เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 259 เสียเธอไปแล้วจะเป็นยังไง
มู่เฉิงซีโมโหเป็นอย่างมาก เส้นเลือดบนหน้าผากปูดนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ”เหลิ่งรั่วปิง คุณอย่ามายุ่งเรื่องของเรา!”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอ ”ในฐานะพี่สาวของเวินอี๋ คุณคิดว่าฉันจะไม่ยุ่งเหรอคะ” แววตาของเธอเคลือบไปด้วยความเย้ยหยัน ”ใครกันที่หน้าด้านหน้าทน ถึงขั้นคุกเข่าขอเวินอี๋แต่งงาน แต่หลังจากขอแต่งงานคุณกลับไม่ยอมแต่งกับเธอ และวันนี้กลับต้องการให้เธอเป็นแค่เมียเก็บ ทั้งยังปล่อยให้แม่ของคุณทำร้ายเวินอี๋ตามอำเภอใจ มู่เฉิงซี คุณมันสมควรตาย!”
ขณะพูด เหลิ่งรั่วปิงยกมือขึ้น จะพุ่งตัวเข้าไปหามู่เฉิงซี
หนานกงเยี่ยตกใจมาก เขารีบคว้าตัวเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ ”ที่รัก คุณอย่าใจร้อน ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน คุณฟังคำอธิบายของเฉิงซีก่อนสิ”
เหลิ่งรั่วปิงสะบัดมือหนานกงเยี่ยทิ้ง ”อธิบาย? มีอะไรให้ต้องอธิบายคะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ปล่อยให้เวินอี๋ถูกรังแกไม่ได้เด็ดขาด!” ภายใต้แววตาเดือดดาลของเธอมีเปลวไฟปะทุขึ้นมา ”มู่เฉิงซี คุณคบกับเวินอี๋โดยไม่มีสถานะมานานขนาดนี้ ทั้งยังต้องถูกคนในครอบครัวของคุณดูถูกและด่าทอ มาวันนี้ยังต้องอับอายถึงขั้นนี้อีก คุณมันไม่ใช่ผู้ชาย และไม่คู่ควรให้เวินอี๋รัก ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ถ้าฉันรู้ว่าคุณมาเจอเวินอี๋อีก คุณได้ลิ้มรสมีดบินของฉันแน่!”
เหลิ่งรั่วปิงจับมือเวินอี๋ เดินขึ้นไปชั้นบน มู่เฉิงซีรีบวิ่งตามไป เขาคว้าข้อมือของเวินอี๋เอาไว้ ”เวินอี๋ คุณฟังผมอธิบายก่อน ที่ผมแต่งงานกับซย่าอี่มั่ว เพื่อรักษาสภาพจิตใจและสุขภาพของปู่กับแม่เท่านั้น ผมไม่มีวันกลายเป็นสามีทางพฤตินัยกับซย่าอี่มั่วแน่นอน ผมรับปาก หลังจากนี้ผมจะไม่ให้แม่มาเข้าใกล้คุณอีก”
หลังจากฟังเขาพูดจบ เวินอี๋ชักมือกลับด้วยความเย็นชา ”มู่เฉิงซี คุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันอยากให้ตัวเองไม่เคยรักคุณมาก่อนจริงๆ”
พูดจบ เวินอี๋วิ่งขึ้นชั้นบนด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า และหายไปจากบันได
“เวินอี๋!” มู่เฉิงซีกำลังจะวิ่งตามไป แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นตบของเหลิ่งรั่วปิง
เพียะ!
เสียงดังฟังชัด เสียงตบดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้ทุกคนที่ได้ยินหัวใจหล่นวูบ
มู่เฉิงซี ฐานะสูงศักด์ ชายชาติทหารที่แข็งแกร่ง เคยถูกแทง เคยถูกยิงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยถูกใครตบหน้ามาก่อน นี่เป็นการหยามเกียรติอย่างแรง
ถึงแม้จะโดนหยามเกียรติ แต่มู่เฉิงซีกลับไม่ได้เดือดดาล เขายืนนิ่ง ”ตอนนี้ ผมขึ้นไปหาเวินอี่ได้หรือยัง”
แววตาเหี้ยมโหดของเหลิ่งรั่วปิงมีลำแสงฉายออกมามากมาย ลำแสงนั้นทะลุเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของมู่เฉิงซี ”ตบนี้ คุณชดใช้ให้เวินอี๋แทนแม่ของคุณ ฉันขอพูดอีกรอบเดียว ไสหัวออกไปซะ!”
มู่เฉิงซีเองก็แข็งกร้าวขึ้นมากะทันหัน ”เหลิ่งรั่วปิง อย่าคิดว่าหนานกงคอยให้ท้ายคุณ แล้วผมจะไม่กล้าทำอะไร คุณหลบไปเดี๋ยวนี้!”
เหลิ่งรั่วปิงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ”ถ้าอย่างนั้นก็แสดงให้ฉันดูสิ ว่าคุณทำอะไรฉันได้บ้าง”
มู่เฉิงซีเห็นเวินอี๋ถูกแม่ของเขาตบด้วยตาตนเอง เขารู้สึกเจ็บปวดมาก พยายามอดกลั้นเอาไว้จนถึงขีดสุด เขาโมโหมาก แต่ก็ทำอะไรแม่ตนเองไม่ได้ ทำได้เพียงให้เวินอี๋อดทน แต่ตอนที่เวินอี๋ยืนกรานที่จะไปจากเขา เขากลัวมาก เขากลัวที่จะเสียเธอไป ดังนั้นเขาจึงรีบตามมา
เวลานี้ เขาอยากจะอธิบายให้เวินอี๋เข้าใจ ให้เวินอี๋รู้ถึงความลำบากใจของเขา เขาทนเห็นปู่กับแม่ต้องตายเพราะตัวเองไม่ได้
เหลิ่งรั่วปิงใจร้อนแบบนี้ มู่เฉิงซีเองก็แทบจะควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว แต่เขารู้ดีว่าแตะต้องเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ อย่าพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้เหลิ่งรั่วปิงกำลังท้อง และไม่ต้องพูดว่าหนานกงเยี่ยรักเธอเท่าชีวิต แค่ความสัมพันธ์ระหว่างเหลิ่งรั่วปิงกับเวินอี๋ ก็ทำให้เขาแตะต้องเธอไม่ได้ ถ้าเขาทำอะไรเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมา เวินอี๋ก็จะยิ่งไม่มีวันให้อภัยเขา
ดังนั้น เขาจึงข่มความเดือดดาลเอาไว้ มู่เฉิงซีเม้มกัดฟันแน่น หันไปมองหนานกงเยี่ย ”หนานกง แกช่วยฉันพูดกับเหลิ่งรั่วปิงที”
หนานกงเยี่ยมองใบหน้าเจ็บปวดของมู่เฉิงซี รู้สึกสงสารเพื่อนมาก ถึงยังไงก็เป็นเพื่อนกันมาหลายปี แต่ภรรยาของตนเป็นอย่างไรเขาก็รู้ดี เวินอี๋เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเหลิ่งรั่วปิง มู่เฉิงซีทำแบบนี้ อย่าว่าแต่เวินอี๋ไม่ตอบตกลงเลย ต่อให้เวินอี๋ตกลง เป็นไปไม่ได้ที่เหลิ่งรั่วปิงจะไม่โมโห สุดท้ายแล้ว เขาสงสารภรรยาตนเอง ไม่อยากให้เธอโมโห
หนานกงเยี่ยมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความระมัดระวัง เธอกำลังชำเลืองมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา เขาเข้าใจสิ่งที่เหลิ่งรั่วปิงต้องการสื่อเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือถ้าคุณกล้าเกลี้ยกล่อมฉันก็ไสหัวไปอยู่กับมู่เฉิงซีซะ ดังนั้น หนานกงเยี่ยจึงยอมแพ้ หันไปพูดกับมู่เฉิงซี ”เฉิงซี แกกลับไปสงบสติอารมณ์ และให้เวินอี๋สงบสติอารมณ์ด้วยดีไหม”
มู่เฉิงซีจะยอมไปได้อย่างไร เขาหัวเราะด้วยความจนปัญญา ”เหลิ่งรั่วปิง ผมกับหนานกงไม่เหมือนกัน ผมทิ้งทุกอย่างเหมือนเขาไม่ได้ แม่เลี้ยงผมด้วยความยากลำบาก ส่วนคุณปู่ก็เป็นต้นไม้แก่ใกล้ตาย ผมทนเห็นตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาตายไม่ได้”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอแล้วมองใบหน้าเย็นชานั้น เธอรู้สึกตลก ”คุณทนทำให้แม่เครียดไม่ได้ ทนทำให้ปู่โมโหไม่ได้ แต่ใจร้ายกับเวินอี๋ได้?” ใบหน้าสวยฉาบด้วยความเย็นยะเยือก ”มู่เฉิงซี ฉันไม่เคยรู้สึกดูถูกคุณมากอย่างตอนนี้มาก่อน ครั้งแรกที่เจอกัน คุณโยนแก้วไวน์มาตรงหน้าฉัน ฉันยังไม่เกลียดคุณขนาดนี้เลย ในเมื่อคุณรักเวินอี๋ไม่ได้ ก็ไปให้พ้นจากชีวิตเธอ!”
พูดจบ เหลิ่งรั่วปิงหมุนตัวหันหลังเดินขึ้นชั้นบน ตอนที่เธอก้าวเหยียบบันไดขั้นแรก หันกลับมามองหนานกงเยี่ย ”คุณหนานกงเยี่ย ฉันจำได้ว่าฉันกินยาคุมตลอด แต่ทำไมฉันถึงยังท้องได้ ฉันคิดว่าคุณน่าจะรู้ดีที่สุด อย่าคิดว่าการที่ฉันไม่พูดแปลว่าฉันไม่รู้”
หนานกงเยี่ยตัวแข็งทื่อ หัวใจบีบรัด เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งรั่วปิง เรือนร่างงดงามนั้น ทำให้เขายิ้มประจบโดยไม่รู้ตัว เขาไม่อยากทะเลาะกับเธอเพราะเรื่องนี้ เขาเพิ่งมีความสุขกับเธอได้ไม่นาน
“ถ้าวันนี้คุณไม่ไล่คนที่ฉันเกลียดออกไปจากบ้าน อย่าคิดว่าฉันจะจบเรื่องนี้ง่ายๆ!” เหลิ่งรั่วปิงพูดทิ้งท้าย แล้วเดินขึ้นบันไดไป วาดองศาโค้งที่งดงาม
หนานกงเยี่ยถอนสายตากลับมา หันไปมองมู่เฉิงซี เลิกคิ้วขึ้นด้วยความละอาย ”แกก็เห็นแล้ว ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ แกกลับไปเถอะ”
มู่เฉิงซีหมุนตัวหันหลัง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นั่งลงบนโซฟา วางปืนพกเอาไว้บนโต๊ะ แล้วสบถหยาบ ”ให้ตายสิ!”
ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลเหมือนกัน หนานกงเยี่ยเข้าใจความรู้สึกของมู่เฉิงซี ระหว่างความรับผิดชอบต่อตระกูลกับความรัก มักจะถูกบีบให้เลือกรับผิดชอบตระกูล เขารักเหลิ่งรั่วปิงมาก อีกทั้งพวกเขายังเคยแยกจากกัน เขาเข้าใจความเจ็บปวดในการสูญเสีย ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อเหลิ่งรั่วปิง ถ้าไม่เคยเจ็บปวดเพราะการจากลา ตอนนี้เขาอาจจะทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอไม่ได้
แน่นอน มู่เฉิงซีลำบากยิ่งกว่าเขา เขาไม่ได้รับความรักจากพ่อตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อแค่คนแปลกหน้าที่เป็นสายเลือดเดียวกันเท่านั้น พ่อไม่ได้รักเขา พ่อเห็นเขาเป็นแค่หุ่นยนตร์ที่รับช่วงต่อเท่านั้น ความรักที่พวกเขามีให้กันบางเบาราวกับปีกจักจั่น ดังนั้นเขาจึงกล้าขัดคำสั่งของหนานกงจวิ้น แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฉิงซีกับแม่แตกต่างกับของหนานกงเยี่ยสุดขั้ว มู่เฉิงซีกับแม่รักกันมาก ตอนที่แม่ของเขาเอาความเป็นความตายมาบีบบังคับ มู่เฉิงซีจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง
หนานกงเยี่ยเดินไปหยิบไวน์พร้อมกับแก้วสองใบ นั่งลงบนโซฟาตรงข้ามมู่เฉิงซี รินไวน์ ”มา ดื่มกันก่อนคนละแก้ว”
มู่เฉิงซีหยิบแก้วขึ้นมา แล้วดื่มหมดในครั้งเดียว จากนั้นวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง ”อีกแก้ว!”
สีหน้าของหนานกงเยี่ยไร้อารมณ์ เขารินไวน์อีกแก้ว ”แกห้ามเมาที่นี่นะเว้ย ไม่อย่างนั้นรั่วปิงด่าตาย”
ไวน์สองแก้วลงไปในท้อง มู่เฉิงซีรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เขาหัวเราะ ”คุณชายหนานกงที่ยิ่งใหญ่ในอดีต มาวันนี้กลับถูกภรรยาดูแลอย่างเข้มงวด น่าตลกจริงๆ”
หนานกงเยี่ยคลายยิ้มบางๆ ”เรื่องแบบนี้ เหมือนคนดื่มน้ำ น้ำเย็นหรือร้อนมีแค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ ฉันรักภรรยาเท่าชีวิต เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี มีคนหัวเราะเยาะฉันที่รักเหลิ่งรั่วปิงเหมือนคนโง่ และมีคนหัวเราะในความบ้าของฉัน แต่มีแค่ตัวฉันเท่านั้นที่รู้ว่า ฉันมีความสุขมากแค่ไหน”
มู่เฉิงซีก้มหน้าลง มองดูของเหลวสีแดงที่หมุนวนไปมาไม่หยุด ดูเหมือนไม่ยี่หระเท่าไร แต่เขาตั้งใจฟังคำพูดของหนานกงเยี่ยอย่างดี
หนานกงเยี่ยจิบไวน์ แล้วพูดต่อ ”ครั้งแรกก่อนที่เหลิ่งรั่วปิงจะไปจากเมืองหลง ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเธอสำคัญเท่าไร ฉันรู้แค่ว่าอยากจะครอบครองเธอเอาไว้ เก็บเธอเอาไว้และต้องการให้เธอรักฉัน แต่ฉันจะรักเธอได้นานแค่ไหน ฉันเองก็ไม่รู้และไม่อยากรู้ด้วย การแต่งงานเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อน”
“แต่หลังจากสูญเสียรั่วปิงไป ในที่สุดฉันก็รู้ว่าเธอสำคัญกับฉันมากแค่ไหน ถ้าไม่มีรั่วปิง ชีวิตของฉันก็ไม่มีความหมาย รู้สึกเหมือนถูกคนพรากหัวใจไป ด้านชาและไร้ความรู้สึก ซึ่งการที่เป็นแบบนี้สู้ตายไปเลยยังจะดีเสียกว่า”
“ดังนั้นฉันจึงรู้แล้วว่ารั่วปิงสำคัญกับฉันมากเท่าไร เธอมีค่ายิ่งกว่าชีวิตของฉัน ฉันต้องการให้เธอเป็นของฉัน ต้องการให้เธอเป็นภรรยาของฉัน และอยากจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ให้กับเธอ สำหรับฉัน ทุกอย่างบนโลกใบนี้เมื่อเทียบกับรั่วปิงแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญทั้งนั้น”
หนานกงเยี่ยเงยหน้าขึ้น มองมู่เฉิงซีด้วยความจริงจัง ”เฉิงซี ตอนนี้นายเครียดไปหมด สู้ลองวางทุกอย่างลง ดูว่าหลังจากที่นายสูญเสียเวินอี๋ไปแล้วจะไปยังไง”
มู่เฉิงซีเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเยี่ย ครุ่นคิดพิจารณา
หนานกงเยี่ยวางแก้วลง ”จากประสบการณ์ของฉันบอกนายได้แค่ว่า การสูญเสียจะทำให้นายเติบโต นายลองลิ้มรสการเสียเวินอี๋ไปดูสิ ถ้าหลังจากที่นายเสียเธอไปแล้ว ไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่นายคิด แต่ยังแต่งงานกับซย่าอี่มั่ว มีลูกกับซย่าอี่มั่ว ใช้ชีวิตกับซย่าอี่มั่วได้ ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำตามสิ่งที่ครอบครัวต้องการซะ แต่งงานกับซย่าอี่มั่ว ไม่ต้องทำให้เวินอี๋เสียเวลาอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้เวินอี๋จะดูบอบบาง แต่เนื้อแท้ของเธอเหมือนเหลิ่งรั่วปิง เธอทระนงและหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก เวินอี๋ไม่มีวันยอมเป็นเมียเก็บแน่นอน แต่ถ้าหลังจากที่แกเสียเธอไป แกรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น ก็ไม่จำเป็นต้องเครียดแล้ว ทำเหมือนฉัน ยืนกรานที่จะแต่งงานกับเธอ”
พูดจบ หนานกงเยี่ยลุกขึ้น ตบไหล่มู่เฉิงซีเป็นการปลอบโยน แล้วเดินขึ้นชั้นบนลำพัง
มู่เฉิงซีนั่งนิ่งอยู่นาน ดื่มแล้วดื่มอีก จนไวน์ที่เหลืออีกครึ่งขวดหมดไป ท้ายที่สุด เขาหัวเราะเศร้ากับแก้ว ”ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองเสียเธอไปก่อน”
เขาวางแก้วลง มองไปที่บันได จากนั้นหมุนตัวหันหลัง แล้วเดินจากไป
หนานกงเยี่ยขึ้นไปชั้นสอง เขาไม่ได้เคาะประตูห้องนอน แต่ตรงไปที่ห้องหนังสือ เขารู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋มีเรื่องต้องพูดคุยกันมากมาย
เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋มีเรื่องต้องคุยกันมากมายจริงๆ นั่งอยู่บนเตียงภายในห้องนอน เวินอี๋ร้องไห้ไม่หยุด ”พี่รั่วปิง ฉันโง่มากใช่ไหมคะ”
เหลิ่งรั่วปิงโอบกอดเวินอี๋เอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ”เธอไม่ได้โง่ เธอแค่เป็นคนดีเกินไป” เหลิ่งรั่วปิงเสียใจมาก ตอนนั้นทำไมเธอถึงไม่หนักแน่นกว่านี้อีกหน่อย คัดค้านไม่ให้เวินอี๋คบกับมู่เฉิงซี
“พี่รั่วปิง ฉันควรทำยังไงดี” เวินอี๋สับสนไปหมด เธอให้มู่เฉิงซีทุกอย่างที่เธอมี คิดว่าทั้งชีวิตนี้เธอจะพึ่งพิงเขาได้ แต่สุดท้ายเธอกลับไม่เหลืออะไร ไปจากเขา แล้วเธอจะไปไหนได้