เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 300 การลักพาตัวที่เตรียมการเอาไว้แต่แรก
ขณะพูด หลินมั่นหรูใช้นิ้วบีบจี้หยกอย่างแรง จี้หยกในมือเธอแบ่งเป็นสองซีก ที่แท้ด้านในของจี้หยกนี้ว่างเปล่า ทุกอย่างบนตัวหลินมั่นหรู ล้วนเกี่ยวข้องกับยา ใครจะไปคิดว่าจี้หยกธรรมดาๆ นี้จะมีกลไกซ่อนเอาไว้
หลินมั่นหรูเอาผงยาใส่เข้าไปในจี้ จากนั้นก็ปิดให้สนิท “ยาตัวนี้เป็นสารระเหย ใช้ยับยั้งพิษของต้นลำโพงได้ เธอใส่จี้นี้เอาไว้จะได้ไม่เป็นอันตราย อีกเรื่องหนึ่ง พยายามเปิดหน้าต่างในห้องนอนให้ลมโกรก แบบนี้จะได้ลดพิษของต้นลำโพง”
เหลิ่งรั่วปิงสวมจี้ที่หลินมั่นหรูให้ สีหน้าของเธอคล้ายกับทะเลยามค่ำคืน มืดสนิท ลึกลับ คาดเดาไม่ออก
เฉินลู่เหยา ในเมื่อเธออยากเล่นจนตัวสั่นแบบนี้ ฉันก็จะเล่นกับเธอเอง ฉันจะทำให้เธอเห็นว่าใครแน่กว่ากัน!
คืนนี้ เฉินลู่เหยาเองก็อยู่ในห้องวีไอพีห้องหนึ่งภายในไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ เธอกำลังพูดคุยกับผู้กำกับมือทอง คังกาน และโปรดิวเซอร์อีกสองสามคนเรื่องการลงทุนภาพยนตร์เรื่องใหม่ของบริษัทหนานกง ’กลเกมวังหลวง’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชิงรักหักสวาท
ซย่าอี่มั่วเองก็อยู่ที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ เฉินลู่เหยาบังเอิญมาอยู่ที่เดียวกับหนานกงเยี่ยในเวลาเดียวกันนั้น ล้วนเป็นเพราะสายสืบของซย่าอี่มั่ว
เหลิ่งรั่วปิงและหลินมั่นหรูเพิ่งออกมาจากห้องวีไอพีไม่นาน ซย่าอี่มั่วก็เข้ามา นัยน์ตาเหี้ยมโหดของเธอจับจ้องไปที่เวินอี๋ จากนั้นมองเขม็งไปที่มู่เฉิงซี “เฉิงซี ฉันมีเรื่องอยากพูดกับคุณ”
สายตาเย็นชาของมู่เฉิงซีกวาดมองไปที่ซย่าอี่มั่ว พูดด้วยความเย้ยหยัน “ตอนนี้และเวลานี้ ผมไม่มีเรื่องอะไรจะพูดกับคุณ คุณอยากจะอยู่ที่บ้านตระกูลมู่ก็เชิญคุณอยู่ต่อไป ไม่อยากอยู่ก็เชิญเก็บข้าวของออกจากบ้านไป ระหว่างผมกับคุณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
คำพูดของมู่เฉิงซี ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเข้าใจ ซย่าอี่มั่วรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก ถูกต้อง ระหว่างเขากับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ต้องอับอายเหมือนเธอ “มู่เฉิงซี คุณทำแบบนี้กับฉัน คุณไม่กลัวว่าฉันจะไปฟ้องพ่อคุณเหรอ”
มู่เฉิงซีหันไปทางอื่นด้วยความเยือกเย็น “ถ้าคุณไม่อยากกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลง คุณก็ไปหาพ่อของผมสิ”
ซย่าอี่มั่วกัดฟันแน่น หายใจแรงจนทรวงอกกระเพื่อม ทุกคนต่างก็ดูออกว่าเธอพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง การกระทำของมู่เฉิงซีเรียกได้ว่าฉลาดมาก ถ้าเธอไม่อยากกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลง ก็ต้องโทษตัวเองว่าสาเหตุที่ชีวิตคู่ล้มเหลวเป็นเพราะตนเอง แล้วถอยออกไป แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ตระกูลซย่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เธอคือซย่าอี่มั่ว เป็นคุณหนูจากตระกูลทหารที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด อยากได้อะไรก็ต้องได้สิ่งนั้น ใครบ้างที่กล้าหาเรื่องเธอ แต่วันนี้เธอกลับต้องอับอายขายหน้า เธอจะยอมได้ยังไง!
ซย่าอี่มั่วที่กำลังเดือดถึงขีดสุดนั้น หลังจากพยายามข่มอารมณ์ของตนเอง จู่ๆ เธอก็ระเบิดอารมณ์ออกมา คว้าปืนที่อยู่ตรงเอวขึ้นมาแล้วเล็งไปที่เวินอี๋
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้น กระสุนที่เยือกเย็น พร้อมด้วยความเคียดแค้น พุ่งไปตรงระหว่างคิ้วของเวินอี๋ มองดูกระสุนที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง ร่างเล็กของเวินอี๋สั่นเทา ราวกับใบหลิวที่พลิ้วไหวไปตามเสียงพิณ
เพล้ง!
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง แก้วในมือของหนานกงเยี่ยพุ่งตัวออกไปชนเข้ากับกระสุนที่อยู่กลางอากาศของซย่าอี่มั่ว ทำให้เกิดเสียงแสบแก้วหูขึ้นมาในทันที
ปัง!
ในเวลาเดียวกัน เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด ปืนตำรวจในมือของมู่เฉิงซียิงออกไป เล็งไปที่ข้อมือของซย่าอี่มั่ว
“โอ๊ย!”
กระสุนยิงเข้าไปที่มือของเธอ ซย่าอี่มั่วร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นทหาร แน่นอนว่ายังคงยืนตัวตรง ขมวดคิ้วเป็นปมมองดูข้อมือของตนที่มีเลือดไหลออกมา กัดฟันแน่นแล้วหันขวับกลับไป สายตาจับจ้องไปที่มู่เฉิงซี “มู่เฉิงซี คุณกล้ายิงฉันเหรอ”
สายตาของมู่เฉิงซีเต็มไปด้วยจิตสังหารที่พร้อมจะแช่แข็งโลกทั้งใบ “คุณควรดีใจที่เวินอี๋ไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ใช่มือของคุณที่ถูกยิง แต่เป็นสมองของคุณที่ต้องไหลออกมา”
ซย่าอี่มั่วรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของเธอยับย่นไปหมดเพราะความเจ็บปวดที่เริ่มแผ่ซ่านมากขึ้น “มู่เฉิงซี ฉันจะทำให้คุณต้องเสียใจ”
พูดจบ ซย่าอี่มั่วเดินก็ออกไป เสียงเย็นชาของมู่เฉิงซีดังขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน” สายตาของเขาจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเธอ “พยายามฆ่าคนในที่สาธารณะต่อหน้าตำรวจชั้นสูงในเมืองหลง คิดว่าจะออกไปได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ”
ซย่าอี่มั่วหันกลับไปมองเขา นัยน์ตาของเธอมีความตกใจเล็กน้อย “คุณคิดจะทำอะไร”
มู่เฉิงซีเอากุญแจมือออกมาจากข้างเอว “แน่นอนว่าต้องเอาตัวเธอไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ ถ้าจำเป็นก็ต้องทำตามกระบวนการยุติธรรม ขึ้นโรงขึ้นศาล”
“คุณ!” ซย่าอี่มั่วมองมู่เฉิงซีอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “คุณกล้าเหรอ มู่เฉิงซี!”
เธอ ซย่าอี่มั่ว เป็นถึงหลานสาวของทหารที่ร่วมก่อตั้งประเทศ ทั้งยังเป็นทายาทของตระกูลทหารชั้นสูง นอกจากนี้ยังเคยรับราชการตำรวจ แต่มู่เฉิงซีกลับจะจับเธอ นี่มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลง มีใครบ้างที่กล้าจับเธอ
อวี้ไป่หันที่นั่งดื่มเงียบๆ มานานเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ถังเฮ่าหันไปมองมู่เฉิงซีอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่มีใครคิดว่าเขาจะจับซย่าอี่มั่ว อย่าพูดถึงในสายตาของคนในเมืองหลง เธอเป็นภรรยาของเขา แค่ฐานะของซย่าอี่มั่ว ก็ไม่สามารถจับตัวเธอได้ง่ายๆ แล้ว ทว่าวันนี้มู่เฉิงซีกลับจะจับเธอเข้าคุก เท่ากับประกาศสงครามกับตระกูลซย่า เรื่องนี้ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน สำหรับตระกูลมู่เรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ใบหน้าสวยของเวินอี๋แสดงความสงสัย ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยมีประสบการณ์ในสังคมมากมายเท่าไหร่ ทั้งยังเป็นคนที่อ่อนโยน แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้เธอสามารถวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน เธอไม่อยากเป็นต้นเหตุที่นำพาความเดือดร้อนมาให้มู่เฉิงซี คนจิตใจดีมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ถึงแม้จะเลิกรากันไปแล้ว หรือแม้กระทั่งหมดรักแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นทุกข์
ท่ามกลางทุกคน มีแค่หนานกงเยี่ยเท่านั้นที่นิ่งเฉยราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขานั่งอยู่ตรงนั้น หมุนแก้วไวน์ในมือ เขาเข้าใจการกระทำของมู่เฉิงซี มู่เฉิงซีต้องการหาข้ออ้างในการจบชีวิตคู่ปลอมๆ ระหว่างเขากับซย่าอี่มั่ว ถ้าหากซย่าอี่มั่วต้องขึ้นศาลเพราะมีเจตนาฆ่าคนในที่สาธารณะ หรือหากเธอต้องติดคุก ชีวิตคู่ของพวกเขาก็จะจบลงไปโดยปริยาย
ทุกอย่างนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ขณะที่สายตาของทุกคนกำลังตกตะลึง มู่เฉิงซีเดินถือกุญแจมือเงาวับ ไปตรงหน้าซย่าอี่มั่ว ความหนักแน่นของเขาดั่งทหารกลับจากสมรภูมิรบ
ซย่าอี่มั่วราวกับตื่นจากฝัน “มู่เฉิงซี คุณคิดว่าฉันจะยอมให้คุณจับง่ายๆ เหรอ”
มู่เฉิงซีเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าคุณมีความสามารถมากแค่ไหน ผมอยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณจะรับมือผมได้นานเท่าไหร่”
ขณะที่มู่เฉิงซีกำลังจะลงมือจัดการซย่าอี่มั่ว จู่ๆ เวินอี๋ก็ลุกขึ้นยืน “พอได้แล้ว มู่เฉิงซี!” แววตาเย็นยะเยือกคล้ายจะแช่แข็งทุกความเป็นไปได้ “หลังจากนี้อย่าเอาฉันไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกคุณสองสามีภรรยาอีก มู่เฉิงซี ช่วยอยู่ให้ห่างจากฉัน แล้วอย่ามาสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ฉันอีก” ดวงตากลมโตดำสนิทมองขวับไปที่ซย่าอี่มั่ว “คุณจะคืนดีหรือเลิกกับเขา มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันทั้งนั้น ต่อไปนี้ก็เลิกยุ่งกับฉันสักที”
พูดจบ เวินอี๋สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป ใช่แล้ว มีเพียงแค่เธออยู่ให้ห่างจากมู่เฉิงซี ความขัดแย้งทั้งหมดจึงจะสงบลง
ซย่าอี่มั่วถึงกับอึ้งไป เธอคิดมาตลอดว่าเวินอี๋ตามตอแยมู่เฉิงซีไม่เลิก แต่คิดไม่ถึงว่าเวินอี๋จะพูดแบบนี้กับตน
มู่เฉิงซีเองก็นิ่งค้าง เขาคิดไม่ถึงว่าเวินอี๋จะให้คำตอบแบบนี้กับเขา ซึ่งก็หมายความว่าทุกอย่างที่เขาพยายามอธิบายและตามง้อเธอเมื่อตอนกลางวันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย?
“เวินอี๋!” มู่เฉิงซีวิ่งตามเวินอี๋ไป เขาไม่มีวันปล่อยให้เวินอี๋ไปจากตนเด็ดขาด
เวินอี๋และมู่เฉิงซีออกไปจากห้อง ซย่าอี่มั่วยืนนิ่งค้างมองไปที่ประตูอยู่นาน เธอถึงกับลืมความเจ็บปวดบนข้อมือ
หากเป็นเมื่อก่อน อวี้ไป่หันคงจะพูดเย้ยหยันซย่าอี่มั่ว บอกให้เธอว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน แต่ตอนนี้เขาไม่อยากพูดแม้แต่คำเดียว เพราะตัวเขาเองก็กำลังพยายามเด็ดแตงในสวนของคนอื่น ไม่ว่ามันจะหวานหรือไม่หวานเขาก็อยากเด็ด
สุดท้ายหนานกงเยี่ยที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นที่สุดก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา “ซย่าอี่มั่ว เธอรู้ตัวไหมว่าวันนี้เธอกำลังยิงใคร”
สีหน้าของซย่าอี่มั่วเริ่มซีดขาวเล็กน้อย ริมฝีปากของเธอสั่นเทา “คุณ…คุณหนานกง ฉัน…”
“ไสหัวออกไป!” หนานกงเยี่ยหลุบตาลงด้วยความรังเกียจ “อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก ถ้าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ฉันทำลายตระกูลซย่าของเธอแน่”
ซย่าอี่มั่วสูดลมหายใจเข้า พยายามข่มความหวาดกลัวในใจ แล้วรีบวิ่งออกไป แต่หลังจากที่เดินออกไปจากห้อง เธอหยุดยืนอยู่ตรงโถงทางเดิน เผยยิ้มชั่วร้าย เธอแทบจะอดใจรอแก้แค้นเหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋ไม่ได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วส่งข้อความไปให้เฉินลู่เหยา ’ลงมือได้เลย’
ห้องวีไอพีอีกห้องหนึ่ง เฉินลู่เหยาที่กำลังพูดคุยเรื่องภาพยนตร์กับผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ หลังจากได้รับข้อความจากซย่าอี่มั่ว ริมฝีปากของเธอก็เม้มเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเป็นกังวล แต่ไม่นานก็ทำใจให้นิ่งสงบลงได้ หลังจากนั้นก็รีบลบข้อความทันที เงยใบหน้าที่งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ขึ้นมา ดวงตากลมโตเปล่งประกายวาววับ “ผู้กำกับคะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีไหมคะ”
ผู้กำกับคังกานรู้ดีว่าเฉินลู่เหยาและหนานกงเยี่ยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ในเมื่อเฉินลู่เหยาร้องขอให้จบการพูดคุยเพียงเท่านี้ เขาเองก็ไม่กล้าขัดใจ เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ครับ ถ้าอย่างนั้นทุกคนกลับไปพักผ่อนกันเถอะครับ ไว้เราค่อยคุยกันใหม่”
เฉินลู่เหยายิ้ม จากนั้นเดินนำผู้ช่วยออกไปจากห้อง สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปจากไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ ด้านหลังของเธอมีบอดี้การ์ดอีกหลายคนที่ก่วนอวี้ส่งมาให้คุ้มกัน
เฉินลู่เหยาเดินออกมาจากไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ มีแฟนคลับจำนวนมากยืนล้อมไนท์คลับเฟิ่งหวงไถเอาไว้ พวกเขาส่งเสียงร้อง “เฉินลู่เหยา พวกเรารักคุณ”
เฉินลู่เหยาตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ โบกมือให้กับบรรดาแฟนคลับ “ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ขอบคุณทุกคนค่ะ”
บอดี้การ์ดเดินประกบซ้ายขวา นึกว่านี่เป็นแค่แฟนคลับตามดาราทั่วไป ทว่าใครจะไปคาดคิด เฉินลู่เหยายังไม่ทันขึ้นไปบนรถ จู่ๆ ก็มีชายชุดดำสองกลุ่มพุ่งตัวออกมาจากไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ ทุกคนล้วนมีฝีมือ นอกจากนี้ยังมีกระบองสีดำความยาวประมาณหนึ่งเมตรถือเอาไว้อีกด้วย ชายชุดดำเข้าทำร้ายทุกคน จู่ๆ สถานการณ์ก็วุ่นวายไปหมด บอดี้การ์ดถึงกับทำตัวไม่ถูก บรรดาแฟนคลับผลักกันไปมา พวกเขาทำร้ายใครไม่ได้ เพราะถ้าไม่ระวังแล้วแฟนคลับโดนลูกหลงเข้า พรุ่งนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่นอน
ขณะที่ทุกอย่างกำลังวุ่นวาย เฉินลู่เหยาถูกโยนเข้าไปในรถสีดำ แล้วรถคันนั้นก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือการลักพาตัวที่เตรียมการเอาไว้แต่แรก