เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 260 การปล่อยมือจากความรักที่ไม่มีความสุขเป็นเรื่องที่ดี
“เลิกกับมู่เฉิงซี แล้วใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ” เหลิ่งรั่วปิงปลอบโยนเวินอี๋ราวกับเธอเด็กน้อย เหลิ่งรั่วปิงลูบจับผมของเวินอี๋ ”ที่เธอไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่พี่รู้สึกเสียใจมาโดยตลอด ไปเรียนให้จบดีกว่านะ”
ตอนเวินอี๋เรียนจบมัธยมปลาย ผลการเรียนของเธอดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตต้องดิ้นรน เวินอี๋ต้องได้เรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ แน่นอน และคงไม่เป็นเหมือนตอนนี้ ที่ไม่มีงานดีๆ ให้ได้ทำ ถูกคนตระกูลมู่ดูถูกว่าเป็นผู้หญิงขายตัวชั้นต่ำ
สำหรับการเรียนมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่เวินอี๋ใฝ่ฝันอยากจะเรียนมาโดยตลอด เธอดีใจมาก แต่วินาทีต่อมาแววตาของเธอก็เศร้าหมอง ”แต่ว่า ก่อนหน้านี้ฉันเรียนวาดรูป ทั้งยังเคยจัดนิทัศการของตนเอง ทิ้งไปแบบนี้ก็น่าเสียดายนะคะ”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม ”เด็กโง่ ใครบอกว่าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วต้องทิ้งการวาดรูปละ เวินอี๋เลือกเรียนศิลปกรรมก็ได้นี่ ยิ่งได้เรียนตรงสายมากขึ้น ทักษาะการวาดรูปของเธอก็จะยิ่งดีขึ้นด้วย”
เวินอี๋พยักหน้า ”ค่ะ พี่รั่วปิงพูดถูก แต่ว่าเวินอี๋ไม่มีเงิน”
เหลิ่งรั่วปิงดีดหน้าผากเวินอี๋เบาๆ พร้อมกับหัวเราะ ”เด็กโง่ เธอยังมีพี่ไง ตอนนี้พี่เป็นคนที่รวยอันดับต้นๆ ของโลก เธอใช้เงินได้ตามสบาย”
เวินอี๋กะพริบตาปริบๆ รู้สึกซึ้งใจมาก ”พี่รั่วปิง ฉันอิจฉาพี่จังเลยค่ะ คุณหนานกงรักพี่มากจริงๆ”
เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองห้องหนังสือ ถึงแม้จะมีประตูปิดกั้นเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็น แต่เธอคิดภาพตอนที่เขากำลังทำงานได้ ถูกต้อง หนานกงเยี่ยรักเธอมากและเธอก็ไม่เคลือบแคลงสงสัยในความรักของเขาแม้แต่น้อย
“เวินอี๋ ถ้าขืนเธออยู่เมืองหลงต่อ คนตระกูลมู่ต้องไม่วางใจแน่นอน คุณนายมู่ต้องมาหาเรื่องเธออีกแน่ๆ มู่เฉิงซีเองก็กลัวแม่ของเขา คงปกป้องเธอไม่ได้ ตอนนี้พี่เองก็กำลังท้อง ดูแลเธอตลอดเวลาไม่ได้ ดังนั้น เธอไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศเอ้าตูเถอะ พี่มีเพื่อนอยู่ที่นั่น พี่จะขอให้พวกเขาช่วยดูแลเธอ”
เวินอี๋พยักหน้า วินาทีที่มู่เฉิงซีไม่อาจทนแรงกดดันจากครอบครัวได้ วินาทีที่เขาตกลงจะแต่งงานกับซย่าอี่มั่ว วินาทีที่คุณนายมู่บุกเข้ามาในวิลล่าแล้วตบหน้าเธอ เธอก็ตัดใจจากมู่เฉิงซีแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้ มีแค่ความเสียใจ หวังว่าเวลาจะรักษาบาดแผลนี้ได้ ไปจากเมืองหลง เป็นสิ่งที่เธอปรารถนา
เวินอี๋พักอยู่ที่วิลล่าหย่าเก๋อชั่วคราว เหลิ่งรั่วปิงจัดเตรียมห้องที่ดีที่สุดให้กับเธอ นอกจากเวลานอนในตอนกลางคืนแล้ว เหลิ่งรั่วปิงคอยพูดคุยกับเวินอี๋ทั้งวัน เพราะไม่อยากให้เธอเสียใจ
ซึ่งกินเวลาในการอยู่เป็นภรรยาของหนานกงเยี่ยอย่างมาก หนานกงเยี่ยถึงขั้นรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลัง ทำไมวันนั้นเขาถึงพูดเกลี้ยกล่อมให้มู่เฉิงซียอมปล่อยมือด้วย ตอนนั้นเขาควรจะสนับสนุนให้มู่เฉิงซีพาเวินอี๋กลับไป
แต่ ความคิดชั่วร้ายแบบนี้ เขากล้าพูดในใจเท่านั้น เวินอี๋สำคัญกับเหลิ่งรั่วปิงจนคนไม่กล้าไล่ไปไหน การต้อนรับเวินอี๋ไม่ดี เท่ากับทำสงครามกับภรรยาสุดที่รัก เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ดังนั้น เขาทำได้เพียงอดทนเอาไว้ รอวันจัดการเรื่องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศเอ้าตูให้เรียบร้อย
ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงอยากจะอยู่กับเวินอี๋มาก แต่เธอก็อยากจะรีบส่งเวินอี๋ไปเรียนมหาวิทยาลัย เพราะเธอรู้ สำหรับเวินอี๋ การไปจากเมืองหลง เท่ากับไปจากสถานที่แห่งความเจ็บปวด เวินอี๋จะมีความสุขมากขึ้น
ในประเทศเอ้าตู อำนาจของไซ่ตี้จวิ้นมีมากกว่าฉู่เทียนรุ่ย เรื่องเรียนมหาวิทยาลัยของเวินอี๋ ถ้าให้ไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนจัดการก็จะราบรื่นมากกว่า แต่เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ติดต่อไซ่ตี้จวิ้น เธอโทรหาฉู่เทียนรุ่ย สำหรับไซ่ตี้จวิ้น เธอไม่อยากรบกวนชีวิตของเขาอีกแล้ว
ฉู่เทียนรุ่ยดีใจมาก เขาตอบตกลงและจัดการเรื่องนี้ให้ทันที พร้อมทั้งรับประกันว่าจะติดต่อมหาวิทยาลัยด้านศิลปกรรมที่ดีที่สุดในประเทศเอ้าตูให้กับเวินอี๋ อีกทั้งเรื่องทุกอย่างของเวินอี๋ในประเทศเอ้าตู เขาจะเป็นคนดูแลเอง
“ขอบคุณนะคะ เทียนรุ่ย” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยความซึ้งใจ
น้ำเสียงของฉู่เทียนรุ่ยเต็มไปด้วยความดีใจ ”ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก ในเมื่อเวินอี๋เป็นน้องสาวของคุณ เวินอี๋ก็คือน้องสาวของผมเหมือนกัน”
ชะงักไปพักหนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงอดไม่ได้ที่จะถาม ”ไซ่ตี้จวิ้น...เขาสบายดีไหมคะ” เธอรู้สึกผิดมาโดยตลอด เพราะเธอ ซือคงอวี้เกือบจะฆ่าไซ่ตี้จวิ้น
น้ำเสียงของเขาดูผ่อนคลายมาก ”ไซ่ตี้จวิ้นสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง เขาไม่ได้บ้าเรื่องความรักเหมือนหนานกงเยี่ยขนาดนั้น” ฉู่เทียนรุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม ”ได้ยินว่าคุณจะเป็นแม่คนแล้ว ไซ่ตี้จวิ้นดีใจมาก เขาไม่ได้ต้องการครอบครองคนที่รักมากขนาดนั้น สิ่งที่ไซ่ตี้จวิ้นปรารถนาที่สุดก็คือการเห็นคุณมีความสุข”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า น้ำตารื้นขึ้นมา ”ฉันรู้ค่ะ”
เงียบไปพักหนึ่ง ฉู่เทียนรุ่ยพูดขึ้นอีก ”รั่วปิง มีความเป็นไปได้ไหมว่า ฉู่อี้จะออกมาจากวิหารซีหลิงได้”
“!!!” เหลิ่งรั่วปิงสะดุ้งตกใจ ตัวตนของอาเธอร์เปิดเผยแล้ว สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ”คุณรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร”
ฉู่เทียนรุ่ยไม่อยากปิดบัง ”ตอนที่เขามาลอบฆ่าไซ่ตี้จวิ้นที่ประเทศเอ้าตู พวกเราเดาว่าเขาคือคนของวิหาร ดังนั้นก็เลยตามไปที่ซีหลิง แอบสืบเรื่องในวิหารอย่างลับๆ อยากจะหาวิธีช่วยฉู่อี้ ในตอนหลังพอเธอกลับไปซีหลิง พวกเราก็มั่นใจทุกอย่างขึ้นมาทันที”
“ตอนที่ฉันอยู่ซีหลิง พวกคุณก็อยู่ซีหลิง?”
“อื้ม ผมกับไซ่ตี้จวิ้นเห็นคุณขึ้นรถของหนานกงเยี่ย” ฉู่เทียนรุ่ยหยุดเงียบพักหนึ่ง ”รั่วปิง ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เธอทำเพื่อฉู่อี้”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม ”อาเธอร์เป็นเหมือนญาติคนหนึ่งของฉัน คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ”
ฉู่เทียนรุ่ยยิ้ม ”อื้ม ไม่พูดคำว่าขอบคุณแล้ว พวกเราทุกคนเป็นญาติกัน” หลังจากเงียบไปสองวินาที เขาถามขึ้นอีกครั้ง ”ต้องทำยังไงฉู่อี้ถึงจะออกมาจากวิหารซีหลิงได้”
เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจความรู้สึกของฉู่เทียนรุ่ย เขาไม่อยากให้อาเธอร์ถูกคนอื่นควบคุม เขาอยากให้อาเธอร์มีชีวิตที่เป็นอิสระ แต่ว่า เมื่อเข้าไปในวิหาร ก็ไม่มีทางออกมาได้ ”เทียนรุ่ย เขาไม่มีวันออกมาจากวิหารได้หรอกค่ะ คนของวิหาร ซื่อสัตย์กับวิหารตลอดชีวิต เมื่อไรที่หักหลังวิหาร คำตอบเดียวคือความตาย”
ฉู่เทียนรุ่ยเงียบอยู่นาน เขาถอนหายใจ ”ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ถ้าตอนนั้นผมไม่มัวแต่เล่น ไม่อยู่ในสายตาของพ่อแม่ ก็คงไม่ถูกลักพาตัวไปแล้ว ครอบครัวก็ไม่ต้องขายทุกอย่างเพื่อตามหาผม บ้านก็คงไม่แตกสาแหรกขาด ฉู่อี้ก็คงไม่ต้องทำงานรับใช้วิหาร”
“เทียนรุ่ย คุณอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ”
เหลิ่งรั่วปิงเองก็ถอนหายใจ เธอต้องผ่านความยากลำบากมากมาย เพื่ออิสระของตนเอง ถ้าไม่ใช่เพราะซือคงอวี้รักเธอ ไม่รู้ว่าเธอจะตายไปกี่ครั้งแล้ว อาเธอร์ไม่มีสิทธิพิเศษเหมือนเธอ คงต้องอยู่ในวิหารตลอดชีวิต
น้ำตานองหน้า เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองนอกหน้าต่าง นึกถึงอาเธอร์ ตอนที่เธอเข้าไปอยู่วิหารใหม่ๆ ในตอนนั้นเธออายุสิบเจ็ด ส่วนอาเธอร์อายุสิบแปด ตอนนั้นอาเธอร์ได้รับการฝึกฝนในวิหารมานานกว่าหกปีแล้ว เขาเหมือนพี่ชายที่คอยดูแลเธอ ปกป้องเธอ พวกเราสองคนทำภารกิจด้วยกันมากมาย ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน เขากับเธอ สนิทกันยิ่งกว่าญาติสนิท สายสัมพันธ์ที่เชื่อมติดกันนั้นข้นยิ่งกว่าเลือด
อาเธอร์ เป็นญาติที่สลักอยู่ในจิตวิญญาณส่วนลึกของเธอ
เอกสารและขั้นตอนดำเนินการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของเวินอี๋จัดการเสร็จด้วยความรวดเร็ว หนานกงเยี่ยจัดเตรียมเครื่องบินส่วนตัวเพื่อส่งเวินอี๋ไปประเทศเอ้าตู เหลิ่งรั่วปิงยืนยันที่จะไปส่งเวินอี๋ที่สนามบิน หนานกงเยี่ยทำได้เพียงตกลง ก่อนที่เวินอี๋จะออกเดินทาง เขาแอบโทรหามู่เฉิงซี บอกกับมู่เฉิงซีว่าเวินอี๋จะไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศเอ้าตู
มู่เฉิงซีไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น เขาเพียงแค่ตัดสายทิ้ง หนานกงเยี่ยคิดว่ามู่เฉิงซีคงจะไม่มาแล้ว แต่ตอนที่เครื่องบินเคลื่อนตัวออกไป เขาเห็นมู่เฉิงซียืนอยู่ไกลๆ มองไปตามทางที่เครื่องบินบินไป เพราะอยู่ห่างกันมาก จึงมองเห็นหน้าของมู่เฉิงซีไม่ชัดเจน แต่หนานกงเยี่ยรู้ เพื่อนคนนี้ของเขาเสียใจมากแค่ไหน
ตอนที่เครื่องบินหายลับไป เหลิ่งรั่วปิงถอนสายตากลับมา วินาทีที่เธอหันไป เธอเองก็เห็นมู่เฉิงซี เธอไม่ได้รู้สึกสงสารมู่เฉิงซีเหมือนอย่างที่หนานกงเยี่ยรู้สึก ความรู้สึกเดียวของเธอคือเกลียดผู้ชายคนนี้ที่ทำลายความสุขของเวินอี๋ ในเมื่อรักษาสัญญาไม่ได้ ก็ไม่ควรรั้งเอาไว้ตั้งแต่แรก
เวินอี๋ไม่เหมือนกับเธอ เธอทิ้งผู้ชายทุกคนแล้วใช้ชีวิตอิสระ แต่เวินอี๋เป็นผู้หญิงอ่อนโยน และไม่มีความรู้ความสามารถ ที่จะทำลายชีวิตเดิมๆ ของตนได้ เวินอี๋ต้องลำบากมาก นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เธอส่งเวินอี๋เรียนมหาวิทยาลัย เพราะเธอต้องการให้เวินอี๋ยืนได้ด้วยตนเอง
เหลิ่งรั่วปิงมองผ่านมู่เฉิงซีไปด้วยความเย็นชา ”ฉันอยากกลับแล้วค่ะ”
“ครับ” หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิง เดินไปที่ลานจอดรถ แล้วสตาร์ทรถขับออกไป
มู่เฉิงซียืนอยู่นาน เขายืนมองตรงหอคอย ราวกับรูปปั้นแกะสลัก
ระหว่างทางกลับ หนานกงเยี่ยตบมือเหลิ่งรั่วปิงเบาๆ เป็นการปลอบโยน ”อย่าเสียใจเลยนะ สำหรับเวินอี๋ การปล่อยมือจากความรักที่ไม่มีความสุข เพื่อทำตามความฝัน ถือเป็นเรื่องที่ดี”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า ”คุณพูดถูก เลิกกับมู่เฉิงซี เธอจะมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น”
ความรู้สึกหม่นหมองของเหลิ่งรั่วปิงหายไป หนานกงเยี่ยรู้สึกโล่งใจมาก ”ที่รัก เรื่องของเวินอี๋ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พวกเราเริ่มเตรียมงานกันเถอะ ดีไหมครับ”
เหลิ่งรั่วปิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นซบลงบนหัวไหล่ของหนานกงเยี่ย ”ได้ค่ะ ทำตามที่คุณต้องการเลยค่ะ”
ถึงแม้เธอจะไม่อยากจัดงานแต่งอะไรนี่ทั้งนั้น เพราะเธอไม่อยากทำพวกพิธีต่างๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าการจัดงานแต่งทำให้เขามีความสุข เธอยินดีที่จะให้ความร่วมมือ
ชีวิตคู่ ต้องเรียนรู้การทำให้อีกฝ่ายมีความสุข นี่คือสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ หลังจากกลับมาเมืองหลง
หนานกงเยี่ยหอมแก้มเหลิ่งรั่วปิงด้วยความดีใจ ”ครับ ถ้าอย่างนั้นเราไปถ่ายพรีเวดดิ้งกันก่อน ไปถ่ายที่สตูดิโอของอวี้ไป่หัน”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังตั้งใจขับรถ หน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
เหลิ่งรั่วปิงหลับตาลง เธอคลายยิ้มบางๆ รอยยิ้มเคล้าอยู่เต็มดวงตาคู่สวย
ความสุข ทำให้เวลาเดินทาง
ได้ยินว่าหนานกงเยี่ยจะถ่ายพรีเวดดิ้ง อวี้ไป่หันขับรถไปถึงสตูดิโอด้วยตนเอง จัดเตรียมตากล้องที่ดีที่สุดให้หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง และตัวเขาเองก็อยู่ร่วมงานด้วย
หลังจากถ่ายภาพเซ็ทแรกเสร็จ หนานกงเยี่ยกลัวว่าเหลิ่งรั่วปิงที่กำลังตั้งท้องจะเหนื่อย เขาจึงพาเธอไปที่ห้องรับรองเพื่อพักเหนื่อย
อวี้ไป่หันมองทั้งสองที่รักกันหวานชื่นด้วยความอิจฉา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ”เฮ้อ อยากจะหาผู้หญิงสักคนมาแต่งงานด้วยจริงๆ”
หนานกงเยี่ยคลายสายรัดเอวให้เหลิ่งรั่วปิงด้วยความใส่ใจ ยิ้มแล้วหันไปมองอวี้ไป่หัน ”ถ้าอย่างนั้นก็แต่งสิ”
“เฮ้อ!” อวี้ไป่หันถอนหายใจยาว นั่งพิงโซฟา ”จะไปหาผู้หญิงที่ไหนมาแต่งด้วย”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ ”ทำไมล่ะ คุณเป็นคาสโนว่าอันดับหนึ่งของเมืองหลงไม่ใช่เหรอ รู้จักผู้หญิงตั้งมากมาย ไม่มีคนที่เหมาะในการแต่งงานเลยเหรอ”
สีหน้าของอวี้ไป่หันหม่นหมองลงทันที ฉายาคาสโนว่าอันดับหนึ่งของเมืองหลงทำให้เขาเกลียดตัวเองมาก