เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 265 แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไม่หวาน
แต่ว่า เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่อวี้หลานซี เธอเคยเจอเรื่องอันตรายหลากหลายรูปแบบ เคยเจอบุคคลอันตรายมากมาย และยังเคยผ่านความยากลำบากและอันตราย ดังนั้น เธอไม่กลัวหนานกงจวิ้น เหลิ่งรั่วปิงรับโทรศัพท์มาจากอวี้หลานซีด้วยความนิ่งเฉย ”หนานกงจวิ้น คุณรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเงียบสงบเกินไปเหรอคะ”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงจวิ้นหัวเราะราวกับยมบาลจากนรก ”หลายปีที่ผ่านมานี้ชีวิตของฉันเงียบสงบมากจริงๆ เงียบสงบจนฉันแทบบ้า ดังนั้นตอนนี้ฉันอยากให้มีคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา”
เสียงทุ้มต่ำของหนานกงจวิ้นเคล้าไปด้วยความอันตรายและเยือกเย็น ”เหลิ่งรั่วปิง เมื่อก่อน ฉันอยากจะไว้ชีวิตเธอ เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นลูกสาวของมู่อวี่ ฉันเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ แต่ว่าตอนนี้ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะฆ่าเธอ เพราะการมีชีวิตอยู่ของเธอ เป็นภัยพิบัติของตระกูลหนานกง”
“ในอดีตแม่ของเธอทำลายความรักที่ฉันมีให้ ตอนนี้เธอทำลายความสัมพันธ์ของฉันกับลูกชาย ฉันไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่”
ดวงตาคู่สวยหรี่เล็กลง ”ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าคุณมีปัญญาทำอะไรฉันได้ไหม”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงจวิ้นหัวเราะราวกับปีศาจชั่วร้าย ”ไม่ต้องคิดว่าเยี่ยส่งคนมาขังฉันไว้บนเกาะ แล้วฉันจะทำอะไรเธอไม่ได้ ต่อจากนี้ เธอรอไปเถอะ ฉันจะทำให้เธอเสียใจกับทุกอย่างที่เธอทำในวันนี้”
ไม่รอให้เหลิ่งรั่วปิงพูดอะไรมาก หนานกงจวิ้นตัดสาย แต่ความหม่นหมองที่เขานำมานั้นได้แทรกซึมไปทั่วห้อง แต่เหลิ่งรั่วปิงยังคงใจเย็น เธอยังคงยืนยันคำเดิม เธอเคยผ่านเรื่องลำบากมามากมาย ไม่ตกใจอะไรง่ายๆ
เทียบกับเหลิ่งรั่วปิง อวี้หลานซีดูหวาดกลัวมาก ”ทำยังไงดี รั่วปิง?”
เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจความกลัวของอวี้หลานซี ความกลัวนี้เป็นปฏิกิริยาของสัญชาตญาณที่ก่อตัวมานาน เป็นความกลัวเหมือนอย่างที่เธอกลัวซือคงอวี้ ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงจึงยิ้มปลอบโยน ”ไม่ต้องกลัว ยังไงก็ต้องมีหนทาง”
ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะปลอบโยนด้วยความจริงใจ แต่อวี้หลานซียังคงหวาดกลัวมาก เธอรีบวิ่งลงไปหาก่วนอวี้ชั้นล่าง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
ก่วนอวี้เองก็นิ่งสงบ ”ไม่ต้องกังวลครับ คุณชายเยี่ยต้องมีวิธีรับมือแน่นอนครับ”
หนานกงเยี่ยรีบไป แล้วรีบกลับมา ตอนนี้เขาเป็นห่วงภรรยาและลูกของตนตลอดเวลา เมื่อเขากลับมาถึง อวี้หลานซีก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟังอีกรอบ
หนานกงเยี่ยเงียบ แต่แววตาของเขาฉายความเหี้ยมโหด สิ่งเดียวที่ทำให้เขาปวดหัว ก็คือผู้ชายคนนั้นเป็นพ่อของตน เขาฆ่าพ่อของตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้น หนานกงจวิ้นตายไปนานแล้ว
“เยี่ย ทำยังไงดีคะ พ่อต้องลงมือแล้วแน่ๆ” อวี้หลานซีเป็นกังวลมาก
หนานกงเยี่ยยิ้มบางๆ ”ไม่เป็นไร คุณเป็นลูกบุญธรรมของเขา ส่งผลต่อชื่อเสียงของตระกูลหนานกง เขาไม่มีวันทำอะไรคุณ คุณวางใจได้”
อวี้หลานซี ”ฉันไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง ฉันเป็นห่วงรั่วปิง กว่าพวกคุณจะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น”
หนานกงเยี่ย ”ถึงแม้เขาจะมีอำนาจในเมืองหลง แต่เมื่อเทียบกับผมแล้วยังอีกไกล เขาไม่มีโอกาสทำอะไรได้แน่” เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่อยู่ห่างเหลิ่งรั่วปิงแม้แต่ครึ่งก้าว
*****
งานศพของตระกูลมู่จัดขึ้นติดต่อกันสามวัน แล้วปลดม่านขาว
มู่เฉิงซีย้ายไปอยู่ที่วิลล่ามู่หวาของตน แล้วทิ้งซย่าอี่มั่วเอาไว้ในคฤหาสน์ตระกูลมู่
สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน ยังไม่ทันได้เข้าห้องหอก็แยกกันอยู่แล้ว สิ่งนี้ทำให้ซย่าอี่มั่วโมโหมาก เธอบุกไปถึงวิลล่ามู่หวา ”เฉิงซี พวกเราเพิ่งแต่งงานกันนะคะ งานแต่งยังไม่ทันจบ ครอบครัวของคุณก็จัดงานศพ ฉันยังต้องใส่ชุดไว้ทุกข์ ฉันต้องทนขนาดนี้ แต่คุณกลับไม่ยอมยอมรับฉัน ทิ้งฉันเอาไว้ที่คฤหาสน์ ส่วนตัวเองย้ายมาอยู่ที่นี่ คุณจะให้ฉันเอาหน้าไปไวที่ไหน”
มู่เฉิงซีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความเย็นชา มองซย่าอี่มั่วที่กำลังเกรี้ยวกราด ”ซย่าอี่มั่ว ผมเคยบอกคุณแล้ว คุณอาศัยแรงกดดันของคุณปู่ บีบให้ผมแต่งงานกับคุณ ถ้าอย่างนั้นคุณก็นอนเตียงเปล่าไปคนเดียวทั้งชีวิตเถอะ”
ซย่าอี่มั่วส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา ”ใช่ค่ะ ฉันยอมรับว่าฉันใช้คุณปู่เป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับคุณ แต่นั่นก็เป็นเพราะฉันรักคุณ เวินอี๋ไปจากชีวิตคุณแล้ว คุณจะใช้ชีวิตแบบนี้กับฉันตลอดไปหรือไงคะ”
พูดถึงเวินอี๋ มู่เฉิงซีเงียบ แววตาของเขามองไปไกล ความคิดถึงของเขาล่องลอยไปยังประเทศเอ้าตู เขากำลังคิดว่าตอนนี้เวินอี๋กำลังทำอะไร อยู่กับใคร จะเจอผู้ชายที่ทำให้เธอหวั่นไหวหรือไง เวินอี๋เกลียดเขาเข้ากระดูกแล้วใช่ไหม
คิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทั่วทุกอณูขุมขนของเขาเจ็บปวด
เห็นมู่เฉิงซีเงียบ ซย่าอี่มั่วคิดว่าคำพูดของตนทำให้เขาหวั่นไหว ดังนั้นจึงนั่งลงข้างเขาด้วยความใจกล้า ”เฉิงซี ฉันรักคุณมากนะคะ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันรักนวลสงวนตัวเอาไว้เพื่อคุณ ตอนนี้ฉันคือภรรยาของคุณแล้วนะคะ”
เสียงเย็นเฉียบไร้อุณหภูมิ ”ซย่าอี่มั่ว อย่าทำให้ผมต้องดูถูกคุณ”
ซย่าอี่มั่วโมโห ”ทำไมคุณต้องดูถูกฉันด้วย ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ!”
มู่เฉิงซีมองซย่าอี่มั่วด้วยความเย้ยหยัน ”ภรรยา? ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าคุณดึงดันที่จะแต่งงาน คุณจะได้แค่การแต่งงานในนามเท่านั้น คุณรนหาที่เอง”
ซย่าอี่มั่วรู้ว่าเธอไม่มีเหตุผลมากพอ ดังนั้นจึงพูดเสียงอ่อน ”เฉิงซี ฉันรู้ว่าคุณลืมเวินอี๋ไม่ได้ง่ายๆ ฉันจะไม่บังคับคุณ แต่คุณลองมองมาที่ฉันสิคะ ฉันสวยมากขนาดนี้ ทั้งยังเป็นภรรยาที่ถูกต้อง คุณทำใจยอมให้ฉันเฝ้าเตียงนอนที่ว่างเปล่าคนเดียวได้จริงๆ เหรอคะ”
ขณะพูด ซย่าอี่มั่วถอดเสื้อตัวนอกของเธอลง เผยให้เห็นไหล่นวลเนียน มองมู่เฉิงซีด้วยแววตาอ่อนโยนและปรารถนา
มู่เฉิงซีย้ายไปนั่งบนโซฟาอีกตัวด้วยความเย็นชา หลับตาลงด้วยความรังเกียจ ”ออกไป ผมไม่อยากเห็นคุณที่นี่อีก”
ที่นี่เป็นบ้านของเขาและเวินอี๋ เขาไม่อยากให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำให้แปดเปื้อน หนานกงเยี่ยบอกให้เขาลองปล่อยเวินอี๋ไป ดูว่าถ้าไม่มีเวินอี๋ เขาจะเป็นอย่างไร เขาลองแล้ว ไม่มีเวินอี๋ เขาเหมือนคนที่วิญญาณหล่นหลาย กินอาหารไม่รู้รส นอนไม่หลับ หัวใจว่างเปล่า เหมือนเรือน้อยที่ล่องลอยไร้จุดหมาย
ซย่าอี่มั่วสวยมาก สวยจนทำให้ผู้ชายทั้งโลกหวั่นไหว แต่เขากลับคร้านที่จะมอง ภาพในหัวของเขามีแต่เวินอี๋ บ้านหลังนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเธอ มันพรั่งพรูออกมาเต็มความทรงจำของเขา
ซย่าอี่มั่วทำถึงขั้นนี้ ยังทำให้ผู้ชายหวั่นไหวไม่ได้ เธอทั้งอายและโมโห จึงรีบใส่เสื้อผ้า กระทืบเท้า คว้าปืนออกมา จ่อไปที่หัวของตนเอง ”มู่เฉิง คุณอยากเห็นฉันตายใช่ไหม”
มู่เฉิงซีลืมตาขึ้นด้วยความเย็นชา ดวงตาคู่นั้นของซย่าอี่มั่วแดงก่ำ ”คุณตายหรือไม่ตายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผมทั้งนั้น แต่ถ้าคุณอยากตาย เชิญไปตายไกลๆ หน่อย อย่ามาตายในบ้านของผม!”
พูดจบ มู่เฉิงซีลุกขึ้น บอกกับพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง ”ลากตัวเธอออกไป”
“?” พ่อบ้านเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง คุณชายมู่ให้ลากตัวคุณผู้หญิงมู่ออกไป เรื่องนี้ลำบากใจเล็กน้อย แต่คำสั่งของเจ้านาย เขาจึงต้องจำยอม ”คุณผู้หญิงครับ เชิญครับ”
มองแผ่นหลังของมู่เฉิงซีที่หายไปจากบันได ซย่าอี่มั่วเก็บปืนด้วยความโมโห หมุนตัวหันหลังเดินออกไป เดินไปถึงทางเดินแล้วหมุนตัวหันหลังด้วยความโมโห พร้อมกับยิงปืนติดต่อกันสองนัด
ปัง!ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นสองนัด กระถางดอกไม้สองต้นหล่นลงพื้น
พ่อบ้านตกใจจนตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าควรจะรับมือยังไง มู่เฉิงซีวิ่งลงมาจากชั้นบน มองดูกระถางดอกไม้ที่อยู่บนพื้น เขาโมโหขึ้นมากะทันหัน คว้าปืนที่เหน็บตรงเอวออกมา เล็งไปที่ซย่าอี่มั่วแล้วยิง
รูม่านตาของซย่าอี่มั่วหดเล็ก โชคดีที่เธอเป็นทหาร ทำให้พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ตอนที่มู่เฉิงซีคว้าปืนออกมา เธอรีบหลบอย่างรวดเร็ว ทำให้หลบกระสุนของมู่เฉิงซีได้ทัน
มู่เฉิงซีอยากจะยิงปืนอีกครั้ง แต่พ่อบ้านรีบห้ามเอาไว้ ”คุณชายมู่ครับ ใจเย็นก่อนนะครับ!”
นิ้วมือของมู่เฉิงซีถูไกปืน พยายามข่มความโกรธเอาไว้ แผงอกกระเพื่อมอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำ พูดลอดไรฟัน ”ไสหัวไป!”
ซย่าอี่มั่วตกใจมาก มู่เฉิงซีตอนโมโหน่ากลัวกว่าตอนปกติมาก เขาเหมือนปีศาจ ดังนั้นตอนที่เขาร้องตะโกนคำว่า ”ไสหัวไป” เธอไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปจากวิลล่า น้ำตานองหน้า
เธอเป็นคุณหนูตระกูลซย่า ตั้งแต่เล็กจนโตพูดหนึ่งไม่เป็นสอง ได้รับความรักมากมาย แต่วันนี้ เธอกลับถูกสามีของตนเองปฏิบัติอย่างไร้เยื่อใย ในใจของเขาต้องทนแบกรับอย่างถึงที่สุด ราวกับเส้นที่ตึงแน่น ใช้แรงเล็กน้อย ก็ขาดได้ทันที แต่ว่าเธอโทษใครไม่ได้ และไม่กล้าบอกใคร เพราะเธอเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง การแต่งงานครั้งนี้เธอบีบบังคับมา
ถูกต้อง เธอเป็นคนบีบบังคับให้เกิดงานแต่งงานในครั้งนี้ เธอแอบเจอกับมู่กั๋วจง โกหกเขาว่าการแต่งงานนี้เป็นสิ่งที่ปู่ของเธอปรารถนา มู่กั๋วจงเห็นแก่บุญคุณในอดีต ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำตามความต้องการของเพื่อนร่วมรบ ดังนั้นจึงบังคับมู่เฉิงซี
หลังจากที่ห้องรับแขกเงียบลง มู่เฉิงซีเก็บปืน มองกระถางดอกไม้บนพื้นด้วยความปวดใจ นี่คือดอกไม้ที่เวินอี๋ชอบที่สุด เธอคอยรดน้ำมันทุกวัน
ทักษะการปลูกดอกไม้ของเวินอี๋เรียนรู้มาจากเหลิ่งรั่วปิง เมื่อก่อนตอนที่เวินอี๋อยู่ในสลัม เธอปลูกดอกไม้ทั่วไป ทว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่ในวิลล่าหลังนี้ เธอเรียนรู้วิธีการปลูกดอกไม้กระถางมาจากเหลิ่งรั่วปิง กระถางดอกไม้ทั้งสองต้นนี้เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนซื้อให้เวินอี๋ เธอชอบมันมาก เป็นของรักของหวงของเวินอี๋
สิ่งที่เวินอี๋ชอบ มู่เฉิงซีไม่อยากทำลายแม้แต่อย่างเดียว ดังนั้น ที่เขาวิ่งลงมาไม่ได้เป็นเพราะได้ยินเสียงปืน แต่เป็นเพราะได้ยินเสียงกระถางดอกไม้หล่นลงพื้น
พ่อบ้านเข้าใจความรู้สึกของมู่เฉิงซี เดินเข้าไปหาด้วยความระมัดระวัง ”คุณชายมู่ครับ ผมสั่งให้คนงานเปลี่ยนกระถางดอกไม้ให้นะครับ”
มู่เฉิงซีเดินไปข้างๆ กระถางดอกไม้ เก็บดอกไม้ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง ”ไปเอากระถางดอกไม้ใหม่มาสองอัน”
พ่อบ้านรีบไปหยิบกระถางดอกไม้อันใหม่มาสองอัน มู่เฉิงซีปลูกดอกไม้ลงบนกระถางอีกครั้ง พร้อมกับเอากรรไกรมาตัดกิ่งที่หักสุดท้าย มองดูกระถางดอกไม้ที่ปลูกใหม่ทั้งสองกระถาง เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย