก้าริกเตอร์ที่เมืองไห่ ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดอยู่ที่นั่น เป็นหรือตายไม่แน่ชัด!
เขาคือเจ้าวิหารซีหลิง เขาไม่อาจไปจากซีหลิงได้ตามใจชอบ และเข้าประเทศอื่นได้ตามต้องการไม่ได้ ฐานันดรศักดิ์ของเขาไม่ธรรมดา เกี่ยวข้องกับการเมืองตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ไปเมืองไห่เพื่อยืนยันความปลอดภัยของเธอ เขาจะวางใจได้อย่างไร ตอนนี้ สิ่งที่เขาคิด ไม่ใช่การจับตัวเธอกลับมา และไม่ใช่จะลงโทษเธออย่างไรดี เขาเพียงแค่อยากให้เธอปลอดภัย
หลังจากคิดไตร่ตรอง เขาทำการตัดสินใจ เขาต้องไปเมืองไห่!
เหลิ่งรั่วปิงอยู่ข้างกายเขามานานหกปี ทุกภารกิจของเธอไม่เคยขาดการติดต่อกับเขา พูดได้ว่า ตลอดหกปีที่ผ่านมานี้ เธออยู่ในการควบคุมของเขาตลอดเวลา รวมถึงเป็นและตาย เขาคิดไม่ถึง ยอมใจอ่อนปล่อยเธอกลับไปแก้แค้นที่เมืองหลง จะเป็นการทำให้เธออยู่เหนือการควบคุมของเขา ตอนนี้เธอไม่อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว แม้แต่เธอเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องที่ยากจะรับรู้
เขาคือเจ้าวิหารของซีหลิง ทุกการกระทำของเขาล้วนเชื่อมโยงกับการเมือง ไปเมืองไห่ในครั้งนี้เขาไปด้วยตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกหมาป่าสีเทามาพบ สั่งให้เขาจัดการทุกอย่าง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าต้องให้หมาป่าสีเทาทำเท่านั้น เพียงแต่เขาคุ้นชินกับการให้หมาป่าสีเทาทำเรื่องสำคัญ หมาป่าสีเทารับใช้ตนมานานกว่ายี่สิบปี เป็นแขนซ้ายขวาของตนมานานแล้ว ไปตามหาเหลิ่งรั่วปิง สำหรับซือคงอวี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แน่นอนว่าต้องให้หมาป่าสีเทารับผิดชอบถึงจะวางใจ
เดิมทีหมาป่าสีเทาได้รับคำสั่งจากซือคงอวี้ ออกเดินทางไปเมืองหลง เพื่อพาเหลิ่งรั่วปิงกลับมาอย่างลับๆ ทว่าเขาที่เพิ่งไปถึงเมืองหลงก็ถูกซือคงอวี้เรียกตัวกลับไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบกลับไปประเทศซีหลิง
หลังจากผ่านการเตรียมการอย่างรอบคอบ ปิดเป็นความลับ ซือคงอวี้ปลอมตัว เปลี่ยนตัวตน นั่งเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังประเทศต้าย่า ซือคงอวี้และคณะมาในนามตัวแทนของประเทศซีหลิง เป็นหน่วยกู้ภัยที่มาช่วยประเทศต้าย่า ตอนนี้ซือคงอวี้เป็นหนึ่งในหน่วยกู้ภัยธรรมดาคนหนึ่ง หมาป่าสีเทาคือหัวหน้าหน่วยกู้ภัย
*****
คนที่อยู่ตรงสนามหญ้าหน้าปราสาท ไม่ได้ยอมแพ้ในการช่วยเหลือคนในปราสาท ถนนที่พังถล่มลงไปขวางทางเอาไว้ พวกเขาจึงเดินตามแนวถนนไปทางทิศตะวันตก เพื่อที่จะอ้อมจากจุดสิ้นสุดของถนน ถนนถล่มกว่าพันเมตร ทว่าทุกคนกลับไม่ลดละที่จะช่วยคนในปราสาท แม้กระทั่งเวินอี๋และไซ่หย่าเซวียนก็ไม่บ่นว่าเหนื่อยแม้แต่น้อย พวกเธอเดินตามหลังผู้ชายทั้งสาม ไม่หยุดพักแม้แต่ก้าวเดียว สุดท้ายพวกเขาก็อ้อมถนนที่ถล่มลงมาได้ แล้วเดินไปยังหน้าปราสาทที่พังถล่ม
“หนานกง!”
“เหลิ่งรั่วปิง!”
ทุกคนพากันร้องตะโกนรอบแล้วรอบเล่า
ภายใต้ความมืดในพื้นที่คับแคบ แม้จะสลบไม่ได้สติ ทว่าหนานกงเยี่ยยังคงกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้
ปณิธานอันแรงกล้า ทำให้หนานกงเยี่ยฟื้นขึ้นมาก่อน เขาจำได้ดี ตอนที่พวกเขาตกลงมานั้น มีก้อนหินขนาดใหญ่หล่นลงมา สิ่งแรกที่เขาทำคือเอาตัวเองป้องเธอเอาไว้ ก้อนหินขนาดใหญ่หล่นทับลงบนแผ่นหลังของเขา จากนั้นเขาก็หมดสติไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างมืดสนิท ยื่นมือออกไปไม่เห็นแม้แต่นิ้วทั้งห้า รอบตัวมีแต่ซากปรักหักพังมากมาย มีเพียงคนที่อยู่ในอ้อมกอดทำให้เขามีสติ เธออยู่ในอ้อมกอดของเขา เงียบไม่มีเสียงร้องใดๆ แม้แต่ลมหายใจก็ยังรวยริน
หัวใจของหนานกงเยี่ยหล่นวูบ ตบแก้มเหลิ่งรั่วปิงทันที “รั่วปิง รั่วปิง พื้นสิครับ รั่วปิง!” เสียงของเขาที่อยู่ท่ามกลางความมืด เป็นเสียงที่สั่นเครือ
พวกเขาถูกฝังกลบอยู่ลึกมาก เสียงร้องตะโกนของทุกคนจึงไม่อาจเล็ดลอดเข้ามา
เหลิ่งรั่วปิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ทว่ากลับมองไม่เห็นอะไร มีเพียงอ้อมกอดอบอุ่นและกว้างใหญ่ที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย “หนานกงเยี่ย!”
เสียงของเธอสั่นเทามาก เธอเองก็จำได้ดี ตอนที่ตกลงมา เขาใช้ร่างกายของตนเองปกป้องเธอจากก้อนหินขนาดใหญ่ จากนั้นเขาก็สลบไป ตอนที่ตกลงมาบนพื้น หัวของเธอกระแทกกับของแข็งบางอย่าง และเธอก็หมดสติไปเหมือนกัน
“คุณหนานกงเยี่ย คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ” น้ำตาเหลิ่งรั่วปิงรินไหล ของเหลวอุ่นๆ รดลงบนมือของชายหนุ่ม ครั้งนั้นไซ่ตี้จวิ้นเคยใช้ร่างกายของตนเองปกป้องเธอจากอุบัติเหตุรถยนต์ เธอเองก็เคยร้องไห้เหมือนกัน แต่นั่นเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง เป็นน้ำตาแห่งความรู้สึกขอบคุณ เวลานี้ ผู้ชายที่เธอรักมากที่สุดใช้ชีวิตช่วยเธอเอาไว้ เธอร้องไห้เพราะปวดใจ เธอยอมเป็นคนที่ถูกก้อนหินหล่นทับ
ถึงแม้เธอจะมองไม่เห็น แต่หนานกงเยี่ยยังคงยิ้มปลอบโยนเธอ “ผมไม่เป็นอะไรครับ คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า หืม?”
หนานกงเยี่ยพูดไปด้วย พร้อมกับลูบจับร่างกายของเหลิ่งรั่วปิง เพื่อตรวจดูว่าเธอได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน” เหลิ่งรั่วปิงร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม คว้าเสื้อของหนานกงเยี่ยแน่น
เมื่อลูบจับดูแล้วไม่มีบาดแผลขนาดใหญ่ หนานกงเยี่ยจึงโล่งใจ “แล้วทำไมถึงหมดสติไปครับ”
“ตอนตกลงมาที่พื้นหัวของชั้นกระแทกกับอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้วค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเม้มกัดริมฝีปากล่างแน่น เพื่อไม่ให้ตนเองร้องไห้ เธอรู้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะร้องไห้
หนานกงเยี่ยรีบลูบจับศีรษะของเธอทันที เมื่อจับแล้วไม่เจอบาดแผลหรือเลือดไหล เขาจึงโล่งใจ “เจ็บไหมครับ”
“นิดหน่อยค่ะ แต่ฉันคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรมาก”“งั้นก็ดีแล้วครับ” หนานกงเยี่ยกระชับอ้อมกอด เช็ดน้ำตาที่รินไหลตรงแก้มของเธอ “ไม่ต้องร้องไห้ เราต้องเก็บแรงเอาไว้ พวกเฉิงซีต้องคิดหาวิธีช่วยเราออกไปอย่างแน่นอน”
“ถ้าคุณไม่เป็นอะไรฉันก็จะไม่ร้องไห้แล้วค่ะ” เธอไม่เคยร้องไห้เพราะตนเองมาก่อน “คราวหน้าคุณห้ามเสี่ยงอันตรายเพื่อฉันอีก!” ถ้าหากหนานกงเยี่ยตายเพราะช่วยชีวิตเธอ เธอคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
หนานกงเยี่ยหัวเราะ “เด็กโง่ ปกป้องภรรยาของตนเองเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
เป็นครั้งแรกที่เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่าการมีสามีเป็นเรื่องที่ดี เธอเผยยิ้มบางเบาภายใต้ความมืด น้ำเสียงของเธอออดอ้อน “ไม่ใช่สักหน่อย”
หนานกงเยี่ยกัดฟัน พูดเสียงดุดัน “กลับไปถึงเมืองหลงเมื่อไหร่ เราไปจดทะเบียนสมรสกัน” ถึงเวลานั้น ดูสิว่าเธอจะกล้าปฏิเสธอีกไหม!
เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก “ตอนนี้พวกเราถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพัง จะมีชีวิตรอดออกไปได้หรือไม่ยังเป็นเรื่องยาก”
หนานกงเยี่ยพยามมองดูรอบๆ แต่ในพื้นที่คับแคบนี้ ไม่มีแสงแม้แต่น้อย มืดจนยื่นมือออกไปก็ยังมองไม่เห็นนิ้วมือตนเอง เขามองอะไรไม่เห็นเลย “ผมลองดูนะครับ จะสามารถโยกย้ายของพวกนี้ได้หรือเปล่า คุณระวังหน่อยนะ อย่าให้ของตกลงมากระแทกตัวได้”
“ฉันช่วยคุณค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่ดอกไม้ในเรือนกระจก ในยามลำบากเธออยู่เคียงข้างผู้ชายได้
“ครับ” หนานกงเยี่ยรู้ ผู้หญิงของเขาไม่เคยเป็นตัวถ่วงของเขามาก่อน
ทั้งสองคลำไปมา ตรวจสอบดูพื้นที่คับแคบนี้หนึ่งรอบ ได้ข้อสรุปว่า ‘รอบตัวพวกเขาทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงหิน ด้านบนคือก้อนหินขนาดใหญ่ประมาณเจ็ดถึงแปดก้อน ไม่มีทางออก ถ้าไม่ทันระวังโดนเข้ากับของที่อยู่ด้านบน มีโอกาสที่ของพวกนั้นจะทับตายได้ตลอดเวลา ในพื้นที่คับแคบแบบนี้ พวกเขาต้องเงียบที่สุด ลดการใช้แรง เพราะสุดท้ายออกซิเจนจะถูกใช้จนหมดได้ ถึงเวลานั้นถ้าไม่หิวตาย ก็ตายเพราะขาดอากาศหายใจ’
เหลิ่งรั่วปิงอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อ “คุณหนานกงเยี่ย บรรพบุรุษของคุณก็จริงๆ เลย ทำไมต้องใช้ก้อนหินใหญ่มากมายพวกนี้มาสร้างปราสาทด้วย ดูสิคะ ตอนนี้จะย้ายยังไงก็ย้ายไม่ไหว”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะ “ถ้ามีชีวิตรอดออกไปไม่ได้ ถึงเวลานั้นผมจะลงไปถามพวกท่านด้านล่างนะครับ”
เพียะ!
เหลิ่งรั่วปิงตบปากหนานกงเยี่ยด้วยน้ำหนักมือที่ไม่แรงและไม่เบา เธอแกล้งทำเป็นโมโห “ห้ามคุณพูดสิ่งที่ไม่เป็นมงคลแบบนี้!”
“ครับๆ ไม่พูดครับ” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วโอบกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ “พวกเรารอเงียบๆ เถอะครับ พยายามเก็บแรงเอาไว้”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงซบอยู่ในอ้อมกอดหนานกงเยี่ยเงียบๆ พูดตามตรง เธอไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย ต่อให้ต้องตายที่นี่ เธอก็ไม่รู้สึกเสียใจ นี่เป็นครั้งแรก ที่เผชิญกับความตายและความยากลำบาก ทว่าเธอไม่ได้เผชิญเพียงลำพัง