เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 258 ได้เวลาบอกลาแล้ว
มู่เฉิงซียืนเงียบ ร่างสูงโปร่งของเขาราวกับกำแพง หันหน้าเข้าหาแสงแดด แววตาของเขาเคล้าไปด้วยความกังวล รอคำตอบของเธอเงียบๆ
เวินอี๋ก้มหน้าลง จับคริสตัลผีเสื้อแน่น ร่างบางที่ถูกโอบล้อมด้วยแสงแดด ราวกับดอกลิลลี่ที่ผ่านความเสียใจ
ความเงียบ ความนิ่งสงบ ราวกับเวลาหยุดเดิน
หลังจากผ่านไปนานแสนนาน ตอนที่แสงแดดหายไป ในที่สุดเวินอี๋ก็หันหลังมา เธอยิ้มแล้วมองมู่เฉิงซี ”ได้เวลาบอกลาแล้วค่ะ คุณมู่เฉิงซี รักษาตัวด้วยนะคะ”
ถูกต้อง คำสัญญาแบบนี้ เธอไม่เชื่ออีกแล้ว ตอนนี้ เขาขอเธอแต่งงาน แต่กลับไม่ยอมมาสู่ขอเธอ ขอเวลาเธอในการโน้มน้าวคนในครอบครัว เธอยอมแล้ว แต่ว่าตอนนี้ เขากลับขอร้องให้เธอทิ้งงานแต่ง ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่เธอยอมในครั้งนี้ เขาจะขอร้องไม่ให้ถือสาที่เขาจะมีลูกกับภรรยา? เธอไม่อยากทำผิดซ้ำซ้อน
มองดูแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป มู่เฉิงซีรีบคว้าแขนของเวินอี๋เอาไว้ ”เวินอี๋ คุณอย่าบีบบังคับผมเลย คุณต้องการตัวผม หรืออยากได้การแต่งงานกันแน่”
เวินอี๋ยิ้มได้เจ็ฐปวด ”ตอนนี้ฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้นค่ะ”
มู่เฉิงซีจับมือเธอแน่น จนข้อมือของเธอแทบหัก ”อดทนแค่นี้เพื่อผมไม่ได้เหรอ ทำไมคุณต้องบีบบังคับผมเหมือนพวกเขา”
เวินอี๋เงียบแล้วแกะมือมู่เฉิงซีออกทีละนิ้ว จากนั้นทั้งสองมือประสานเข้าด้วยกัน ใช้แรง หักคริสตัลผีเสื้อในมือของเธอ เวินอี๋เอาคริสตัลผีเสื้อที่หักวางไว้ในมือมู่เฉิงซี ”ถ้าแก้วที่แตกไปแล้วกลับมาเหมือนเดิมได้ ฉันก็จะยอมอดทนเพื่อคุณอีกสักครั้งค่ะ”
มู่เฉฺงซีมองคริสตัลผีเสื้อในมือ หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง แก้วที่แตกไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ดังนั้นคำตอบที่เธอให้เขาก็คือ เธอไม่ต้องการเขาแล้ว
เวินอี๋ไม่ได้สนใจกระเป๋าเดินทางของเธอแล้ว เธอเดินลงไปชั้นล่างตัวเปล่า เตรียมที่จะออกไป
เพิ่งเดินไปถึงห้องโถงชั้นล่าง เธอก็เจอเข้ากับคุณผู้หญิงมู่ที่เดินเข้ามาด้วยความโมโห คุณผู้หญิงที่แต่งเข้าครอบครัวทหารคนนี้ อายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่ยังคงความสวย จากที่มู่เฉิงซีพูด เขาบอกว่าคุณผู้หญิงมู่คนนี้เป็นโรคหัวใจ แต่มองจากภายนอก เธอร้ายกาจมาก
เวินอี๋เคยเจอคุณผู้หญิงมู่มาก่อน คุณผู้หญิงมู่คนนี้ด่าทอเธอต่อหน้ามู่เฉิงซี หาว่าเธอเป็นผู้หญิงขายตัว
ตอนนี้ เวินอี๋รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เธอไม่จำเป็นต้องทนให้คนตระกูลมู่มารังแกเธออีกต่อไปแล้ว เธอพูดได้อย่างเด็ดขาด ลูกชายของคุณฉันไม่ต้องการฉันแล้ว
เพียะ
ฝ่ามือใหญ่ตบเข้าที่หน้าของเวินอี๋ เกิดเป็นรอยนิ้วห้านิ้วอย่างชัดเจน คุณผู้หญิงมู่ดึงมือกลับด้วยสายตาเยือกเย็น
“แม่ครับ แม่ทำอะไรเนี่ย!” มู่เฉิงซีที่วิ่งลงมาจากชั้นบน กอดเวินอี๋เอาไว้
หน้าอกของคุณผู้หญิงกระเพื่อม ”แม่จะตบผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ ดูสิว่ามันยังจะกล้ายุ่งกับแกไหม”
เวินอี๋ยิ้ม สะบัดมือมู่เฉิงซีทิ้ง มองคุณผู้หญิงมู่ ”คุณผู้หญิงวางใจเถอะค่ะ หนูไม่มีวันยุ่งกับลูกชายของคุณผู้หญิงอีกแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอีกตลอดชีวิต”
พูดจบ เวินอี๋วิ่งออกไปจากวิลล่าของมู่เฉิงซี
“เวินอี๋!”มู่เฉิงซีกำลังจะวิ่งตาม แต่กลับถูกคุณผู้หญิงมู่คว้าข้อมือเอาไว้ ”ห้ามตามผู้หญิงคนนั้นไป เธอไปแบบนี้ทุกอย่างจะได้จบลง”
มู่เฉิงซีร้อนใจเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาแดงก่ำ ”แม่ครับ แม่ปล่อยผมเถอะ ผมรับปาก ผมจะแต่งงานกับซย่าอี่มั่ว แต่ผมไม่มีวันปล่อยเวินอี๋ไป”
“เฉิงซี!” คุณนายมู่โมโหจนหน้าซีดขาว ”ลูกคิดจะให้งานแต่งในนามกับอี่มั่ว ลูกมันสารเลวจริงๆ!”
“แม่ครับ เรื่องอื่นเราค่อยว่ากัน” พูดจบ มู่เฉิงซีไม่สนใจการคัดค้านของคุณนายมู่ รีบวิ่งตามออกไป
เวินอี๋วิ่งออกมานอกวิลล่า น้ำตานองหน้า ความอับอายครั้งนี้ทำให้หัวใจของเธอเหมือนน้ำ มันนิ่งสงบและแน่วแน่ เธอวิ่งไปด้านหน้า เมื่อเห็นรถแท็กซี่ก็รีบขึ้นนั่งทันที
“คุณผู้หญิง ไปไหนครับ?” คนขับแท็กซี่ถาม
ไปที่ไหน จริงด้วย เธอจะไปที่ไหน เธอไม่มีบ้านแล้ว เธอมีญาติแค่คนเดียว ซึ่งก็คือเหลิ่งรั่วปิง
“วิลล่าหย่าเก๋อค่ะ”
*****
วิลล่าหย่าเก๋อในตอนนี้ บรรยากาศอบอุ่นมาก หนานกงเยี่ยเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง เขายังคงตุ๋นน้ำซุปให้เหลิ่งรั่วปิง ทั้งสองนั่งแนบชิดกันบนโต๊ะอาหาร รักใคร่กลมเกลียวหวานชื่นเป็นอย่างมาก หนานกงเยี่ยกินข้าวหนึ่งคำ อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มของเหลิ่งรั่วปิง วันนี้เธอสารภาพรักให้เขาฟังจากใจจริง เขามีความสุขมากจริงๆ หอมแก้มเธอยังไงก็ไม่พอสักที
เหลิ่งรั่วปิงกินซุปไก่ตุ๋น พร้อมทั้งเบ้ปาก ”คุณหยุดหอมแก้มฉันสักทีได้ไหมคะ หอมจนแก้มของฉันเปื้อนหมดแล้ว”
หนานกงเยี่ยยิ้มราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ ”นั่งมองภรรยาแบบนี้ไม่หอมแก้มสิถึงจะเป็นคนโง่ ถ้าหอมจนเปื้อนไปหมดเดี๋ยวผมเช็ดให้คุณเอง หืม”
เหลิ่งรั่วปิงมองค้อนไปที่เขา แล้วก้มหน้าดื่มน้ำซุป ผู้ชายคนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งหน้าหนาขึ้นทุกวัน เธอจนปัญญาแล้วจริงๆ
พ่อบ้านเดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร โค้งตัวลงแล้วพูด ”คุณชายเยี่ย คุณผู้หญิง คุณเวินมาครับ”
“เวินอี๋?” เหลิ่งรั่วปิงวางช้อนลงแล้วรีบเดินออกไปจากห้องรับประทานอาหาร เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องของเวินอี๋มาโดยตลอด เพิ่งเดินเข้าไปถึงห้องรับแขกก็เห็นเวินอี๋นั่งตัวสั่นอยู่บนโซฟา กำลังร้องไห้อย่างเห็นได้ชัด ”เวินอี๋ เป็นอะไรไป”
เวินอี๋หันไปมองเหลิ่งรั่วปิง ใบหน้านวลเนียนของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือหน้าของเธอทั้งแดงและบวม เห็นได้ชัดว่าถูกคนตบตีมา
“พี่รั่วปิง!” เวินอี๋เห็นหน้าพี่สาวคนสนิท น้ำตาก็ยิ่งกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เธอโผเข้ากอดเหลิ่งรั่วปิง แล้วร้องไห้หนักกว่าเดิม
ใจของเหลิ่งรั่วปิงหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เวินอี๋เป็นหนึ่งในญาติที่มีน้อยนิดบนโลกใบนี้ของเธอ เธอทนเห็นเวินอี๋ถูกรังแกไม่ได้เด็ดขาด ”เวินอี๋ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครรังแกเธอ”
เวินอี๋เงียบ ก้มหน้าลงแล้วร้องไห้ไม่หยุด เวินอี๋เป็นคนตัวเล็กร่างบาง เธอที่กำลังร้องไห้แบบนี้ ทำให้ดูน่าสงสารอย่างมาก
เหลิ่งรั่วปิงร้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ เวินอี๋เป็นคนขี้กลัว เธอมักจะเก็บเรื่องทุกอย่างเอาไว้ไม่ยอมพูดออกมา ตอนเด็กๆ เวลาที่โดนลั่วซูเยียงรังแกเวินอี๋เองก็ไม่ยอมพูด แล้วในตอนหลังเธอก็ย้ายเข้าไปอยู่ในสลัม ทำให้เธอยิ่งเก็บเงียบทุกเรื่อง ครั้งนี้คงถูกรังแกอย่างนัก ไม่อย่างนั้นเวินอี๋ไม่มีวันมาหาเธอทั้งน้ำตาแบบนี้แน่นอน
ต้องเกี่ยวข้องกับมู่เฉิงซีแน่ๆ แววตาของเหลิ่งรั่วปิงก่อตัวเป็นน้ำแข็งขึ้นมาทันที กัดฟันกรอดพูดออกมาด้วยความเยือกเย็น ”เป็นเพราะมู่เฉิงซีใช่ไหม”
เวินอี๋พยักหน้า แล้วส่ายหน้าไปมา น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นลงมาราวกับไข่มุก ตกกระจายไปทั่วพื้น หยดลงแหมะ แหมะ เสียงน้ำตาที่หยดลงพื้น เหมือนเปียโนคีย์หนักกำลังเคาะหัวใจของเหลิ่งรั่วปิง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นขึ้นมาทันที ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง
หนานกงเยี่ยเพียงแค่มองแผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิง ก็รู้ว่าเธอโมโหถึงขีดสุดแล้ว จึงเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง ”ที่รักครับ อย่าโมโหเลยนะ หืม” จากนั้นหันไปมองเวินอี๋ ”เวินอี๋ นั่งลงแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟังที อย่าเอาแต่ร้องไห้”
น้ำตาของเวินอี๋ทำให้เขาเจ็บปวด เพราะเขารู้ว่าสำหรับเหลิ่งรั่วปิงน้ำตาเหล่านี้มีความหมายอย่างไร
เวินอี๋เองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เหลิ่งรั่วปิงกำลังตั้งครรภ์ ห้ามโมโหเด็ดขาด เธอเสียใจกับการกระทำบุ่มบ่ามของตน จึงเช็ดน้ำตา แล้วฝืนยิ้ม ”ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ พี่รั่วปิง ฉันแค่คิดถึงพี่มากก็เท่านั้นก็เลยแวะมาเยี่ยมพี่” ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีที่ไป เธอก็ไม่มีวันมาที่นี่ บนโลกใบนี้ เหลิ่งรั่วปิงคือญาติเพียงคนเดียวของเธอ
“เธอเห็นพี่โง่หรือไง” เหลิ่งรั่วปิงสะบัดมือหนานกงเยี่ยทิ้ง น้ำเสียงและแววตาของเธอคมเฉียบ ”เกิดอะไรขึ้นกับหน้าของเธอ ใครเป็นคนตบ”
เวินอี๋ตกใจจนตัวสั่นเพราะเสียงที่หนักแน่นของเหลิ่งรั่วปิง ”เปล่าค่ะ…ฉัน…”
ทำให้เวินอี๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ นอกจากมู่เฉิงซีก็คือมู่เฉิงซี เหลิ่งรั่วปิงโมโหเป็นอย่างมาก คว้ามือเวินอี๋เดินออกไปด้านนอก ”ไปหามู่เฉิงซีกับพี่”
“ไม่ค่ะ พี่รั่วปิง ฉันไม่อยากเจอเขา” เวินอี๋ปฏิเสธไม่ยอมก้าวเดิน
ความอดทนของเหลิ่งรั่วปิงราวกับสปริงที่ถูกบีบอัด เพียงแค่กระทบโดนเล็กน้อยก็พร้อมเด้งตัวออกมา ”ถ้าอย่างนั้นบอกพี่มา หน้าของเธอไปโดนอะไรมา”
เวินอี๋เม้มกัดริมฝีปากล่าง พูดอ้ำอึ้ง ”คุณนายมู่เป็นคนตบค่ะ วันนี้คุณนายพาคนบุกเข้ามาในวิลล่าของมู่เฉิงซี เพื่อที่จะไล่ฉันออกไปจากชีวิตของลูกชาย”
“แม่ของมู่เฉิงซี?” แววตาของเหลิ่งรั่วปิงมีลำแสงเยือกเย็นฉายออกมา ”มู่เฉิงซีตายไปแล้วหรือไง ถึงปล่อยให้แม่ของเขาทำร้ายเธอแบบนี้”
เวินอี๋ก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก ตัวของเธอแข็งทื่อเหมือนกำลังกลั้นความรู้สึกเอาไว้ แม้แต่หายใจก็ยังหายใจอย่างระมัดระวัง
เวินอี๋ไม่อยากพูด ไม่อยากคิดถึง ไม่อยากนึกถึงภาพที่ทำให้เธออับอายอีก
ท่ามกลางความเงียบ ดังก้องไปด้วยเสียงลมหายใจที่เต็มไปด้วยความโมโหของเหลิ่งรั่วปิง รอบตัวของเธอมีรังสีเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมา รังสีนั้นเพียงพอที่จะแช่แข็งทุกอย่าง
เธอจะไปถามมู่เฉิงซีให้รู้เรื่อง!
เสี้ยววินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงใหญ่ของมู่เฉิงซีปรากฎตัวขึ้นที่หน้าห้องรับแขก ความเคร่งขรึมของเขา มีความกังวลและไม่สบายใจปะปนอยู่ด้วย ความกังวลและไม่สบายใจเหล่านั้น ตอนที่เห็นเวินอี๋ มันเบาบางลงบ้างเล็กน้อย
เผชิญหน้ากับสายตาเย็นยะเยือกของเหลิ่งรั่วปิง มู่เฉิงซีหลบเลี่ยงสายตานั้นเล็กน้อย ”ผมมารับเวินอี๋กลับบ้าน”
นัยน์ตาของเหลิ่งรั่วปิงเคลือบไปด้วยความเย้ยหยัน ”บ้าน? บ้านหลังไหน บ้านที่แม่ของคุณตบตีเวินอี๋ตามใจชอบงั้นเหรอ”
มู่เฉิงซีเม้มปาก ผมสั้นที่ชี้ขึ้นมา เหมือนกำลังอดกลั้นเอาไว้ ”นี่เป็นเรื่องของผมกับเวินอี๋ ผมอยากจะจัดการปัญหาของเรากันเอง” ถึงแม้เสียงของเขาจะไม่ดังมาก แต่ทุกคนรับรู้ได้ ตอนนี้เขากำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว
ถึงแม้เขาจะรักและตามใจเวินอี๋มาก แต่เวินอี๋ก็กลัวและเกรงใจเขามาโดยตลอด เขาที่เกิดในครอบครัวทหาร เป็นคนเผด็จการและเด็ดเดี่ยวมาโดยตลอด ไม่ว่าตอนนี้เขาจะอ่อนโยนแค่ไหนก็ลดความน่ากลัวของตนลงไม่ได้ ดังนั้นตอนที่เขามองมา เวินอี๋จึงหลบอยู่หลังเหลิ่งรั่วปิงด้วยความสั่นเทา เธอพูดเสียงสั่น ”ฉันไม่กลับไปกับคุณ คุณจะแต่งงานกับคุณหนูซย่าไม่ใช่หรือไงคะ ถ้าอย่างนั้นก็แต่งกับเธอเถอะ ฉันไม่อยากเป็นเมียเก็บของคุณ”
“นี่เป็นแค่แผนการชั่วคราวเท่านั้น เรากลับไปค่อยว่ากันนะครับ” มู่เฉิงซีพูดแล้วเดินมาคว้ามือเวินอี๋
เหลิ่งรั่วปิงลงมือกะทันหัน ใบมีดแผ่นบางพุ่งไปตรงหน้ามู่เฉิงซี ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่เวินอี๋ เผชิญหน้ากับมีดบินที่พุ่งมากะทันหัน มู่เฉิงซีทำได้เพียงรีบหลบ ใบมีดแผ่นบางผ่านปลายจมูกของเขาไป ปักลึกลงที่ตู้ด้านหลังเขา เห็นได้ชัดว่าเหลิ่งรั่วปิงใช้แรงมากแค่ไหน
บทสนทนาของพวกเขาเมื่อกี้ ทุกอย่างมันชัดเจนมากแล้ว มู่เฉิงซีจะทำตามความต้องการของครอบครัว แต่งงานกับคุณหนูตระกูลซย่า ส่วนเวินอี๋กลับเป็นได้แค่ผู้หญิงที่เขาเลี้ยงไว้ข้างนอก คำตอบนี้ จะไม่ให้เหลิ่งรั่วปิงโมโหได้อย่างไร