เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 253 ผมโชคดีที่ได้เจอผู้หญิงดีๆ
“สารเลว!” มู่เฉิงอู่กระโดดเตะไปที่ท้องของมู่เฉิงซี ”กล้าเถียงปู่เนี่ยนะ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้มารยาท”
คุณผู้หญิงมู่มองดูลูกชายด้วยความปวดใจ แต่ก็ไม่กล้าตำหนิสามี ทำได้เพียงเดินเข้าไปหาแล้วพูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ”เฉิงซี ลูกอย่าดื้ออีกเลย แม่หนูเวินอี๋คนนั้น ไม่ได้เรียนแม้แต่มหาวิทยาลัย ทั้งยังเป็นเด็กที่เกิดในครอบครัวยากจน จะเทียบกับตระกูลของเราได้ยังไง ไม่เหมือนกับหนูอี่มั่วที่พวกเราเห็นกันมาตั้งแต่เล็ก หน้าตาก็สะสวย ทั้งยังมีรสนิยม มีการศึกษา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเราทั้งสองตระกูลเป็นเพื่อนกัน การแต่งงานนี้ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมาะสม”
มู่เฉิงซีเคยชินกับวิธีการสอนของครอบครัวในรูปแบบนี้แล้ว เขาถูกปู่และพ่อตีตั้งแต่เล็กจนโต ความเหี้ยมโหดของทหารสะท้อนในครอบครัวของเขาอย่างชัดเจน ดังนั้นการที่ถูกพ่อเตะแบบนี้ เขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย มู่เฉิงซีใช้หมวกในมือปัดฝุ่นบนตัวเล็กน้อย ”คนที่จะแต่งงานคือผม เหมาะหรือไม่เหมาะสมผมรู้ดีที่สุด”
“หึ!” มู่กั๋วจงกระแทกไม้เท้าในมืออย่างแรง ”แกมันปีกกล้าขาแข็งแล้ว งานแต่งงานของแกและอี๋มั่วตกลงกันตั้งแต่รุ่นของพวกฉัน แกไม่มีสิทธิ์ขัดค้าน! ถ้าแกไม่แต่งงานกับหนูอี๋มั่ว หลังจากที่ฉันตายไป จะให้ฉันเอาหน้าที่ไหนไปเจอเพื่อนเก่า?!”
สีหน้าโมโหของนายท่านใหญ่ เหมือนอยากจะใช้ไม้เท้าทุบตีคน คุณผู้หญิงมู่เห็นท่าไม่ดีกลัวลูกชายจะถูกตีอีก จึงรีบวิ่งไปจับมือมู่เฉิงซี ”เฉิงซี ลูกอย่าทำให้คุณปู่โมโหเลยนะ งานแต่งงานของลูกกับหนูอี่มั่ว ผู้ใหญ่หมั้นหมายเอาไว้แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หนูอี่มั่วไม่ถือสาที่ลูกจะเลี้ยงผู้หญิงคนอื่นไว้ข้างนอก ขอแค่ลูกตัดขาดกับเวินอี๋ หนูอี่มั่วก็พร้อมแต่งงานกับลูก ลูกอย่าดื้ออีกเลย”
มู่เฉิงซีมองหน้านายท่านใหญ่มู่ด้วยสายตาหนักแน่น ”คุณปู่ครับ ผมไม่มีวันเลิกกับเวินอี๋ เวินอี๋ไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมเลี้ยงเอาไว้นอกบ้าน แต่เธอคือผู้หญิงที่ผมจะแต่งงานด้วย ปู่ตีผมให้ตายเถอะครับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องบีบบังคับผมอีก”
“แก!” แววตาของนายท่านใหญ่มู่เย็นยะเยือก เม้มกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตึงเครียด หน้าอกกระเพื่อมเพราะความโมโห นายท่านใหญ่มู่ลุกขึ้นกะทันหัน ยกไม้เท้าขึ้นจะฟาดลงมา แต่วินาทีที่ง้างไม้เท้าขึ้น กลับหยุดนิ่ง ภาพตรงหน้ามืดสนิท เป็นลมล้มพับลงไป
“พ่อครับ!”
“พ่อคะ!”
มู่เฉิงอู่และคุณผู้หญิงมู่ตกใจจนหน้าถอดสี รีบเข้าไปช่วยพยุงมู่กั๋วจง จากนั้นพานายท่านใหญ่มู่นั่งลงบนโซฟา
มู่เฉิงอู่ ”พ่อครับ พ่อเป็นยังไงบ้าง”
คุณผู้หญิงมู่เองก็ถามด้วยความเป็นห่วง ”พ่อคะ อย่าทำให้พวกเราตกใจสิคะ”
ทว่านายท่านใหญ่มู่กลับไม่อาจพูดโต้ตอบได้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนแก่อายุร้อยปีแล้ว ยิ่งโมโหมากเท่าไรก็ยิ่งไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายมากเท่านั้น เขาในตอนนี้พูดอะไรไม่ออก แม้แต่หายใจก็ยังต้องพยายามหายใจให้คงที่ แววตาโกรธเคืองเด่นชัดแม้ไม่ได้พูดอะไร เขาจ้องไปที่มู่เฉิงซี มือทั้งสองข้างสั่นเทาไม่หยุด
มู่เฉิงซีเองก็ตกใจมาก ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับนายท่านใหญ่มู่ นั่นก็เป็นเพราะเขาทำให้นายท่านใหญ่เครียด เขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
มู่เฉิงซีคุกเข่าลง ”คุณปู่ครับ คุณปู่อย่าโมโหเลยนะครับ”
หลังจากมู่เฉิงอู่ดูแลนายท่านใหญ่ เขาก็ลุกขึ้นด้วยความโมโห เตะมู่เฉิงซีไปหลายที มู่เฉิงซีตัวแข็งทื่อ ยืดตัวตรงคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่ส่งเสียงร้องโอดครวญแม้แต่น้อย
มู่เฉิงอู่เอามือชี้ไปที่หน้าผากของมู่เฉิงซี ”แกพูดมา แกจะตกลงหรือไม่ตกลง”
มู่เฉิงซีเงียบ แต่แผ่นหลังที่เหยียดตรงของเขา บอกกับทุกคนจางๆ ว่า เขาไม่ยอม
นายท่านใหญ่มู่ขึงตาจ้องไปที่มู่เฉิงซี กระแทกไม้เท้าอย่างแรงอีกครั้ง ชี้ไปที่มู่เฉิงซี ”แก…”
ยังไม่ทันพูดจบ นายท่านใหญ่มู่ก็เป็นลมล้มพับไปแล้ว
“พ่อครับ!”
“พ่อคะ!”
มู่เฉิงอู่และคุณผู้หญิงมู่กระวนกระวายทันที ทั้งช่วยกันตีหน้าอกเพื่อให้เลือดลมไหลเวียน และกดร่องปากใต้จมูก แต่ไม่ว่าจะทำยังไงนายท่านใหญ่มู่ก็ไม่ฟื้น
คุณผู้หญิงมู่เป็นกังวลจนเหงื่อแตก ”พ่อบ้าน พ่อบ้าน ตามหมอเร็วเข้า!”
มู่เฉิงอู่ไม่กล้ารอช้า รีบแบกนายท่านใหญ่มู่กลับไปที่ห้อง
มู่เฉิงซีลุกขึ้น ”พ่อครับ ให้ผมทำเถอะครับ”
“ไสหัวออกไป แกคุกเข่าต่อไปแบบนั้นแหละ!” มู่เฉิงอู่เตะมู่เฉิงซีหนึ่งที
“แกเนี่ยนะ!” คุณผู้หญิงมู่มองมู่เฉิงซีอย่างไม่ได้ดั่งใจ แล้วรีบวิ่งตามไป
มู่เฉิงซีกลับไปคุกเข่าที่เดิม อธิษฐานในใจเงียบๆ ขออย่าให้นายท่านใหญ่มู่เป็นอะไร
ใช้เวลาไม่นานหมอก็มาถึง เขาเดินผ่านมู่เฉิงซีตรงขึ้นไปบนชั้นสอง ผ่านไปสักพักหนึ่ง พ่อบ้านเดินลงมาชั้นล่าง ”คุณชายครับ รีบขึ้นไปเถอะครับ นายท่านใหญ่อยากเจอคุณชายครับ”
มู่เฉิงซีเงยหน้าขึ้น ”คุณปู่เป็นยังไงบ้าง”
พ่อบ้านถอนหายใจ ”สุขภาพร่างกายของนายท่านใหญ่ไม่ดีเท่าไหร่ครับ โมโหไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้น…กลัวว่าจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายแล้วครับ”
มู่เฉิงซีเงียบพักหนึ่ง แล้วลุกขึ้น เดินขึ้นไปยังชั้นสอง
มู่กั๋วจงในตอนนี้ นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวอิดโรย ไม่มีความเคร่งขรึมเหี้ยมโหดเหมือนก่อนหน้านี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนแก่อายุร้อยปี ไม่ว่าจะแข็งแรงแค่ไหนก็ดูอ่อนแอ
“คุณปู่ครับ” มู่เฉิงซีคุกเข่าอยู่ตรงข้างเตียงมู่กั๋วจง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย
แววตามู่เฉิงอู่เคลือบไปด้วยความโมโห อยากจะจับมู่เฉิงซีมัดแล้วตีสักครั้ง คุณผู้หญิงมู่ยืนเช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้าง มู่กั๋วจงล้มไม่ได้ เขาเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่คอยปกป้องตระกูลมู่ ถึงแม้เขาจะอายุมากแล้ว และไม่ได้มีอำนาจอะไร แต่ยศพลทหารผู้บุกเบิกประเทศเหมือนตราทองคำ การที่มีมู่กั๋วจงอยู่นั้นจะปกป้องตระกูลมู่ได้
มู่กั๋วจงหันไปมองมู่เฉิงซี ”เฉิงซี ปู่อายุร้อยกว่าปีแล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน สิ่งเดียวที่ปู่ต้องการคือทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเพื่อนร่วมรบ เห็นแกกับอี่มั่วแต่งงาน แกสงเคราะห์ให้ปู่นอนตายตาหลับหน่อยได้ไหม”
มู่เฉิงซีก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา มือที่วางอยู่บนหัวเข่า จับเสื้อผ้าไว้แน่น จนเกิดเป็นรอยยับทั้งสองด้าน
เมื่อเห็นมู่เฉิงซีไม่ยอมพยักหน้าตกลง มู่เฉิงอู่โมโหขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพราะกลัวจะทำให้มู่กั๋วจงโมโหไปด้วย จึงกัดฟันแน่นแล้วพูดเค้นเสียงออกมา ”ไอ้ลูกทรพี แกอยากทำให้ปู่เครียดตายหรือไง”
คุณผู้หญิงมู่คุกเข่าลงด้วยความร้อนใจ ”เฉิงซี แม่ขอร้องล่ะ”
“แม่ครับ!” มู่เฉิงซีรีบพยุงคุณผู้หญิงมู่ขึ้นมา ”แม่อย่าบีบบังคับผมแบบนี้เลย ผมคบกับเวินอี๋มานานแล้ว ผมต้องรับผิดชอบในตัวเธอ”
คุณผู้หญิงมู่ยังคงไม่ลดละ ”ผู้หญิงแบบนั้น คบกับแกก็เพราะเงิน ให้เงินมันนิดหน่อยก็ไล่ไปจากชีวิตได้แล้ว” ในสายตาของคุณผู้หญิงมู่ เวินอี๋เป็นคนจน เป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่หวังสูง อยู่กับมู่เฉิงซีโดยไม่มีสถานะ คนตระกูลมู่พูดเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่ยอมไป เป็นเพราะเสียดายตำแหน่งและเงินทองของมู่เฉิงซีไม่ใช่หรือไง
“แม่ครับ เวินอี๋ไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”
นายท่านใหญ่มู่เห็นสองแม่ลูกคุกเข่าให้กัน จึงจะโมโหอีกครั้ง มู่เฉิงอู่รีบปลอบทันที ”พ่อครับ อย่าโมโหเลยครับ”
คุณผู้หญิงมู่รีบพูดขึ้น ”เฉิงซี ลูกพูดอะไรหน่อยสิ”
มู่เฉิงซีรู้สึกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่กดทับเขาเอาไว้ มองดูคุณปู่ที่หายใจรวยริน มองดูแม่ที่คุกเข่าให้ตน มู่เฉิงซีก้มหน้ายอมรับโชคชะตา ”ครับ แต่ผมขอเวลาหน่อย”
*****
ตอนกลางคืน หนานกงเยี่ยพาเหลิ่งรั่วปิงไปยังไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ มู่เฉิงซีและเวินอี๋ก็อยู่ด้วย
คุณชายทั้งสี่ของเมืองหลงกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถังเฮ่ากลับมาเป็นคนที่คลั่งไคล้เรื่องยา ศึกษาวิจัยยาอยู่ตลอดเวลา เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือหลอดทดลอง มองดูสีของยาเปลี่ยนแปลงด้วยความตั้งใจ
ถึงแม้อวี้ไป่หันจะไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีสาวสวยมานั่งขนาบทั้งสองข้าง แต่กิริยาท่าทางของเขายังมีความเป็นคนกะล่อน
มู่เฉิงซีในวันนี้ไม่ได้พูดคุยหยอกล้อกับเวินอี๋ แต่นั่งเคร่งขรึมอยู่บนโซฟา เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ใบหน้าเย็นชานั้น เคลือบไปด้วยความเศร้า
ทางด้านเวินอี๋เองก็เงียบกว่าทุกครั้ง เธอนั่งข้างมู่เฉิงซี เหมือนต้นหญ้าที่ถูกลืม
เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง อวี้ไป่หันรีบกล่าวทักทาย ”พวกแกมาแล้วเหรอ รีบมานั่งเร็ว”
ความสนใจของเหลิ่งรั่วปิงอยู่บนตัวเวินอี๋ ”เวินอี๋ มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”
เวินอี๋เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งรั่วปิง ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเธอไม่รู้จะพูดอะไรดี วันนี้ตั้งแต่มู่เฉิงซีกลับมาเขาก็เงียบมาโดยตลอด เหมือนมีเรื่องหนักใจ เธอรู้ดี เขาคงถูกที่บ้านบีบบังคับให้แต่งงานอีกแล้วแน่ๆ เธอสงสารเขา แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ เธอเป็นผู้หญิงบอบบาง แต่ก็เป็นผู้หญิงที่หัวดื้อ ในเมื่อเธอเลือกมู่เฉิงซีแล้ว ขอแค่เขาไม่บอกเลิกเธอ เธอก็จะเดินเส้นทางนี้จนจบ
เหลิ่งรั่วปิงรู้จักเวินอี๋เป็นอย่างดี ไม่ถึงขั้นที่ทนไม่ได้ เวินอี๋ไม่มีวันพูดความในใจออกมาแน่นอน ในเมื่อเวินอี๋ไม่พูด เธอก็เค้นถามไม่ได้
อวี้ไป่หันพยายามปรับบรรยากาศให้ดีขึ้น ”นี่ หนานกง ในพวกฉันทั้งสี่คน เคยคิดว่าคนที่ชีวิตนี้ไม่มีทางแต่งงานที่สุดก็คือแก แต่ใครจะไปรู้สุดท้ายกลับเป็นแกที่แต่งงานคนแรก และยังเป็นพ่อคนก่อนด้วย”
หนานกงเยี่ยพูดหยอกล้อเหลิ่งรั่วปิง ”ก็ฉันโชคดี ที่ได้เจอผู้หญิงดีๆ แบบนี้”
“เฮ้อ…” อวี้ไป่หันส่ายหน้า ”ฟังน้ำเสียงเข้า กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่าเมียดุ”
หนานกงเยี่ยยิ้ม ”ไป่หัน ทำไมฟังน้ำเสียงแกแล้วได้กลิ่นหมั่นไส้ เห็นพวกฉันรักกันทำให้นายคิดถึงไซ่หย่าเซวียนใช่ไหม”
อวี้ไป่หันถอนหายใจยาว ”มีวาสนาได้เจอกัน แต่ไร้วาสนาได้รักกัน แล้วฉันจะทำอะไรได้” ยกแก้วไวน์ขึ้นมาด้วยความเกียจคร้าน ”มา ถังเฮ่า พวกเราตกที่นั่งลำบากเหมือนกัน เราสองคนดื่มกันหน่อย”
ถังเฮ่าให้ความร่วมมืออย่างดี วางหลอดทดลองในมือลง ยกแก้วไวน์ขึ้น แล้วชนแก้วกับอวี้ไป่หัน ”วันนี้ดื่มให้เมา ส่วนผู้หญิง ก็ปล่อยให้เธอไปเจอคนอื่นเถอะ!”
มองดูผู้ชายอกหักทั้งสองคน เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก ”พวกนายเอาแต่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง หาเรื่องปวดหัว”
อวี้ไป่หันถอนหายใจ ”รั่วปิงเธอพูดผิดแล้ว ตอนนั้นหนานกงก็หน้าด้านหน้าทน ทุ่มสุดชีวิตเพื่อตามตัวเธอกลับมา ตอนนี้เธอก็มีลูกกับหนานกงแล้วไม่ใช่หรือไง สิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดก็คือตอนนั้นฉันไม่ใจกล้าเหมือนหนานกง”
ถังเฮ่าหัวเราะ ”มีความกล้าแล้วยังไง ผู้หญิงบางคนก็ใจร้ายฉิบหาย แกถวายชีวิตให้เธอ เธอยังไม่สนใจเลย”
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้น เรื่องของความรัก เขาผ่านความเจ็บปวดสุดล้ำลึกมาแล้ว ดังนั้นถึงมีความกล้าที่จะตามล่ามัน ดังนั้นเขาจึงไล่ตามความสุขกลับมาได้ ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันไม่เข้าใจ เพราะพวกเขายังไม่เคยเจ็บปวดถึงขีดสุด
ถามว่าความรักคืออะไร แม้ตายก็ขออยู่ด้วยกัน? สิ่งนี้มีเพียงประสบพบเจอด้วยตนเอง ถึงจะเข้าใจ
ประห้องถูกเปิดกะทันหัน หญิงสาวใบหน้าพระเจ้าประธานเดินเข้ามา สายตาของเธอจับจ้องไปที่มู่เฉิงซี