เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 296 มู่เฉิงซีเริ่มยอมอ่อนข้อ
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
ความฝัน เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก เป็นสิ่งที่มนุษย์จับต้องไม่ได้ เมื่อนอนหลับฝันดีจะทำให้คนมีความสุข แต่ถ้านอนหลับฝันร้ายจะทำให้คนเป็นกังวล ไม่ว่าความฝันจะเป็นจริงหรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้ทุกคนคือการคาดการณ์ไปต่างๆ นานาและความไม่สบายใจเท่านั้น
หนานกงเยี่ยเอาผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ มาเช็ดหน้าและเช็ดมือให้เหลิ่งรั่วปิง จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ เพื่อขจัดความเศร้าและไม่สบายใจที่เกิดขึ้นเพราะความฝัน จนกระทั่งเหลิ่งรั่วปิงสงบสติอารมณ์ได้ เขาจึงไปที่ห้องหนังสือ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหามู่เฉิงซี
ปลายสายเพิ่งรับ เขาก็ตำหนิด้วยความโมโหทันที ”มู่เฉิงซี แกรีบพาเวินอี๋กลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนนะ ถ้ารั่วปิงเป็นห่วงเวินอี๋จนเป็นอะไรขึ้นมา ฉันเอาชีวิตแกแน่!”
มู่เฉิงซีในเวลานี้เพิ่งถูกเวินอี๋ทุบตีไปครั้งหนึ่ง ตอนแรกเขาอยากจะเกลี้ยกล่อมให้เธอไปจดทะเบียนสมรสกับตนในวันนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้เวินอี๋กลายเป็นคนเหี้ยมโหดแบบนี้ เธอทำร้ายทุบตีเขาจนหน้าเละไปหมด หน้าตาแบบนี้ไปถ่ายรูปแต่งงานไม่ได้ วันนี้จึงไปจดทะเบียนสมรสไม่ได้แล้ว เขาถอนหายใจด้วยความเศร้า ”อืม ฉันจะส่งเวินอี๋ไปเดี๋ยวนี้”
เวินอี๋แย่งโทรศัพท์มาจากมู่เฉิงซี ”คุณหนานกง พี่รั่วปิงเป็นอะไรไปคะ”
หนานกงเยี่ยจับระหว่างคิ้วของตนเองด้วยความหงุดหงิด ”รั่วปิงเป็นห่วงเธอและอยากจะรีบหาตัวเธอให้เจอเร็วๆ” เขาเดินสาวเท้าก้าวใหญ่ไปที่ห้องนอน ”เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวฉันให้รั่วปิงคุยกับเธอ”
เหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้ ยังตกอยู่ในภวังค์ความกลัวที่ก่อตัวขึ้นมาเพราะฝันร้ายนั้น เธอกอดขาตัวเองแน่นแล้วขดตัวอยู่บนเตียง สีหน้าหม่นหมอง หนานกงเยี่ยโอบกอดเธอด้วยความปวดใจ พูดเสียงอ่อนโยน ”อย่าคิดมากเลยนะครับ เวินอี๋อยากจะคุยกับคุณ”
เหลิ่งรั่วปิงรับโทรศัพท์มาจากหนานกงเยี่ย ”เวินอี๋ มู่เฉิงซีรังแกเธอหรือเปล่า”
เวินอี๋ชำเลืองมองหน้าของมู่เฉิงซีที่เวลานี้มีแต่แผล เธอเม้มปากด้วยความตลก ”ไม่ค่ะ พี่รั่วปิง ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวจะรีบกลับวิลล่าหย่าเก๋อตอนนี้เลยค่ะ”
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ”ได้ เธออยู่ไหน พี่ส่งคนไปรับไหม”
อยู่ที่ไหน เวินอี๋เองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน ด้วยเหตุนี้เธอจึงมองค้อนไปที่มู่เฉิงซี ”ที่นี่คือที่ไหนคะ”
คอนโดลับที่เพิ่งซื้อมาด้วยความยากเย็น มู่เฉิงซีไม่อยากเปิดเผยออกไป เขาจึงแย่งโทรศัพท์กลับมา ”รั่วปิง คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะส่งเวินอี๋กลับวิลล่าหย่าเก๋อเดี๋ยวนี้เลย”
ได้ยินเสียงของมู่เฉิงซี เหลิ่งรั่วปิงโมโหขึ้นมาอีกครั้ง ”เร็วหน่อยนะ ไอ้คนสารเลว”
มีปัญหากับภรรยาไม่ได้ คนในครอบครัวของภรรยายิ่งมีปัญหาไม่ได้เข้าไปใหญ่ มู่เฉิงซีจึงทำได้เพียงหยักหน้า ”เข้าใจแล้ว จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
วางสาย มู่เฉิงซีมองเวินอี๋ด้วยแววตาอ้อนวอน ”ตีก็ตีแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว คุณหายโกรธหรือยัง”
เวินอี๋เบ้ปากแล้วหันหน้าไปทางอื่น ตอนนี้เธอไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เธอรู้สึกสับสน ทะเลาะกันพักหนึ่ง กลิ่นกายที่คุ้นเคยของมู่เฉิงซี ทำให้เธอคิดถึง
มู่เฉิงซีลุกขึ้น โอบกอดเธอจากด้านหลัง ”เป็นเด็กดีนะครับ อย่างอแงเลยนะ ดีไหมครับ กลับมาอยู่กับผม พวกเราไปจดทะเบียนสมรสและมีลูกด้วยกันนะ หืม?”
เงียบพักหนึ่ง เวินอี๋พูดขึ้น ”ตอนนี้ฉันยังให้คำตอบไม่ได้ ฉันขอเวลาคิดดูก่อน อีกอย่างสิ่งที่ฉันอยากทำที่สุดในตอนนี้คือการเรียนให้จบ มีงานหรือธุรกิจเป็นของตนเอง ตอนนี้ฉันยังไม่อยากมาคิดเรื่องของคุณ”
มู่เฉิงซีรู้ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้เวินอี๋เสียใจมาก ตอนนี้เขาไม่อาจฝืนใจเธอให้ตอบตกลงในทันที เขาเองก็สนับสนุนให้เธอเรียนจบมหาวิทยาลัย ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงอ่อนโยน ”ผมสนับสนุนให้คุณเรียนจนจบ แต่คุณเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลงก็ได้ ผมจะอยู่กับคุณตลอดเวลาเอง”
เวินอี๋ปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ”ไม่ ฉันชินกับการเรียนและใช้ชีวิตที่ประเทศเอ้าตูแล้ว ฉันไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น และยิ่งไม่อยากเปลี่ยนแปลงเพื่อคุณ”
มู่เฉิงซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ ”คุณไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อผมก็ได้ คุณอยากทำอะไรผมก็สนับสนุนคุณทั้งนั้น แต่คุณต้องอยู่ให้ห่างจากกู้จือเหา ถ้าคุณยังไปข้องเกี่ยวกับเขาอีก ผมไม่รับปากว่าวันไหนผมจะอดใจไม่ได้แล้วเอาลูกปืนให้เขากิน”
เวินอี๋สะบัดแขนของมู่เฉิงซีทิ้งด้วยความไม่พอใจ หันไปมองเขาด้วยสายตาโมโห ”คุณมีสิทธิ์อะไรไปฆ่าคนอื่นคะ”
มู่เฉิงซีกัดฟันแน่น ”ใครใช้ให้มันมายุ่งกับผู้หญิงของผมล่ะ”
เวินอี๋โมโหอย่างมาก ”ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน เราไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น”
มู่เฉิงซีหยุดชะงักครู่หนึ่ง ตามด้วยหัวเราะ ”คุณบอกว่าเขาเป็นแฟนของคุณไม่ใช่เหรอ”
เวินอี๋เพิ่งรู้ตัวว่าตนเผลอพูดออกไป เธอหงุดหงิดอย่างมาก คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปด้านนอก มู่เฉิงซีรีบเดินตามไป ก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ในใจท้ายที่สุดก็สลายหายไปแล้ว เธอไม่ได้มีแฟนอะไรทั้งนั้น
นั่งอยู่บนรถ มู่เฉิงซีพูดบ่นราวกับมนุษย์ป้าแก่ๆ ”ถึงแม้คุณกับกู้จือเหาจะเป็นแค่เพื่อนกัน แต่ก็ห้ามสนิทกันมาก ผมว่าเขาคิดไม่ซื่อกับคุณ เข้าใจไหมครับ”
เวินอี๋กลอกตามองบน ”คุณเองก็คิดไม่ซื่อกับฉันเหมือนกัน ฉันก็จะพยายามไม่ยุ่งกับคุณ”
“หึ!” มู่เฉิงซีทำเสียงฮึดฮัด ”กับแฟนตัวเองต้องพูดถึงเรื่องคิดซื่อคิดไม่ซื่อด้วยเหรอครับ” ชำเลืองมองหญิงสาวที่เบ้ปากด้วยความไม่พอใจ จู่ๆ ก็มีคลื่นความรู้สึกเกิดขึ้นภายในใจของเขา ”คุณอยากจะไปเรียนที่ประเทศเอ้าตูผมไม่คัดค้านอะไร ถึงเวลาผมจะลาออกจากการเป็นตำรวจในเมืองหลง แล้วไปอยู่กับคุณที่ประเทศเอ้าตู”
“คะ?” เวินอี๋มองมู่เฉิงซีด้วยความตกใจ ”คุณบ้าไปแล้วเหรอคะ” ดาบตำรวจที่มียศสูงที่สุดในเมืองหลง เป็นตำแหน่งที่สูงศักดิ์อย่างมาก ตำแหน่งนี้มีคนจำนวนไม่น้อยจับจ้อง แต่เขาคิดอยากจะลาออกก็ลาออก
มู่เฉิงซีไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เขายิ้มร่า ”ตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้อยู่กับคุณ ทำให้ผมคิดได้แล้ว ไม่มีคุณ ผมมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ดังนั้น คุณจะไปไหนผมก็จะตามไปด้วย ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ต้องการแค่คุณคนเดียว”
เวินอี๋เบ้ปากแล้วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอไรอีก ในหัวของเธอมีเสียงหนึ่งดังก้องซ้ำวนไปมา เขาบอกว่า เขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ต้องการแค่เธอ
ถึงวิลล่าหย่าเก๋อ เวินอี๋ลงจากรถแล้วเดินก้มหน้าเข้าไปในบ้าน มู่เฉิงซีเดินตามอยู่ด้านหลังด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เขากลัวจริงๆ ว่าเดี๋ยวเจอกับเหลิ่งรั่วปิง ต้องเผชิญหน้ากับสีหน้าไม่พอใจของเธออีก นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่เขาไม่เห็นเหลิ่งรั่วปิงแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา อยากจะจัดการเธอหลายครั้ง สุดท้ายตอนนี้เขาต้องทำตามความต้องการของเธอทุกอย่าง ชีวิตคนเราช่างน้ำเน่าจริงๆ
ได้ยินพ่อบ้านบอกว่า เวินอี๋กลับมาแล้ว เหลิ่งรั่วปิงรีบใส่รองเท้าเดินลงจากเตียง วิ่งไปชั้นล่าง ไปเจอมู่เฉิงซีและเวินอี๋ที่อยู่ในห้องรับแขก หนานกงเยี่ยเองก็รีบเดินตามลงมา เห็นหน้าของมู่เฉิงซีที่เต็มไปด้วยแผล อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เป็นถึงดาบตำรวจของเมืองหลง วันนี้กลับยอมถูกผู้หญิงทุบตี เฮ้อ ความรักเหนอ ทำให้วีรบุรุษมากมายต้องยอมโค้งคำนับ หนึ่งในคนที่ต้องโค้งคำนับให้กับความรักก็รวมถึงเขาหนานกงเยี่ยด้วย เฮ้อ!
“พี่รั่วปิง” เวินอี๋ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา จับมือของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้
เหลิ่งรั่วปิงมองเวินอี่ตั้งแต่หัวจดเท้าหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรเหลิ่งรั่วปิงจึงโล่งอก จากนั้นหันไปมองมู่เฉิงซี ตอนแรกเธออยากจะตำหนิเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลฟกช้ำ เธอก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง ”มู่เฉิงซี คุณไปทำคดีใหญ่อะไรมาคะ คนร้ายโหดมากเลย ทุบตีคุณถึงขั้นนี้”
มู่เฉิงซีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความเสียหน้า ”เหลิ่งรั่วปิง เคยไหมที่คุณจะไม่ปากร้าย”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะอย่างมีความสุข หันไปมองเวินอี๋ ”เวินอี๋ ท่าป้องกันตัวที่พี่สอนเรา ดูเหมือนว่าเราจะทำได้ไม่เลว เยี่ยมมาก”
เวินอี๋อายจนหน้าแดงระเรื่อ จับมือเหลิ่งรั่วปิง ”พี่รั่วปิง อย่าพูดแบบนี้สิคะ”
เหลิ่งรั่วปิงอารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน เธอพาเวินอี๋ขึ้นไปชั้นบน
ผู้หญิงทั้งสองคนเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยความอารมณ์ดี หนานกงเยี่ยถอนสายตากลับมา มองหน้ามู่เฉิงซี หัวเราะด้วยความสะใจ
ความอับอายของมู่เฉิงซีแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห ”หนานกง แกมองพอหรือยัง”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงเบา ”คิดไม่ถึงว่าดาบตำรวจมู่จะมีวันนี้”
มู่เฉิงซีโต้กลับ ”ไม่ต่างกัน ฉันแค่ถูกทุบตีจนหน้าฟกช้ำ แต่ใครบางคนตอนนั้นถึงขั้นถูกมีดบินพุ่งมาที่หน้าอก แต่ก็ยังหน้าด้านตามง้อเธอกลับมา”
หนานกงเยี่ยหน้าดำเคร่งเครียดทันที กลอกตามองบนให้กับมู่เฉิงซี แล้วเดินเข้าไปที่ห้องรับแขกเล็ก
ในที่สุดมู่เฉิงซีก็รู้สึกสบายใจ ผู้ชายที่ถูกภรรยาทำร้าย ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ดังนั้น เขาจึงเดินตามหนานกงเยี่ยเข้าไปที่ห้องรับแขกเล็ก ทั้งสองเปิดไวน์หนึ่งขวด แล้วนั่งดื่มด้วยกัน
มู่เฉิงซีหมุนแก้วไหวนไปมา ”แกกับเฉินลู่เหยา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ”ไม่มีอะไร ฉันติดหนี้บุญคุณเธอ ก็เลยต้องดูแลเธอมากเป็นพิเศษ วงการบันเทิงมีดราม่าเยอะ ก็เลยมีข่าวฉาวออกมา”
มู่เฉิงซีมองหนานกงเยี่ย ”ด้วยนิสัยของเหลิ่งรั่วปิง ต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน”
หนานกงเยี่ยพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้แค่เพียงไม่พอใจ แต่ยังทะเลาะกับเขา ทั้งยังเคยบอกว่าจะไปจากเขาอีกด้วย นึกถึงวันที่ทะเลาะกัน เขารู้สึกเจ็บปวด
มู่เฉิงซีครุ่นคิด สุดท้ายก็พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา ”จากประสบการณ์หลายปีในการทำคดี ข่าวฉาวพวกนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเฉินลู่เหยามีส่วนเกี่ยวข้อง
หนานกงเยี่ยเงียบอยู่หลายวินาที พูดเสียงเรียบ ”หรือเพราะฉันมองเธอในแง่ดี เป็นเพราะรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ที่ต้องดูแลเธอและรู้สึกผิดกับเธอ ก็เลยทำให้เสียหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจ?” คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย ”ฉันไม่อยากเชื่อว่าเธอจะมีแผนการเจ้าเล่ห์กับฉันจริงๆ”
ถ้าเธอทำความผิด และความผิดนี้ส่งผลกระทบต่อเหลิ่งรั่วปิง เขาจะจัดการเธออย่างแน่นอน แต่เขาไม่อยากครหาเธอ เพราะถึงอย่างไรก็มีคำสั่งเสียของแม่ อีกทั้งแม่ของเธอก็ต้องตายเพราะความขัดแย้งภายในตระกูลหนานกง
มู่เฉิงซีพยักหน้า ”ฉันเข้าใจแก ก็เป็นเหมือนกับที่แกปฏิบัติต่อหลานซี แกรู้สึกว่ามีหน้าที่ ดังนั้นจึงไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่ฉันต้องเตือนแก อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะรั่วปิงมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา เธอคงตายด้วยปืนของหลานซีไปแล้ว เฉินลู่เหยาคนนี้ก็ใช่ว่าจะธรรมดา”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วแน่นแล้วพิงตัวลงนั่งบนโซฟา ทอดถอนหายใจ ”เรื่องที่แกพูดฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ฉันกำลังสืบอยู่เหมือนกัน แต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐาน ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น รอให้สืบจนรู้ก่อน ถ้าเฉินลู่เหยามีเจตนาไม่ดีจริงๆ ฉันก็คงทำได้แค่เพียงจุดธูปบอกแม่ แล้วค่อยจัดการเธอ”
มู่เฉิงซีพยักหน้า เปลี่ยนเรื่องคุย ”หมู่นี้แกกับพ่อทะเลาะกันดุเดือดมากเหรอ”
พูดถึงสงครามระหว่างพ่อลูก หนานกงเยี่ยก็ยิ่งโมโห ถึงแม้พวกเขาพ่อลูกจะไม่ได้ผูกพันกัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อลูก การที่บาดหมางกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี สุดท้ายเขาจึงถอนหายใจ ”ทำยังไงได้ ในเมื่อพ่อคิดแต่จะทำร้ายรั่วปิง ฉันก็จำเป็นต้องทำแบบนี้กับพ่อ”