เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 261 เลิกกันแล้วก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
เมื่อก่อน อวี้ไป่หันไม่เคยรู้สึกว่าการเป็นคาสโนว่ามีข้อเสียอย่างไร การเป็นคาสโนว่ามันเรียบง่าย มีความสุข และรู้สึกด้านชากับทุกอย่าง ทว่าตั้งแต่รู้จักกับไซ่หย่าเซวียน เขากลับรู้สึกว่าตัวเองสกปรก รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับผู้หญิงดีๆ ดังนั้นตอนที่ไซ่หย่าเซวียนเลือกฉู่เทียนรุ่ย เขาจึงไม่ได้รั้งเธอเอาไว้ ไม่ใช่เพราะไม่อยากรั้งเธอ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์
เมื่อก่อน เวลาที่คนอื่นเรียกเขาว่าคาสโนว่าอันดับหนึ่งของเมืองหลง เขามักจะมีความสุข แล้วคลายยิ้ม แต่ตอนนี้พอได้ยินคนเรียกฉายานี้อีก เขากลับรู้สึกระคายหู
เงียบกว่าครึ่งนาที อวี้ไป่หันเอ่ยถามเหลิ่งรั่วปิง ”เธอคนนั้นอยู่ประเทศเอ้าตูมีความสุขดีไหม” แววตาของเขาเคลือบไปด้วยความคิดถึง
คำว่า ”เธอ” ที่อวี้ไป่หันพูดถึง เหลิ่งรั่วปิงรู้ดี เธอยิ้มเล็กน้อย ”เธอสบายดี ไป่หัน อย่าคิดถึงเธอคนนั้นอีกเลย ระหว่างพวกเขาคงเป็นไปไม่ได้ ไซ่หย่าเซวียนรักเทียนรุ่ยมานานสิบกว่าปีแล้ว เธอตามจีบเทียนรุ่ยมาเป็นสิบปี การแต่งงานกับเขาคือความฝันของเธอ ในที่สุดวันนี้เทียนรุ่ยก็รู้หัวใจตัวเอง ยอมรับรักไซ่หย่าเซวียน ไซ่หย่าเซวียนไม่มีวันเหลียวมองผู้ชายคนไหนแน่นอน”
เมื่อก่อน เหลิ่งรั่วปิงไม่เห็นด้วยที่อวี้ไป่หันจะจีบไซ่หย่าเซวียน เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าอวี้ไป่หันกำลังล่าเหยื่ออีกครั้ง แต่หลังจากสังเกตมานาน เธอแน่ใจว่าอวี้ไป่หันรักไซ่หย่าเซวียนจริงๆ ถึงแม้ไซ่หย่าเซวียนจะไม่อยู่เมืองหลง เขาเองก็ไม่ได้เที่ยวผู้หญิง แต่น่าเสียดายการกลับเนื้อกลับตัวของคนไม่ดี ใช่ว่าจะมีเรื่องดีๆ คอยอยู่เสมอไป ไซ่หย่าเซวียนไม่ใช่ของเขา
อวี้ไป่หันถอนหายใจแล้วพยักหน้า เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง เขามองออกไปไกล ราวกับมองไปถึงประเทศเอ้าตู เห็นภาพของผู้หญิงคนนั้น ที่มักจะคอยมาวิ่งเล่นในหัวใจของเขาตลอดทั้งวันทั้งคืน
หลังจากผ่านไปนาน อวี้ไป่หันพูดขึ้นอีกครั้ง ”รั่วปิง ผมขอเบอร์ของไซ่หย่าเซวียนหน่อยได้ไหม”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปหลายวินาที ”ไป่หัน…” เธออยากจะบอกว่าในเมื่อไม่มีวาสนาต่อกันก็อย่าฝืน ไซ่หย่าเซวียนวิ่งตามความสุขของตนมานานกว่าสิบปี กว่าจะคว้าเอาไว้ได้ ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ไปรบกวน
อวี้ไป่หันยิ้มเศร้า ”คุณวางใจเถอะ ผมไม่ไปรบกวนชีวิตของไซ่หย่าเซวียนหรอก ผมแค่อยากได้ยินเสียงของเธอ” ตอนที่ความคิดถึงมันเอ่อล้น แค่ได้ยินเสียงก็ช่วยคลายความคิดถึงได้
เหลิ่งรั่วปิงยังคงลังเล ในเมื่อไม่มีวันลงเอยกันได้ แล้วทำไมต้องคิดถึง สำหรับเธอ ฉู่เทียนรุ่ยคือญาติคนหนึ่ง เธอไม่อยากให้คนอื่นไปทำลายความสุขของเขา
เป็นธรรมดาที่หนานกงเยี่ยจะต้องเข้าข้างเพื่อนตัวเอง อวี้ไป่หันรักไซ่หย่าเซวียนมากแค่ไหน เขารู้ดี ดังนั้นเขาจึงบีบไหล่เหลิ่งรั่วปิงเพื่อช่วยโน้มน้าว ”ที่รัก แค่เบอร์โทรศัพท์เท่านั้น ไป่หันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พูดไม่กี่คำเพื่อคลายความคิดถึงเท่านั้นไม่ได้มีอะไรสักหน่อยครับ หืม”
เหลิ่งรั่วปิงชำเลืองมองหนานกงเยี่ย ริมฝีปากระเรื่อของเธอกระตุกยิ้ม ”ที่รักคะ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ฉันโทรไปถามสารทุกข์สุขดิบไซ่ตี้จวิ้นนะคะ ถึงยังไงเขาก็เคยเป็นอดีตคู่หมั้นของฉัน หืม?”
มือของหนานกงเยี่ยบีบแรงขึ้นกะทันหัน แรงจนเหลิ่งรั่วปิงสูดลมหายใจเข้าด้วยความเจ็บจี๊ด แต่เขายังคงไม่หายโมโห ไม่ทะนุถนอมเธอแม้แต่น้อย เขาก้มหน้าลงแล้วงับแก้มของเธอ แววตาฉายแสงเย็นยะเยือกเพื่อตักเตือน ”ลองโทรดูสิ”
เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก แววตาของเธอชัดเจนมาก เธอกำลังมองคนโง่ เรื่องที่ตัวเองไม่ชอบ แต่กลับยัดเยียดให้คนอื่น แล้วทำไมต้องเอาความโกรธไปลงที่คนอื่นด้วย”
หนานกงเยี่ยเองก็รู้สึกว่าการกระทำของตนย้อนแย้ง เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างเสียหน้า แล้วเปลี่ยนบทสนทนา ”เหนื่อยไหม ถ้าไม่เหนื่อยเราไปถ่ายรูปเซทต่อไป”
เหลิ่งรั่วปิงเองก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร เธอลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นช่างแต่งหน้าก็เข้ามาเติมแป้งให้เธอ เหลิ่งรั่วปิงเป็นผู้หญิงที่สวยมากอยู่แล้ว หลังจากแต่งหน้าแต่งตัวทำให้เธอยิ่งสวยจนสะกดทุกสายตา ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ทำให้เธอดูเหมือนเทพธิดาลงมาจุติ
อวี้ไป่หันพูดขึ้นอีกครั้ง ”รั่วปิง เธอใส่ชุดไหนก็สวยทุกชุดจริงๆ เหมือนนางฟ้าลงมาจุติ สมแล้วที่หนานกงยอมทำอะไรบ้าๆ เพื่อเธอตั้งหลายรอบ ไม่ว่ายังไงก็จะพาเธอกลับมาให้ได้ คุ้มค่าจริงๆ!” ยิ้มด้วยความหลงใหล ”หนานกง แกได้นอนกอดผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ก่อนนอนทุกคืน จุ๊…” ส่ายหน้าร้ายกาจ ”ฉันห่วงว่าไตแกจะเสื่อมตั้งแต่หนุ่มจริงๆ”
“ไสหัวไป!” หนานกงเยี่ยยกเท้าขึ้นเตะอวี้ไป่หัน
เหลิ่งรั่วปิงทั้งเขินและทั้งโมโห โยนกระเป๋าเครื่องสำอางที่อยู่ใกล้ๆ ไปให้อวี้ไป่หันทันที
อวี้ไป่หันเพิ่งหลบลูกเตะของหนานกงเยี่ยได้ ก็ต้องรีบรับกระเป๋าเครื่องสำอางของเหลิ่งรั่วปิง มือไม้พันกันไปหมด เขายิ้มแห้งๆ แล้วก้าวถอยหลัง ”ทำไมทำร้ายฉันทั้งผัวทั้งเมียเลยเนี่ย สมแล้วที่เป็นครอบครัวเดียวกัน”
ถอยไปถึงประตูห้องรับรอง ผู้จัดการของสตูดิโอเดินเข้ามาด้วยความเคารพ ”คุณชายอวี้ครับ ดาบตำรวจมู่และคุณซย่ามาถ่ายพรีเวดดิ้งครับ”
“อะไรนะ” อวี้ไป่หันตกใจมาก รีบหันไปมองหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง ”เดี๋ยวก่อน เฉิงซีคิดจะแต่งงานกับซย่าอี่มั่วจริงๆ เหรอ ทิ้งเวินอี๋แล้วจริงๆ?”
เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันแน่น แววตาของเธอเหี้ยมโหด ”หึ สองสามวันก่อนยังแทบเป็นแทบตาย เวินอี๋เพิ่งไป เขาก็รีบมาถ่ายพรีเวดดิ้งแล้ว คนสารเลว!”
คนสารเลว!
คำด่านี้ดังก้องในหูของหนานกงเยี่ยและอวี้ไป่หัน ฟังดูแล้วไม่ระคายหูจริงๆ พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขารู้ดีว่ามู่เฉิงซีไม่ใช่คนแบบนั้น มีแค่ผู้สืบทอดตระกูลอย่างพวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจความลำบากของมู่เฉิงซี แน่นอน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรมกับเวินอี๋ การที่เหลิ่งรั่วปิงโมโหก็มีเหตุผล
ดังนั้น คนอย่างพวกเขา อย่าคบใครง่ายๆ ถ้าคบใครแล้วก็เตรียมรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้ดี ไม่อย่างนั้น จะทำร้ายทั้งคนอื่นและตัวเอง
หนานกงเยี่ยตบไหล่เหลิ่งรั่วปิงเบาๆ ”อย่าโมโหเลยนะ หืม”
สายตาเยือกเย็นของเหลิ่งรั่วปิงอ่อนโยนลงเล็กน้อย ”ไม่ถ่ายแล้ว!”
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้น ”เหนื่อยแล้วเหรอ”
“เห็นผู้ชายเลวๆ แล้วฉันอึดอัด!” เหลิ่งรั่วปิงพูดทิ้งท้ายเสียงเหี้ยม แล้วเดินไปที่ห้องเปลี่ยนชุด หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เดินออกมา เหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้กลับไปใส่ชุดเดิม พร้อมทั้งล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าแล้ว
หนานกงเยี่ยจนปัญญา ทำได้เพียงตามใจ ”ครับ ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะ”
หนานกงเยี่ยจับมือเหลิ่งรั่วปิง ทั้งสองเดินออกไปจากห้องรับรองพร้อมกัน ตอนที่เดินผ่านโถงใหญ่ เจอเข้ากับมู่เฉิงซีและซย่าอี่มั่วที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของโถงใหญ่พอดี อวี้ไป่หันกำลังพูดคุยกับพวกเขา
มู่เฉิงซีในวันนี้ถอดชุดเครื่องแบบออก เขาใส่ชุดสูทสีดำทำมือ ผมของเขาจัดทรงอย่างดี ดูหล่อมาก เพียงแต่สีหน้าของเขากลับไม่รับแขก ทุกคนที่มาถ่ายพรีเวดดิ้ง ต่างยิ้มแย้มกันทั้งหน้า แต่สีหน้าของเขากลับเย็นชามากกว่าเดิม นั่งอยู่ตรงนั้น เขาเหมือนรูปปั้นแกะสลัก เย็นเฉียบและนิ่งเงียบ
ส่วนซย่าอี่มั่วเหมือนเจ้าสาวทุกคนที่มีความสุข เธอนั่งอยู่ข้างมู่เฉิงซี ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม วันนี้เธอแต่งหน้าสวยมาก สวยราวกับเซรามิกที่ไร้ตำหนิ มือเรียวยาววางอยู่บนเซทภาพถ่าย คอยถามความคิดเห็นของมู่เฉิงซีเป็นพักๆ แต่มู่เฉิงซีกลับตอบอย่างไร้ความรู้สึกทุกครั้ง ”แล้วแต่”
สำหรับความเย็นชาของมู่เฉิงซี ซย่าอี่มั่วไม่สนใจแม้แต่น้อย เธอพูดคุยกับอวี้ไป่หันแล้ว แล้วเลือกเซทภาพถ่าย ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นหนานกงเยี่ยกับเหลิ่งรั่วปิงโดยบังเอิญ แววตาคู่นั้นนิ่งงันพักหนึ่ง จากนั้นก็คลายยิ้ม เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตรงหน้าหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง ”คุณชายเยี่ย คุณผู้หญิงหนานกง พวกคุณมาถ่ายพรีเวดดิ้งเหมือนกันเหรอคะ”
เหลิ่งรั่วปิงหลบตาลงเล็กน้อย ไม่ได้สนใจ ส่วนหนานกงเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย
ซย่าอี่มั่วยังคงยิ้ม แต่แววตาของเธอกลับเคลือบความทระนงเอาไว้ เธอมองเหลิ่งรั่วปิง เหมือนกำลังประกาศชัยชนะของตนเอง ”คุณผู้หญิงหนานกง ฉันกับเฉิงซีจดทะเบียนสมรสกันแล้ว งานแต่งของเราจะจัดขึ้นอีกครึ่งเดือนข้างหน้า ถึงเวลาอย่าลืมมาร่วมงานด้วยนะคะ”
ดวงตาสีนิลของเหลิ่งรั่วปิง มีความเหี้ยมโหดฉายขึ้นมา มู่เฉิงซีเพิ่งเลิกกับเวินอี๋ไม่กี่วัน แต่กลับจดทะเบียนสมรสกับซย่าอี่มั่วแล้ว ทั้งยังรีบจัดงานแต่ง เขามันคนไม่มีหัวใจจริงๆ เธอนึกถึงน้ำตาที่ร้องไห้ออกมามากมายของเวินอี๋ นึกถึงความโดดเดี่ยวและเจ็บปวดตอนขึ้นเครื่องลำพัง หัวใจของเธอถูกกรีดแทง เลือดสีแดงสดรินไหลออกมา ทำให้ความทรงจำทั้งหมดของเธอเจ็บปวด
เงียบอยู่พักใหญ่ เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้น ทว่านัยน์ตาของเธอกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นยียวน ”ยินดีกับคุณซย่าด้วยนะคะ” น้ำเสียงของเธอมีเลศนัย ”ฉันจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับคุณแน่นอน”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจหนาวสั่น ซย่าอี่มัวเคยพ่ายแพ้เหลิ่งรั่วปิง เธอเหมือนนกน้อยที่กลัวธนู ตกใจกับรอยยิ้มของเหลิ่งรั่วปิง สีหน้าของเธอประหม่าขึ้นมาทันที ถ้าสังเกตให้ดี ยังซีดขาวเล็กน้อยอีกด้วย ถ้าหากเหลิ่งรั่วปิงตัวคนเดียว เธอไม่มีวันกลัว เพราะเธอมีตระกูลซย่าคอยหนุนหลัง แต่เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ตัวคนเดียว เธอคือภรรยาของหนานกงเยี่ย เป็นถึงคุณผู้หญิงหนานกง เพียงพอที่จะทำให้เธอกลัวและเกรงใจไปตลอดชีวิต
ดังนั้น ถ้าเธอคิดจะจัดการเหลิ่งรั่วปิงก็ต้องทำให้เหลิ่งรั่วปิงพ้นจากตำแหน่งคุณผู้หญิงหนานกง
หลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงและหนานกงเยี่ยเดินออกไป หัวใจของเธอยังคงเต้นแรง เธอมองแผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิง ดวงตาคู่สวยหรี่เล็ก
หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงเพิ่งเดินออกไปจากสตูดิโอ มู่เฉิงซีวิ่งออกมา ร้องเรียกเหลิ่งรั่วปิง
เหลิ่งรั่วปิงหันหลัง ใบหน้างดงามยังคงมีรอยยิ้ม ”ดาบตำรวจมู่มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
มู่เฉิงซีไม่เคยกลัวเหลิ่งรั่วปิงแบบนี้มาก่อน เพราะความรู้สึกละอาย ”รั่วปิง เวินอี๋…อยู่ที่ประเทศเอ้าตูสบายดีไหม”
“หึๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ ”สบายดีหรือไม่สบายดี เกี่ยวอะไรกับดาบตำรวจมู่คะ อย่าลืมสิ ตอนนี้คุณคือสามีของซย่าอี่มั่ว”
มือทั้งสองข้างของมู่เฉิงซีกำหมัดแน่น คำพูดบางอย่างติดอยู่ที่ปาก แต่กลับพูดไม่ออก ”เงินค่าเรียนของเวินอี๋ ผมเป็นคนจ่ายเอง”
ขณะพูด มู่เฉิงซียื่นบัตรใบหนึ่งไปตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง เหลิ่งรั่วปิงมองด้วยความเย้ยหยัน เธอยังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นจืดจางราวกับแค่ลมพัดผ่านก็ปลิวหายไป ”ดาบตำรวจมู่ ฉันอยากจะบอกอะไรกับคุณหน่อยนะคะ คนเราเลิกกันแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก รวมถึงเรื่องเงินด้วย ตอนนี้เวินอี๋ใช้เงินของผู้ชายคนไหนก็ได้ แต่ไม่มีวันใช้เงินของคุณ”
สีหน้าของมู่เฉิงซีหม่นหมองลงมากขึ้นเรื่อยๆ เวินอี๋ใช้เงินของผู้ชายคนไหนก็ได้ แต่ไม่มีวันใช้เงินของเขา หึ!