เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 254 รั่วปิงสั่งสอนซย่าอี่มั่ว
พูดได้ว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก ขาเรียวยาว หน้าตาพระเจ้าประธาน หุ่นเพรียวบาง ดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมง มีความทระนงที่เย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมา โดยเฉพาะตอนที่เธอมองเวินอี๋ ความหยิ่งทระนงของเธอก็เด่นชัดมากยิ่งขึ้น เธอเหมือนดอกโบตั๋นที่สูงศักดิ์ กำลังยิ้มเย้ยต้นหญ้าริมทาง ถึงแม้เธอจะไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ แต่ความดูถูกเย้ยหยันนั้นไม่อาจซ่อนเร้นได้
ผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบใส่กระโปรง แม้ว่าสัดส่วนของเธอจะได้รูป แต่เธอกลับเลือกที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย เข้ากับกางเกงยีนส์ ดูทะมัดทะแมง ขณะที่เธอก้าวเดิน เผยให้เห็นปืนพกสีดำที่เหน็บอยู่ตรงเอว
แม้ว่าเวินอี๋จะบอบบาง แต่เธอเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี เธอเผชิญหน้ากับสายตาดูถูกด้วยความนิ่งเฉย
เหลิ่งรั่วปิงเกลียดผู้หญิงที่เดินเข้ามาตามสัญชาตญาณ คิ้วสวยขมวดเป็นปมอย่างห้ามไม่ได้
การปรากฏตัวของผู้หญิงคนนี้ทำให้ทั้งถังเฮ่าและอวี้ไป่หันตกตะลึง ทว่ามู่เฉิงซีกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่เห็นเธอ เขายังคงนั่งท่าเดิม ไม่แม้แต่จะปรายตามอง
หนานกงเยี่ยเหลือบมองผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าห้อง เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วโอบกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ เขากลัวภรรยาของตนจะโมโห
อวี้ไป่หันยิ้มแห้ง ”ว้าว ซย่าอี่มั่วใช่ไหม ได้ยินว่ากลับมาจากค่ายทหารแล้ว”
“ใช่ ฉันปลดประจำการแล้ว” ซย่าอี่มั่วตอบกลับเสียงเรียบ จากนั้นเดินไปนั่งข้างๆ มู่เฉิงซี ”เฉิงซี ป้ามู่บอกฉันว่าคืนนี้คุณอยู่ที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ ฉันก็เลยมาหาคุณที่นี่”
ท่าทีของซย่าอี่มั่ว คลับคล้ายคลับคลากับอวี้หลานซีในตอนนั้นมาก เธอนั่งอยู่ข้างมู่เฉิงซีเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของ การกระทำของเธอ ทำให้เวินอี๋ดูเหมือนเป็นมือที่สาม
ผู้หญิงสองคน มีผู้ชายคั่นกลาง ภาพนี้ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
มู่เฉิงซีนั่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับ สีหน้าของเขาเย็นยะเยือก มองไม่ออกว่าอารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ถูกต้อง วันนี้เขารับปากคนในครอบครัวแล้วว่าจะแต่งงานกับซย่าอี่มั่ว ดังนั้นการที่เธอมาหาเขาไม่ได้เป็นเรื่องเสียมารยาท
ตอนเด็กๆ เขากับซย่าอี่มั่วเติบโตในค่ายทหาร ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกัน ในตอนหลัง มู่เฉิงซีออกจากค่ายทหารแล้วไปสอบโรงเรียนตำรวจ ทิ้งเธอเป็นทหารหญิงในค่ายทหาร
ซย่าอี่มั่วเป็นผู้หญิงที่ทระนงตนมาก แต่นี่ก็ไม่ถือเป็นข้อเสียอะไร เธอเกิดในครอบครัวที่มีอำนาจและตำแหน่งสูง อยู่เหนือกว่าทุกคนตั้งแต่เกิด การที่เธอทระนงตนก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับซย่าอี่มั่ว เขาบอกไม่ได้ว่าเธอมีข้อดีอะไร และพูดไม่ออกว่าเธอมีข้อเสียตรงไหน แต่วินาทีนี้เขาอยากให้ไม่เคยมีซย่าอี่มั่วคนนี้มาก่อน
ซย่าอี่มั่วดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ แต่เวินอี๋รู้สึกอึดอัดมาก มือทั้งสองข้างของเธอกำหมัดแน่น ความอับอายที่ไร้เสียงแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกแผดเผา
เหลิ่งรั่วปิงที่ฉลาดหลักแหลม ใช้เวลาสังเกตไม่กี่วินาทีก็เข้าใจเรื่องทุกอย่าง ผู้ชายแข็งกระด้างอย่างมู่เฉิงซี ในเมื่อไม่ได้เขาไม่ได้ผลักไสซย่าอี่มั่วออกไป เท่ากับว่าเขายอมอ่อนข้อให้ครอบครัวแล้ว
ฟู่!
ไฟแห่งความโมโห ปะทุขึ้นมาในดวงตาสีนิลของเธอ เปลวเพลิงสีแดงพร้อมจะแผดเผาทุกอย่าง
หน้าของเหลิ่งรั่วปิงเริ่มแดงระเรื่อ เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆ สุดท้ายมู่เฉิงซีจะให้คำตอบแบบนี้กับเวินอี๋ ”มู่เฉิงซี รบกวนช่วยบอกฉันที คุณเรียกผู้หญิงขายบริการมาหาต่อหน้าแฟนสาวแบบนี้มันหมายความว่ายังไงคะ”
คำพูดนี้ดังขึ้น ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันตกตะลึง เหลิ่งรั่วปิงตั้งครรภ์แล้ว แต่ก็ยังปากร้ายเหมือนเดิม!
หนานกงเยี่ยอมยิ้มแล้วมองหน้าด้านข้างของเหลิ่งรั่วปิง เขารู้สึกว่าทำไมภรรยาของเขาถึงเท่แบบนี้ ทำไมถึงน่าหลงใหลแบบนี้! เขารู้สึกอยากป่าวประกาศเธอให้โลกรับรู้
ใบหน้าหยิ่งทระนงของซย่าอี่มั่ว เหมือนถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโมโหทันที ถึงอย่างไรเธอก็เป็นทหาร มีความเคร่งขรึมอยู่ในสายเลือด ”คุณหมายถึงใครคะ”
เมื่อเทียบกับความเผ็ดดุและเย็นชาของซย่าอี่มั่ว เหลิ่งรั่วปิงดูสง่างามและใจกว้างอย่างเห็นได้ชัด เธอคลายยิ้ม รอยยิ้มนั้นสวยเหมือนดอกอวี้หลันต้นฤดูใบไม้ผลิ ”หูย ดุจัง มาขอค่าบริการเหรอ” หันไปมองมู่เฉิงซีด้วยความดูถูก ”ทำไมคะ คุณมู่เฉิงซี คุณออกไปใช้บริการแต่ไม่มีปัญญาจ่ายเหรอคะ พ่อของคุณเข้มงวดถึงขั้นนี้เชียว?”
เสียงของเหลิ่งรั่วปิงหวานใส แต่ทุกพยางค์ที่พูดออกมานั้นไม่รื่นหูแม้แต่น้อย ถ้าเป็นเมื่อก่อน มู่เฉิงซีไม่ยอมถูกทำให้อับอายแบบนี้แน่ แต่ตอนนี้ เขายอมรับมันเงียบๆ ถ้าคนที่ด่าเขาคือเวินอี๋ เขาคงรู้สึกสบายใจมากกว่านี้
ซย่าอี่มั่วไม่เคยโดนดูถูกแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เกิดมา เธอเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจ มีใครบ้างที่ไม่ต้องให้เกียรติเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกกลับกล้าดูถูกเธอแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่
ถึงแม้เรื่องระหว่างหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง จะกลายเป็นข่าวใหญ่ครึกโครม แต่ซย่าอี่มั่วใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารมาโดยตลอด เธอจึงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไร ดังนั้นเธอจึงไม่รู้จักเหลิ่งรั่วปิง แต่เห็นเหลิ่งรั่วปิงนั่งอยู่ข้างหนานกงเยี่ย เธอจึงคิดว่าเหลิ่งรั่วปิงเป็นแค่เด็กของหนานกงเยี่ย
ดังนั้น ซย่าอี่มั่วจึงไม่คิดที่จะให้เกียรติเหลิ่งรั่วปิง ตาต่อตาฟันต่อฟัน เธอลุกขึ้น แล้วคว้าปืนที่อยู่ตรงเอวออกมา
ซ่า!
ซย่าอี่มั่วยังไม่ทันได้ชักปืนออกมา ไวน์แดงหนึ่งแก้วสาดไปที่หน้าของเธอ ของเหลวสีแดงไหลอาบแก้ม เปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด สภาพของเธอในตอนนี้น่าอนาถมาก
“แก!”ซย่าอี่มั่วโมโหมาก เช็ดไวน์ที่เปื้อนบนหน้าทิ้ง แล้วยกมือขวาขึ้น เล็งปืนไปที่เหลิ่งรั่วปิง
แต่ยังไม่ทันได้เหนี่ยวไกปืน มีเสียงแก้วแตกดังขึ้นทำลายความเงียบ แก้วในมือเหลิ่งรั่วปิงฟาดลงไปบนโต๊ะอย่างแรง หลังจากนั้นเศษแก้วที่เหลือก็ทิ่มแทงไปที่มือของซย่าอี่มั่ว พร้อมด้วยเสียงสะอื้นของซย่าอี่มั่ว ปืนพกสีดำหล่นลงบนพื้น วินาทีถัดไป เลือดในมือของเธอหยดติ๋งลงบนปืน
กระบวนการนี้ ราวกับเมฆเคลื่อนตัว คล้ายกับน้ำรินไหล พอดิบพอดีและสมบูรณ์แบบ เหลิ่งรั่วปิงสง่างามราวกับเทพธิดาทั้งเก้าที่กำลังร่ายรำ ทำให้คนคิดไม่ถึงว่าเธอจะทำร้ายคนได้
ซย่าอี่มั่วคิดไม่ถึง เธอที่ฝึกฝนในค่ายทหารมานานหลายปี วันนี้กลับแพ้ให้กับผู้หญิงขายบริการ อีกทั้งยังแพ้ราบคาบ เธอกัดฟันแน่นแล้วดึงเศษแก้วในมือออกมา มองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความโมโห ”นางผู้หญิง…” ชั้นต่ำ!
คำว่าชั้นต่ำยังไม่ทันได้ด่าออกมา ก็เห็นหนานกงเยี่ยลุกขึ้นอย่างสง่างาม กอดเอวเหลิ่งรั่วปิงด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากหยักได้รูปพูดกระซิบข้างหูเธอ ”ที่รักครับ อย่าโมโหเลยนะ เดี๋ยวลูกในท้องจะหงุดหงิดเอาได้”
แววตาและน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความรักใคร่ ทำให้ซย่าอี่มั่วตกตะลึง คนที่ทำร้ายเธอคือภรรยาของหนานกงเยี่ย ต่อให้เธอมีความกล้ามากแค่ไหนก็ไม่กล้าต่อว่าอะไรผู้หญิงคนนั้น
ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันมองหน้ากัน พร้อมกับชนแก้วเหมือนกำลังชมละครฉากใหญ่ ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของตนอย่างไรอย่างนั้น ลอยตัวอยู่เหนือทุกอย่าง
มู่เฉิงซียังคงนั่งท่าเดิม คล้ายกับซย่าอี่มั่วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ดวงตาคมกริบหลุบตาลงเล็กน้อย ดื่มด่ำกับความเศร้าเพียงลำพัง ในที่ที่ทุกคนมองไม่เห็น
เหลิ่งรั่วปิงเชยคางขึ้นเล็กน้อย มองซย่าอี่มั่วอย่างท้าทาย ”ฉันทำไม”
หน้าอกซย่าอี่มั่วกระเพื่อม รู้สึกโกรธแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ตอนที่เธอสบตากับแววตาตักเตือนที่มีแต่ความเย็นชาของหนานกงเยี่ย หัวใจของเธอบีบรัดแน่น ถึงแม้ตระกูลซย่าจะเป็นตระกูลทหารที่มีอำนาจในเมืองหลง แต่ไม่มีใครกล้าทำให้หนานกงเยี่ยไม่พอใจเด็ดขาด
ถึงแม้ซย่าอี่มั่วจะไม่กล้าด่าเหลิ่งรั่วปิง แต่เธอไม่เห็นเวินอี๋อยู่ในสายตา เหยียดยิ้มด้วยความดูถูก ”ผู้หญิงหน้าด้านไร้ยางอายทำร้ายการแต่งงานของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องตอแหลแกล้งทำเป็นคนดี!”
ดวงตาสีดำและขาวคู่สวยของเหลิ่งรั่วปิง แปรเปลี่ยนเป็นความเหี้ยมโหด สายตาเย็นยะเยือกจับจ้องไปที่ซย่าอี่มั่ว ทำให้เธอแทบขาดอากาศหายใจตาย ”คุณซย่า ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจผิดแล้วนะคะ มู่เฉิงซีเป็นฝ่ายตามตื๊อตามจีบเวินอี๋ต่างหาก ฉันเห็นเขาคุกเข่าขอเวินอี๋แต่งงานกับตา แต่คุณซย่าต่างหาก ทำไมถึงหน้าด้านเสนอตัวขนาดนี้คะ แทรกกลางความสัมพันธ์ของคนอื่น ไม่รู้จักคำว่ายางอายเหรอคะ”
ริมฝีปากบางของซย่าอี่มั่วสั่นเทา สีหน้าของเธอซีดขาว ศักดิ์ศรีของเธอแหลกละเอียด ”คุณผู้หญิงหนานกง ฉันกับเฉิงซีเราหมั้นกันตั้งแต่เด็ก ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ใช่คนที่ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น”
“งั้นเหรอคะ” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มราวกับน้ำที่ใสสะอาด ”พูดได้แค่ว่า คู่หมั้นของคุณคนนี้แย่มาก ทั้งที่หมั้นหมายตั้งแต่เด็ก แต่ยังกล้าหลอกผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์ สมควร…ตายจริงๆ!”
คำพูดสองคำสุดท้าย เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันแน่น สิ้นเสียง เศษกระจกบนโต๊ะปลิวออกไปทันที เธอบิดข้อมือเล็กน้อย เศษกระจกพุ่งไปทางมู่เฉิงซี
เศษกระจกแผ่นนี้ เต็มไปด้วยความโกรธและคับแค้นใจของเหลิ่งรั่วปิง บนโลกใบนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามรังแกเวินอี๋เด็ดขาด นี่เป็นขีดความอดทนของเธอ ต่อให้มู่เฉิงซีตายเป็นพันครั้งก็ยังไม่พอ!
ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันตกใจจนอ้าปากกว้าง แต่เหลิ่งรั่วปิงมือไวมาก พวกเขาห้ามไม่ทัน
หนานกงเยี่ยตามใจภรรยาสุดที่รักทุกอย่าง ยอมตายเพื่อภรรยา กอดเอวของเหลิ่งรั่วปิงด้วยความรักใคร่ ดึงตัวเธอให้แนบชิดเขา กลัวว่าเธอจะเหนื่อย
เวินอี๋อ้าปากกว้างด้วยความตกใจ เธอไม่ใช่คนโง่ เธอมองออก มู่เฉิงซียอมอ่อนข้อให้ครอบครัวแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะบอกเลิกเธอ เธอยังคงเป็นห่วงเขา ดังนั้น ตอนที่เห็นเศษกระจกในมือเหลิ่งรั่วปิงพุ่งไปยังมู่เฉิงซี หัวใจของเธอบีบรักด
เฟี้ยว!
มู่เฉิงซีไม่ได้หลบ ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน หน้าของเขามีรอยแผล หลังจากนั้นสามวินาที เลือดค่อยๆ ไหลลงมา แต่เขายังคงนิ่ง เหมือนกำลังพยายามครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
เวินอี๋ปวดใจมาก อยากจะช่วยดูแผลให้เขา แต่กลับถูกเหลิ่งรั่วปิงรั้งเอาไว้ ”เวินอี๋ เขามีคู่หมั้นแล้ว มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ!”
ซย่าอี่มั่วมองเหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋ด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นย่อตัวลง ”เฉิงซี แผลของคุณ…”
“แค่นี้ไม่ตายหรอก!” มู่เฉิงซีที่หน้านิ่งมาโดยตลอดในที่สุดก็เคลื่อนไหวแล้ว เขาปรายตามองแผลที่มือของซย่าอี่มั่ว ”คุณกลับไปทำแผลเถอะ วันนี้ผมไม่อยากเจอคุณ”