เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 264 วิกฤตที่ซ่อนเอาไว้
มองดูแผ่นหลังที่รีบเดินออกไปของถังเฮ่า อวี้ไป่หันพูดพึมพำด้วยความแปลกใจ ”สละโสด? ให้ตายสิ หรือว่ากุหลาบพิษเรียกตัว?”
พูดพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค อวี้ไป่หันรู้สึกไม่มีความหมาย เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดรูปถ่าย ปัดซ้ายปัดขวา รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเสียใจ ตรงกันข้ามกับบรรยากาศงานแต่ง
รูปที่เขาเปิดดู คือรูปข้อมือของเขา ซึ่งมีรอยกัดอย่างเด่นชัด ต้นปีวันนั้น เขาจูบไซ่หย่าเซวียนอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เธอโมโหจึงกัดข้อมือเขา เขาถ่ายรูปเก็บเอาไว้อย่างมีความสุข
แต่วันนี้ เธอเหมือนนกน้อย ที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจของเขา โฉบบินเข้ามาแล้วจากไป โดยไม่ทิ้งอะไรไว้แม้แต่น้อย มีเพียงรูปถ่ายนี้ที่พิสูจน์ได้ว่าเธอเคยเข้ามาในชีวิตของเขา
พบเจอเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่กลับทำให้เขาคิดถึงเธอยาวนาน ด้วยความเจ็บปวด
สละโสด?
เฮ้อ!
เป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก
อวี้ไป่หันยกแก้วไวน์ขึ้นมา แล้วดื่มจนหมด มองดูแก้วเปล่าอย่างเหม่อลอย เขานึกถึงคำพูดของหนานกงเยี่ย
วันนั้นหนานกงเยี่ยบอกว่า ”เพื่อที่จะพาตัวภรรยากลับมาฉันยอมสู้กับยมบาล และฆ่าได้แม้กระทั่งผี ไม่เหมือนใครบางคน กล้ารักแต่ไม่กล้าแย่งชิง มองดูคนที่รักไปกับคนอื่น”
อวี้ไป่หันครุ่นคิดกับคำพูดนี้ ความรู้สึกทุกอย่างถาโถมเข้ามาในใจ ทั้งเผ็ดเปรี้ยวหวานและขื่นขม เป็นอะไรที่ทรมานมาก
หนานกงเยี่ยกล้ารักกล้าแย่ง ดังนั้นเขาจึงได้ครอบครองผู้หญิงที่เขาต้องการ พบเจอกับความรักที่เขาปรารถนา แต่ว่าเขาอวี้ไป่หัน นอกจากหวาดกลัว เจ็บปวดตามลำพัง ยังทำอะไรอีกบ้าง ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น! ตอนที่ไซ่หย่าเซวียนวิ่งไปปาฉู่เทียนรุ่ย เขาก็ปล่อยเธอไปอย่างยอมรับในโชคชะตา
นึกถึงเมื่อตอนนั้น หนานกงเยี่ยขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินไปเมืองเฟิ่งเอาปืนจ่อหัวไซ่ตี้จวิ้น เพื่อแย่งเหลิ่งรั่วปิงกลับมา และในตอนหลังก็สู้กับเจ้าแห่งผู้สอนหลักความเชื่อโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ความพยายามและสู้ของเขา ทำให้ความแค้นระหว่างเขากับเหลิ่งรั่วปิงคลี่คลาย
แต่ตัวเขาเองเล่า ตอนที่พบเจอกับความรัก เขาเอาแต่ลังเล ตอนที่ความรักกำลังจะจากไป เขาเอาแต่กลัวไม่กล้าสู้เพื่อมัน สมควรแล้วที่ต้องคิดถึงเธอด้วยความทรมานแบบนี้ ความกล้าของเขาไม่อาจเทียบเท่านิ้วหัวแม่เท้าของหนานกงเยี่ยได้เลย
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ อวี้ไป่หันกระแทกแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยง
ไซ่หย่าเซวียน คุณรอผมก่อน!
งานแต่งงานของมู่เฉิงซีในวันนี้ ดูหม่นหมองเล็กน้อย เพราะเจ้าบ่าวเอาแต่ทำหน้าบึ้ง ไม่ยิ้มแม้แต่น้อย อีกทั้งเพื่อสนิททั้งสามคนของเขาก็ไม่มาอวยพร เจ้าสาวอย่างซย่าอี่มั่วที่อยู่ภายใต้ความเย็นชาและเพิกเฉยของเขา ดูกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด เผชิญหน้ากับชนชั้นสูงและญาติมิตร เธอทำตัวไม่ถูก
คนที่ดีใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นมู่กั่วจงผู้เป็นปู่ของมู่เฉิงซี คนแก่อายุร้อยปี ใบหน้าแก่ชราผมขาวหงอก เหมือนได้ทำในสิ่งที่ปรารถนามาทั้งชีวิต นั่งยิ้มแย้มอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือไม้เท้าหัวมังกร มองดูแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน เขาก็ยิ่งมีความสุขรู้สึกเหมือนกลับไปยังสนามรบในอดีต หวนนึกถึงปู่ของซย่าอี่มั่วที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับตน ปู่ของซย่าอี่มั่วเคยช่วยชีวิตเขาจากระเบิก ร่วมเป็นร่วมตาย การแต่งงานในวันนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่รู้สึกเสียใจแล้ว
“เฉิงซี พาอี่มั่วไปยกน้ำชาเคารพคุณปู่สิลูก” คุณนายมู่ยิ้มแล้วบอกกับมู่เฉิงซี
มู่เฉิงซีพยักหน้า เดินนำซย่าอี่มั่วไปตรงหน้ามู่กั๋วจง คุกเข่าลงกับพื้น ยกน้ำชาขึ้น ”คุณปู่ครับ ดื่มน้ำชาครับ”
มู่กั๋วจงที่อยู่ในภวังค์ของตนเองดึงสติกลับมา เขายิ้มด้วยความใจดีแล้วรับน้ำชาจากมู่เฉิงซีมาจิบ
ซย่าอี่มั่วยิ้มอย่างมีความสุข ยื่นน้ำชาของตนเองไปด้านหน้า ”คุณปู่คะ ดื่มน้ำชาค่ะ”
“อืม” มู่กั๋วจงพยักหน้า รับน้ำชามาดื่ม ยิ้มราวกับเทพเซียน ”ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ไปเจอกับปู่ของหนูอีกครั้งปู่ก็สบายใจแล้ว ฮ่าๆๆ…”
เพล้ง!
แก้วน้ำชาในมือมู่กั๋วจงหล่นลงพื้น เสียงแก้วแตกดังขึ้น หันกลับไปมองคนแก่อายุร้อยปี ที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม หลับตาลงช้าๆ นั่งพิงบนเก้าอี้ ราวกับนอนหลับไป
เดิมทีใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความชื่นมื่น หน้าถอดสีทันที มู่เฉิงอู่และคุณนายมู่เดินไปด้านหน้า เอามือไปแตะที่จมูกเพื่อดูว่ามู่กั๋วจงยังหายใจอยู่หรือไม่ด้วยความระมัดระวัง ผ่านไปพักหนึ่งดึงมือกลับอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ชายชราที่อยู่มาหนึ่งศตวรรษ จากไปอย่างสงบ
ไม่มีคนร้องไห้ ไม่มีใครโวยวาย เพราะชายชราจากไปอย่างสงบ ไม่มีใครอยากจะทำลายบรรยากาศ
มู่เฉิงอู่น้ำตารินไหลลงมาโดยไม่มีเสียง แบกพ่อของตนเองไว้บนหลัง ขึ้นรถ กลับไปยังวิลล่าตระกูลมู่ คุณนายมู่และมู่เฉิงซีเดินตามหลัง ทางด้านซย่าอี่มั่วราวกับดอกโบตั๋นที่ถูกลืม ไม่มีใครพูดถึงเธอ
งานแต่งนี้น่าเวทนามาก พิธียังไม่ได้เริ่ม ก็ถูกทำลายและแปรเปลี่ยนเป็นพิธีศพ เธอกำหมัดแน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
พิธีแต่งงานของตระกูลมู่กลายเป็นพิธีศพ เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วทั้งเมืองหลงอีกครั้ง กลายเป็นบทสนทนาของผู้คน งานแต่งยังไม่ทันได้ฉลอง ก็ตามด้วยความโศกเศร้าของพิธีศพ ตัวอักษรมงคลในวิลล่าตระกูลมู่ติดประดับไว้เพียงครึ่งวันก็แกะออก แทนที่ด้วยโคมไฟและผ้าขาว
คุกเข่าอยู่ในโถงไว้ทุกข์ ฟังเสียงคร่ำครวญ ซย่าอี่มั่วรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก วันที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ พังไม่เป็นท่า
ทหารชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการชั้นสูงของเมืองหลงต่างมาแสดงความเสียใจ น้อมรำลึกถึงพลทหารผู้บุกเบิกประเทศ
ถังเฮ่าที่เดิมทีจะบินไปซีหลิงจำเป็นต้องกลับมา ส่วนอวี้ไป่หันที่จะบินไปประเทศเอ้าตูจำเป็นต้องระงับแผนการเดินทาง พวกเขาต่างปรากฏตัวในวิลล่าตระกูลมู่
มู่เฉิงซีสวมชุดไว้ทุกข์ ยืนต้อนรับแขกด้านนอกโถงไว้อาลัย ใบหน้าของเขาไม่มีความเศร้ามากมาย และไม่มีสีหน้าอะไรเด่นชัด ใบหน้าของเขานิ่งสงบ ราวกับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตได้เสร็จสิ้นแล้ว ในทางกลับกันเขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถูกต้อง เขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าตนเองจะทำให้คุณปู่โมโหจนเป็นอะไรไป และไม่ต้องถูกด่าทอว่าเป็นคนเนรคุณ
ความเป็นจริงมู่เฉิงอู่และคุณนายมู่ก็ไม่ได้เสียใจมากนัก มู่กั๋วจงจากไปอยางสงบแบบนี้ ทำให้ทุกคนสบายใจมาก ชายชราคนนี้ ชีวิตมีเกียรติ เคยรุ่งโรจน์มาก่อน ทั้งยังดื่มด่ำกับความสุขของชีวิต ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเสียใจ
งานแต่งไม่ไปได้ แต่งานศพจะไม่มาร่วมงานได้อย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรหนานกงเยี่ยก็ต้องไปวิลล่าตระกูลมู่
“ที่รัก คุณไปกับผมเถอะนะ” หนานกงเยี่ยพยายามหารือกับเหลิ่งรั่วปิง เขาไม่วางใจที่จะทิ้งเธอไว้คนเดียว วิธีการและความสามารถของหนานกงจวิ้นเขารู้ดีที่สุด ตอนนี้เธอกำลังท้อง ทำอะไรก็ไม่สะดวก เขาต้องเฝ้าเธอตลอดเวลาถึงจะวางใจ
เหลิ่งรั่วปิงกลับไม่ยอม ”ฉันไม่ไป ฉันไม่ได้รู้จักกับคนในตระกูลมู่สักหน่อย ในทางกลับกันเพราะเรื่องของเวินอี๋ ทำให้ฉันไม่ชอบพวกเขา ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปร่วมงานศพ” เธอแทบอยากจะไม่ต้องเจอหน้ามู่เฉิงซีอีกตลอดชีวิต
หนานกงเยี่ยลำบากใจ ”แต่ว่า คุณอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ผมไม่วางใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ในวิลล่าหย่าเก๋อ ไม่ไปที่ไหน อีกอย่างที่นี่ยังมีบอดี้การ์ดตั้งหลายคน”
หนานกงเยี่ยเกลี้ยกล่อมเธอไม่ได้ จึงทำได้เพียงจำยอม ”ก็ได้ครับ ผมจะรีบไปรีบกลับ ผมให้ก่วนอวี้อยู่ในวิลล่าหย่าเก๋อคอยดูแลคุณแล้วกัน”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า ”ค่ะ”
หลังจากหนานกงเยี่ยออกไป ก่วนอวี้และอวี้หลานซีก็มาถึง
อวี้หลานซีที่จดทะเบียนสมรสกับก่วนอวี้ กลายเป็นภรรยาของก่วนอวี้อย่างเป็นทางการ รอบตัวของอวี้หลานซีมีออร่าแห่งความสุข เธอยังคงสวยสง่า เวลาที่เธอยิ้มยิ่งทำให้คนหวั่นไหว
เข้าไปในวิลล่าหย่าเก๋อ อวี้หลานซีเอาแต่มองท้องของเหลิ่งรั่วปิง แววตาของเธอเคลือบสีสันที่เปี่ยมไปด้วยความหลงใหล ”รั่วปิง เด็กในท้องทั้งสองคนดื้อไหม”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางๆ ”อายุครรภ์แค่สองเดือน เวลาลูกดิ้นยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่” เธอเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าตื่นเต้นของอวี้หลานซี อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ”ถ้าชอบเด็ก เธอกับก่วนอวี้ก็รีบมีสิ”
ใบหน้าที่สดใสของอวี้หลานซีค่อยๆ หม่นหมอง ”แต่ว่าฉันกลัว”
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว ”กลัวอะไร”
อวี้หลานซีถอนหายใจ ”เดิมทีพ่อบุญธรรมสั่งให้ฉันแต่งงานกับเยี่ย แต่ตอนนี้ฉันกลับแต่งงานกับก่วนอวี้ พ่อบุญธรรมต้องโมโหมากแน่ๆ อันที่จริงนิสัยของพ่อบุญธรรมและเยี่ยคล้ายกันมาก พวกเขาไม่ชอบให้คนอื่นขัดคำสั่ง ฉันไม่เชื่อฟังพ่อบุญธรรมแบบนี้ เขาต้องไม่ปล่อยให้ฉันมีความสุขแน่”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ พูดถึงหนานกงจวิ้น เธอยังคงรู้สึกแค้นอยู่ในใจ ”แล้วยังไงล่ะ เขาไม่มีโอกาสมาที่เมืองหลงแล้ว”
อวี้หลานซียิ้มแล้วส่ายหน้า ”ฉันเติบโตในตระกูลหนานกงตั้งแต่เล็ก ฉันรู้ดีว่าพ่อบุญธรรมมีอำนาจมากแค่ไหน ถึงแม้ตัวเขาจะถูกขังไว้บนเกาะ แต่อำนาจของเขากลับกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก เขาคิดจะฆ่าคนๆ หนึ่ง แค่โทรออกคำสั่งก็ทำได้แล้ว” มองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความกังวล ”ไม่อย่างนั้น เยี่ยก็คงไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของเธอมากขนาดนี้”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของอวี้หลานซี ตอนนี้เธอกำลังท้อง ทำอะไรไม่สะดวก หนานกงเยี่ยคอยดูแลเธอตลอดเวลา ต้องพาเธอไปทุกที่ถึงจะวางใจ หนานกงจวิ้นไม่มีวันปล่อยเธอไปง่ายๆ เรื่องนี้เธอรู้มาโดยตลอด
พูดคุยกันพักหนึ่ง โทรศัพท์ของอวี้หลานซีดังขึ้น ตอนที่เธอมองดูเบอร์ที่โทรเข้ามานั้น จู่ๆ เธอก็สั่นเทา หันไปมองเหลิ่งรั่วปิงอย่างไม่รู้จะทำยังไง
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เงยหน้าขึ้นมองอวี้หลานซี ”เป็นอะไรไป”
“พ่อ…พ่อบุญธรรมโทรมา” เสียงของอวี้หลานซีสั่นเทามาก เธอไม่เหมือนกับเหลิ่งรั่วปิง อวี้หลานซีเติบโตในตระกูลหนานกง เธอกลัวหนานกงจวิ้นมาก ดังนั้นจึงกลัวเขาด้วยสัญชาตญาณ
เหลิ่งรั่วปิงนิ่งสงบ กระตุกยิ้มเล็กน้อย ”อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ต้องกลัว รับโทรศัพท์เถอะ”
อวี้หลานซีได้กำลังใจจากเหลิ่งรั่วปิง กดรับสาย ”สวัดสีค่ะพ่อ”
“หึ ยังกล้าเรียกฉันว่าพ่ออีกเหรอ!” เสียงของหนานกงจวิ้นราวกับฟ้าผ่า ”หลานซี เธอทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ!”
อวี้หลานซีราวกับน้ำแข็งแผ่นบาง ”พ่อคะ พ่อ…พ่ออย่าโมโหเลยนะคะ”
เสียงของหนานกงจวิ้นเต็มไปด้วยความโมโห ”จะให้ฉันไม่โมโหได้ยังไง ลูกชายขัดคำสั่ง ลูกชายหักหลัง คิดว่าฉันแก่จนไม่คู่ควรอยู่ในสายตาของพวกเธอแล้วใช่ไหม”
อวี้หลานซีรีบอธิบาย ”ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ พ่อคะ หนูยังคงเคารพพ่อมาก แต่ว่า พ่อก็ต้องคิดถึงความสุขของพวกเราด้วยสิคะ”
หนานกงจวิ้นพูดเสียงเหี้ยม ”เรื่องของเธอฉันค่อยมาจัดการทีหลัง ตอนนี้ เอาโทรศัพท์ให้เหลิ่งรั่วปิง”
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าหนานกงจวิ้นมีเส้นสายและอำนาจมากจริงๆ เธอเพิ่งแยกกับหนานกงเยี่ยไม่นาน เขาก็ฉวยโอกาสนี้โทรมาคุยกับเธอ ดูท่าทุกย่างก้าวของเธอล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา