เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 215 หัวหน้าตระกูลข่มขู่ อวี้หลานซียั่วยุ
นับตั้งแต่สูญเสียการมองเห็น ประสาทการฟังของเหลิ่งรั่วปิงก็อ่อนไหวมาก จากน้ำเสียงของหนานกงจวิ้น ทำให้เธอรู้ว่านิสัยของเขา ชายชราที่เคยครองโลกคนนี้ เป็นตัวละครที่เหี้ยมโหดไม่น้อย
หนานกงเยี่ยไม่มีสีหน้าอะไรมากมาย เขายังคงให้ความเคารพผู้เป็นพ่อ เพียงแต่น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “พ่อครับ”
เขาไม่เคยเรียกผู้ชายคนนี้ว่าป๊ามาก่อน ป๊าเป็นการร้องเรียกที่สนิทสนม เมื่อนำมาใช้กับพวกเขาสองพ่อลูก ดูไม่เหมาะสมเท่าไร พวกเขาไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาเหมือนราชากับราษฎรมากกว่า
“หึ แกยังจำได้เหรอว่าฉันเป็นพ่อของแก!” เสียงของหนานกงจวิ้นไม่พอใจมาก “ในเมื่อแกรู้ว่าฉันเป็นพ่อของแก การแต่งงานที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่กลับไม่รู้จักบอกฉัน?”
หนานกงเยี่ยไม่กระวนกระวาย ท่าทีของเขาเคร่งขรึม “พ่อครับ ผมอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว มีสิทธิ์ในการตัดสินใจการแต่งงานของตนเอง พวกเราแค่ไปจดทะเบียนสมรส ไม่ได้จัดงาน ถ้าพ่อสะดวก ผมอยากให้พ่อกลับมาเป็นเจ้าภาพจัดงานแต่งให้พวกเราเหมือนกันครับ”
“ใช่ แกโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งแล้ว เป็นเพราะคิดว่าฉันให้แกดูแลกิจการทุกอย่างของหนานกง ก็จะทำอะไรแกไม่ได้แล้ว?”
“ทำไมพ่อต้องพูดแบบนี้ด้วยครับ พ่อให้ผมดูแลหนานกง ผมเองก็ไม่ได้ทำให้พ่อต้องอับอายขายหน้า ผมดูแลหนานกงตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด ตอนนี้ก็หกปีแล้ว บริษัทหนานกงยิ่งใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าตัว” หนานกงเยี่ยยังคงนิ่งสงบ เคร่งขรึมมากกว่าเดิม “ในเมื่อพ่ออายุมากแล้ว สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง พ่อก็พักผ่อนและดูแลร่างกายให้ดีเถอะครับ ผมจะทำให้บริษัทหนานกงที่สืบทอดมานานกว่าสี่ร้อยปีเติบโตและรุ่งเรืองต่อไป”
คำพูดของหนานกงเยี่ยชัดเจนมาก ซึ่งก็คือหนานกงจวิ้นไม่อาจขัดขวางทุกสิ่งที่ตนทำได้ วันนี้บริษัทหนานกงอยู่ในกำมือเขาทั้งหมด หนานกงจวิ้นทำอะไรเขาไม่ได้
ตระกูลอภิมหาเศรษฐีที่สืบทอดมายาวนานอย่างตระกูลหนานกง การแก่งแย่งอำนาจภายในตระกูลคล้ายคลึงกับการช่วงชิงบัลลังก์ในอดีต ถึงแม้หนานกงเยี่ยจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนานกงที่ถูกเลือกตั้งแต่เด็ก และหนานกงจวิ้นก็ได้มอบอำนาจให้เขาแล้ว แต่ใช่ว่าจะไม่ได้เก็บเอาไว้แม้แต่น้อย เขายังมีวิธีที่จะกำจัดหนานกงเยี่ย
“เยี่ย ถึงแม้เราจะเป็นพ่อลูกกัน แต่คำสั่งของตระกูลถือเป็นอันดับหนึ่ง ฉันไม่อนุญาตให้แกแต่งงานกับผู้หญิงอย่างเหลิ่งรั่วปิง ถ้าแกชอบเธอจะเลี้ยงเธอไว้ด้านนอกก็ได้ แต่ตำแหน่งคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงต้องไม่ใช่เธอ”
“พ่อครับ หรือความรุ่งโรจน์และร่วงโรยของตระกูลหนานกงเกี่ยวข้องกับการแต่งงานกับผู้หญิง? ผมคิดว่าการที่แต่งงานกับเธอไม่ได้ทำให้ตระกูลหนานกงเดินลงเหว และไม่คิดว่าการแต่งงานกับหลานซีจะทำให้ตระกูลหนานกงรุ่งเรือง”
“เยี่ย แกเป็นคนฉลาดตั้งแต่เด็ก หลักการพวกนั้นฉันจำเป็นต้องพูดด้วยเหรอ!” เห็นได้ชัดว่าหนานกงจวิ้นพยายามข่มความโมโหเอาไว้ “แกในฐานะหัวหน้าคนใหม่ของตระกูลหนานกง ทุกเรื่องต้องให้ความสำคัญกับประโยชน์ของตระกูล การแต่งงานก็ต้องแต่งกับผู้หญิงที่เหมาะสม เหลิ่งรั่วปิงช่วยอะไรตระกูลหนานกงไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม หลานซีกลับจะสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับตระกูลหนานกง”
ถูกต้อง พ่อของอวี้หลานซี เคยสร้างประวัติศาสตร์ที่รุ่งโรจน์ให้กับตระกูลหนานกง พูดได้ว่าเขามีตำแหน่งที่สูงส่งในตระกูลหนานกง และเพราะเหตุนี้ ตอนนั้นหนานกงจวิ้นจึงไม่ลังเลที่จะรับอวี้หลานซีเป็นลูกบุญธรรม ทั้งยังปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นคุณหนูของครอบครัว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อซื้อใจคน
ตระกูลหนานกงสืบทอดมานานกว่าสี่ร้อยปี อาศัยกำลังคนของตระกูลเดียวไม่มีวันรุ่งโรจน์จนถึงทุกวันนี้ได้ ตระกูลหนานกงจำต้องอาศัยใจคน และความสามารถของคน
หัวใจของคนคือสิ่งสำคัญในองค์กร
หนานกงเยี่ยรู้หลักการนี้เป็นอย่างดี “พ่อครับ หลักการพวกนี้ผมเข้าใจดี หลานซีสำคัญกับตระกูลหนานกงมาก พวกเราตอบแทนบุญคุณของครอบครัวเธอ โดยไม่จำเป็นต้องตอบแทนโดยการแต่งงานกับเธอเท่านั้น ตอนนี้ผมแต่งงานแล้ว สำหรับอวี้หลานซี ถ้าเธอทำตัวดีๆ เช่นนั้นก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือนคุณหนูของตระกูลหนานกง ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองไปชั่วชีวิต แต่ถ้าเธอคิดจะทำอะไรผู้หญิงของผม ผมไม่มีวันปล่อยไปแน่”
คำพูดประโยคสุดท้ายของหนานกงเยี่ยหนักแน่นมาก เขารู้ดีว่าความกล้าของอวี้หลานซีใครเป็นคนสร้างขึ้น
“แก…” เสียงของหนานกงเยี่ย ภายใต้ความโมโห สั่นเทาอย่างชัดเจน “เยี่ย แกจะบีบให้ฉันกลับคฤหาสน์หนานกงให้ได้เลยใช่ไหม”
“พ่อครับ ถ้าเพราะเรื่องนี้ ผมคิดว่าพ่อไม่มีความจำเป็นต้องกลับคฤหาสน์ แต่ถ้าพ่อรู้สึกเหงา อยากจะมาอยู่กับผมให้ผมได้ทำตัวกตัญญูต่อพ่อบ้าง ผมก็ยินดีต้อนรับครับ” หนานกงเยี่ยไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย
หลังจากหนานกงจวิ้นเกษียณอายุวางมือจากธุรกิจ เขาก็พักที่เกาะส่วนตัวในมหาสมุทรต้าหนานมาโดยตลอด ที่นั่นสิ่งแวดล้อมดี อากาศสดชื่น ส่งผลดีต่อสุขภาพ ความเป็นจริงในตอนนั้น หนานกงจวิ้นไม่อยากวางมือจากธุรกิจ เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เพียงแต่หัวใจของเขามีปัญหา ไม่ควรที่จะทำงานหนักอีก จึงทำได้เพียงวางมือจากธุรกิจ แล้วพักรักษาตัว
หนานกงเยี่ยรู้ดีว่าพ่อของเขาไม่เหงา เพราะบนเกาะพ่อของเขามีผู้หญิงและลูกนอกสมรสอยู่ด้วย เขาเป็นแค่ผู้สืบทอดตำแหน่งที่พ่อตั้งใจเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กก็เท่านั้น เพราะเรื่องของแม่ สำหรับพ่อที่เป็นเพียงแค่ผู้ให้กำเนิด เขาแค่ให้ความเคารพนับถือเท่านั้น ไม่ได้มีความรัก
การสนทนาทางโทรศัพท์ข้ามน้ำข้ามทะเล สุดท้ายก็จบลงไม่ดี
หนานกงเยี่ยกดวางสาย ไม่มีอารมณ์ใดๆ
“ฉันทำให้คุณลำบาก?” เหลิ่งรั่วปิงนั่งอยู่ข้างๆ เขามาโดยตลอด เธออ่อนโยนราวกับดอกเบญจมาศ
หนานกงเยี่ยคลี่ยิ้มบางๆ สวมกอดเหลิ่งรั่วปิง “ลำบากมากครับ ถ้างานแต่งงานของเราพ่อผมไม่มา คุณจะถือสาไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจในสิ่งที่หนานกงเยี่ยยืนกราน เธอคลายยิ้มบางๆ เขายอมแลกด้วยชีวิตเพื่อปกป้องเธอ แน่นอนว่าไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ
หนานกงเยี่ยผ่อนคลายมาก ”ไม่ต้องคิดมากนะครับ ตอนนี้อำนาจของตระกูลหนานกงอยู่ในมือผม แน่นอนว่าทุกเรื่องล้วนขึ้นอยู่กับผมเป็นธรรมดา ผมไม่เคยคิดที่จะสังเวยความสุขของตนเองให้กับธุรกิจ พ่อ ท่านทำอะไรผมไม่ได้”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า “คราวที่แล้วคุณเคยบอกว่า นอกจากคุณแล้ว พ่อของคุณยังมีลูกชายอีกคน?”
“อื้ม ตอนที่แม่ของผมท่านยังมีชีวิต พ่อก็มีผู้หญิงคนอื่นนอกบ้านแล้ว ตอนที่แม่ผมเสียชีวิตเป็นเวลาเดียวกันกับที่ลูกนอกสมรสคลอด แม่ของผมรับเรื่องนี้ไม่ได้จึงทำให้ท่านป่วยและอาการไม่ยอมดีขึ้นสักที” เห็นได้ชัดว่านัยน์ตาของหนานกงเยี่ยเปี่ยมด้วยความเจ็บปวด เขากำลังหวนคิดถึงแม่ของเขา ”พ่อของผมท่านเป็นคนทะเยอทะยานมาก ในตอนนั้นท่านไม่อยากมอบอำนาจของตระกูลให้กับผม แต่เพราะท่านเป็นโรคหัวใจ ทำงานหนักไม่ได้ จึงจำต้องวางมือจากธุรกิจ หลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรต้าหนาน มีผู้หญิงคนนั้นและลูกชายนอกสมรสของพวกเขาคอยอยู่เป็นเพื่อน ท่านไม่ต้องการผม ผมเป็นแค่คนที่ท่านเลี้ยงเอาไว้เพื่อสืบทอดธุรกิจก็เท่านั้น”
เหลิ่งรั่วปิงสงสารหนานกงเยี่ย จับมือของเขา ”พอจะมีเวลาว่างพาฉันไปที่หน้าสุสานของแม่คุณไหมคะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มเศร้า ”สุสานของแม่ผมอยู่บนเกาะนั้น บรรพบุรุษของตระกูลหนานกงล้วนฝังอยู่ที่นั่น ถึงแม้แม่ของผมจะไม่ได้รับความรักจากพ่อ แต่ถึงอย่างไรท่านก็เป็นผู้หญิงที่แต่งเข้าตระกูลหนานกงอย่างถูกต้อง ดังนั้นหลังจากที่ท่านเสียจึงถูกฝังที่นั่น”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มเศร้า ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมานานหลายปี มีหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
หนานกงเยี่ยโอบกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้แน่นๆ ”ไม่ต้องคิดมาก อยากทำอะไรก็ทำต่อไปเถอะครับ ขอเพียงมีผมอยู่ คนในตระกูลหนานกงไม่มีใครกล้าพูดคำว่าไม่” เขาจะตามใจผู้หญิงของเขาให้สุด ตามใจเธอทุกอย่าง ดูสิว่าใครจะทำอะไรได้
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ ”มีสามีที่เก่งมันดีจริงๆ เลยนะคะ!” เธอไม่เคยคิดจะให้อภัยอวี้หลานซี คนที่คิดอยากจะฆ่าเธอตลอดเวลา ทำไมเธอถึงต้องยอมปล่อยไปด้วย
*****
เรื่องที่หนานกงจวิ้นโทรศัพท์มาข่มหนานกงเยี่ย อวี้หลานซีรู้ ดังนั้นเธอจึงเริ่มมีความหวังอีกครั้ง ไม่โมโหคนเดียวในห้องอีกแล้ว ในทางตรงกันข้ามอวี้หลานซีลุกขึ้นมาแต่งหน้าตัวตัว แล้วออกมาเดินด้านนอก
วันนี้ เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หนานกงเยี่ยทำงานอยู่ในห้องหนังสือตลอดทั้งวัน เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้อยู่กับเขา แต่เธอออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังคฤหาสน์ โดยมีสาวใช้คอยดูแล สวนดอกไม้อยู่ใกล้กับสวนมรกตที่สุด นั่งอยู่ในสวนดอกไม้ก็มองเห็นบ้านในสวนมรกต
เวลานี้ อากาศอบอุ่นแล้ว ในสวนดอกไม้มีต้นหญ้าเขียวขจี ต้นไม้เองก็เริ่มผลิใบ ลมพัดผ่านบางเบา อากาศอบอุ่น
เหลิ่งรั่วปิงนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนในสวนดอกไม้ สาวใช้ยกน้ำชามาเสิร์ฟ เธอนั่งจิบชาที่นั่นช้าๆ
อวี้หลานซีเดินออกมาจากสวนมรกต เห็นเหลิ่งรั่วปิงนั่งสบายๆ อยู่ตรงนั้น นัยน์ตาฉายความริษยาออกมาทันที เดินไปหาเหลิ่งรั่วปิง โดยไม่แม้แต่จะคิด
เหลิ่งรั่วปิงมองไม่เห็น สาวใช้ที่อยู่ข้างกายรีบบอกเหลิ่งรั่วปิงทันทีว่าอวี้หลานซีกำลังเดินมา เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เธอเพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
อวี้หลานซีเดินมาใกล้เหลิ่งรั่วปิง แล้วนั่งลงข้างๆ เธอ ยิ้มเย็นยะเยือก ”เหลิ่งรั่วปิง เธอมีความสุขจริงๆ นะ ได้เป็นคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงแค่ไม่กี่วัน หางแทบจะกระดิกขึ้นฟ้าแล้ว”
เหลิ่งรั่วปิงยกมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มของเธอราวกับต้นหลิวในฤดูใบไม้ผลิ ”ฉันจะขึ้นสวรรค์หรือไม่ ฉันก็เป็นคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง ส่วนเธอเพ้อฝันอยากจะได้ตำแหน่งนี้มากว่าสิบปีก็ยังไม่เคยได้ครอบครอง”
เพียงคำเดียวก็พูดแทงใจดำอวี้หลานซี เธอเม้มกัดฟันแน่น ”เหลิ่งรั่วปิง เธอได้ใจอะไรฮะ ท่านหนานกงจวิ้นไม่มีวันยอมรับในตัวเธอ ตำแหน่งคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงอยู่กับเธอได้ไม่นานหรอก รอให้คุณพ่อบุญธรรมกลับมา เธอต้องตายอนาถแน่นอน”
มุมปากเหลิ่งรั่วปิงเผยยิ้มงดงาม ”เหรอ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ก่อนที่จะถึงตอนนั้น ฉันจะทำให้เธอตายอย่างอนาถ ถึงตอนนั้นชีวิตของฉันจะอนาถหรือไม่ เธอคงไม่ได้เห็นมันแล้ว”
อวี้หลานซีหัวเราะในลำคอ ”เธอกล้าทำอะไรฉันเหรอ” แววตาและคำพูดเย้ยหยัน ”ถึงแม้ตอนนี้เยี่ยจะหลงเธอ แต่ฉันเป็นผู้หญิงที่โตมาพร้อมกับเขา เยี่ยไม่มีวันใจร้ายกับฉันหรอก” เชิดคางขึ้นสูง มองด้วยความหยิ่งทระนง ”เธอรู้ไหมว่าสวนมรกตนี้มีความหมายอะไร”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร เธอเงียบราวกับดอกลิลลี่ใต้ลมในฤดูใบไม้ผลิ มุมปากของเธอเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
อวี้หลานซีหัวเราะในลำคอด้วยความโอหัง ”สวนมรกตนี้เป็นที่ที่ฉันกับเยี่ยเติบโตมาด้วยกัน ความทรงจำในวัยเด็กของเราอยู่ที่นี่ เรียนหนังสือ กินข้าว นอนหลับล้วนอยู่ที่นี่ ความทรงจำดีๆ ที่พวกเรามีด้วยกัน เธอไม่มีวันได้ครอบครอง
เหลิ่งรั่วปิงแสยะยิ้ม อวี้หลานซียังคงโอหังเหมือนเดิม ”ตอนเด็กๆ เยี่ยรักฉันมาก เวลาที่ฉันป่วยเขาก็จะป้อนยาให้ฉันด้วยตนเอง ฉันกลัวยาจะขมเยี่ยก็เอาลูกอมให้ฉันกิน ในคืนที่ฝนตกฟ้าคะนองเยี่ยก็จะนอนเป็นเพื่อนฉัน เพราะฉันกลัวเสียงฟ้าร้อง”
“เหลิ่งรั่วปิง เธอมีสิทธิ์อะไรมาแย่งเยี่ยของฉัน ความทรงจำดีๆ ของเราในตอนเด็กล้วนอยู่ที่นี่ ฉันต่างหากที่ควรจะเป็นคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง!”
“สวนมรกตนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด!”