เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 68 มีปัญหากับสาวสวย (1)
เหลิ่งรั่วปิงและเวินอี๋เดินออกไปจากห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวา พวกเธอเลือกมาทานอาหารในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ตอนที่เธอยังเด็ก ครอบครัวของเธอถือว่ามีฐานะดี พวกเธอมักจะมารับประทานอาหารในร้านอาหารหรูแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะผ่านไปสิบปีแล้ว แต่เมื่อกลับมายังสถานที่หรูหราแบบนี้อีกครั้ง พวกเธอก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษแต่อย่างใด
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในมุมเงียบๆ ของร้านอาหาร พวกเธอกินอาหารไปด้วยและพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่เวลานี้จู่ๆ เวินอี๋กลับเงียบไป
“เป็นอะไรไป” เหลิ่งรั่วปิงถามขึ้น
“ฉันรู้สึกผิดต่อดาบตำรวจมู่ค่ะ” เวินอี๋เม้มกัดริมฝีปาก สีหน้าท่าทางของเธอในเวลานี้ดูรู้สึกผิดมาก
“มีอะไรที่ทำให้เธอต้องรู้สึกผิดกับตานั่น” เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าเวินอี๋เป็นคนใสซื่อและใจดี เธอจึงหวั่นไหวกลับเรื่องต่างๆ ได้ง่าย ก่อนหน้านี้มู่เฉิงซีทำเพื่อเธอตั้งมากมาย จึงไม่แปลกที่เวินอี๋จะรู้สึกซาบซึ้ง
“อันที่จริง ดาบตำรวจมู่เป็นคนดีนะคะ” เวินอี๋กลัวเหลิ่งรั่วปิงจะกล่าวโทษเธอ ดังนั้นจึงพูดเสียงเบา
“เธอเห็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกของเขา ไม่ได้เห็นตัวตนที่อยู่ข้างในของเขา การที่เขาดีกับเธอแบบนี้ต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่นอน เธอใสซื่อเกินไป ไม่เหมาะกับคนอย่างเขา” เหลิ่งรั่วปิงยังคงยืนกรานไม่เห็นด้วยหากเวินอี๋จะคบกับมู่เฉิงซี เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่าเวินอี๋เป็นคนใสซื่อและจิตใจดี เธอควรจะได้เจอกับคนดีๆ มาคอยรักและทะนุถนอมเธอ คนที่เอะอะก็ฆ่าคนอย่างมู่เฉิงซี ไม่ใช่คนดีอะไร
“แต่ว่า…”
“เวินอี๋ อย่าบอกฉันนะว่าเธอชอบมู่เฉิงซี” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เวินอี๋เม้มกัดหลอดดูด เธอพูดอ้ำอ้ำอึ้งอึ้ง “ชอบ…ชอบนิดหน่อยค่ะ” ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเป็นห่วงเธอแบบนี้มาก่อน แล้วจะไม่ให้เธอหวั่นไหวได้ยังไง
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกกังวลเล็กน้อย “เวินอี๋ เธอต้องรีบตัดใจจากเขา เขาไม่เหมาะสมกับเธอ เราอย่าเพิ่งพูดถึงตัวตนของเขาแล้วกัน แค่ครอบครัวของเขาก็ไม่มีวันยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้แล้ว ถ้าหากว่าเธอคบกับเขาขึ้นมาจริงๆ อย่างมากก็เป็นได้แค่ผู้หญิงที่เขาคอยเลี้ยงดูอยู่ข้างนอก เธออยากจะทิ้งวัยสาวของเธอกับคนแบบนี้หรอ”
“…” เวินอี๋กัดหลอดดูแน่น เธอปิดปากเงียบไม่ยอมพูดจา นัยน์ตาของเธอมีความเศร้าฉายออกมา
“สิ่งที่ฉันพูด เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยความปวดใจ
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ พี่รั่วปิง” เวินอี๋รู้ดีว่าเหลิ่งรั่วปิงหวังดีกับเธอ ชาติกำเนิดของเธอไม่คู่ควรกับมู่เฉิงซี และเธอเองก็ไม่ควรที่จะหวังสูง
…..
หลังจากแยกทางกับเวินอี๋แล้วนั้น เหลิ่งรั่วปิงยืนรอโบกรถอยู่ข้างถนน เพื่อที่จะกลับโรงแรมวั่นเหา
เหตุผลที่ตลอดมาเธอไม่ยอมซื้อรถยนต์ เป็นเพราะเธอคิดว่าอีกไม่นานตนเองก็จะไปจากที่นี่ จึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงิน ดังนั้นไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็จะใช้บริการรถแท็กซี่
แต่ว่า ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เธอรออยู่นานแล้วก็ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมา
เวลานี้ ได้เข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว อากาศด้านนอกจึงหนาวมาก เหลิ่งรั่วปิงซึ่งเป็นคนขี้หนาวมาโดยตลอดจึงอดไม่ได้ที่หนาวสั่น เธอกระชับเสื้อโค้ทสีดำของตนเองแน่น
“คุณเหลิ่ง รอรถแท็กซี่อยู่หรอครับ” รถหรูคันสีดำจอดอยู่ตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง ตามด้วยกระจกรถยนต์ที่ลดลงมา เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม เขาเป็นผู้ชายสไตล์อบอุ่น คิ้วที่เรียงยาว ดวงตาอ่อนโยน จมูกเป็นสันและริมฝีปากบางทั้งหมดนี้ทำให้เขาดูอ่อนโยน ในเวลาเดียวกันก็ทำให้คนไม่รู้สึกรังเกียจ เขาแต่งกายด้วยชุดไปรเวท เสื้อไหมพรมสีดำคอปกสีขาวเข้าชุดกับกางเกงลำลองสีดำ
เหลิ่งรั่วจำไม่ได้ว่าตนเองรู้จักกับผู้ชายคนนี้ “คุณคะ เราเคยเจอกันมาก่อนหรอคะ”
ชายหนุ่มหน้าตาอ่อนโยนคลายยิ้ม “ผมเคยเจอคุณมาก่อน แต่คุณไม่เคยเจอผม” ขณะที่พูด เขาก็ยื่นนามบัตรของเขามาหาตน
เหลิ่งรั่วปิงรับนามบัตรมาดู เธอตกใจมาก เพราะเขาคือประธานไซ่ตี้จวิ้นเจ้าของบริษัทไซ่เหวย บริษัทส่งออกวัสดุก่อสร้างระหว่างประเทศ
“คุณเหลิ่งครับ ผมพอจะมีโอกาสไปส่งคุณไหมครับ” ไซ่ตี้จวิ้นคลายยิ้มแล้วมองมาทางเหลิ่งรั่วปิง
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอย่างสง่างาม “การขึ้นไปนั่งบนรถของคุณ เป็นความฝันของหญิงสาวมากมาย แล้วฉันเป็นใครกันถึงทำให้คนอย่างคุณไซ่เชิญขึ้นรถด้วยตนเอง”
“ถ้าผมบอกว่ามาเพราะได้ยินชื่อเสียงของคุณ คุณจะเชื่อไหมครับ”
“ไม่เชื่อค่ะ”
“ฮ่าๆ” ไซ่ตี้จวิ้นส่ายหน้าเบาๆ รอยยิ้มของเขางดงามมาก “ได้ยินว่าบริษัทหนานกงมีสถาปนิกสาวสวยมาใหม่ ทั้งยังมีฝีมือในการออกแบบที่ดีเยี่ยม โรงแรมอิมพีเรียลที่เธอออกแบบได้รับคำชื่นชมมากมายในแวดวงธุรกิจ อีกทั้งยังได้รับการไว้วางใจจากคุณหนานกงให้รับผิดชอบโปรเจคใหญ่ เป็นสถาปนิกที่รับผิดชอบแลนด์มาร์คของเมืองหลง แน่นอนว่าผมที่เป็นคนค้าวัสดุควรมาพบสถาปนิกชื่อดังคนนี้” ไซ่จี้จวิ้นหยุดพูดครู่หนึ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้นมองเหลิ่งรั่วปิง “เหตุผลนี้เพียงพอไหมครับ”
“ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผลดีนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “แต่ว่า หน้าที่ที่ต้องมาเจอกับสถาปนิกเพื่อที่จะขายวัสดุก่อสร้างให้กับโรงแรมอิมพีเรียลและแลนด์มาร์คของเมืองหลง ไม่จำเป็นต้องให้คุณไซ่มาด้วยตนเองรึเปล่าคะ”
ตอนนี้โรงแรมอิมพิเรียลได้เริ่มจัดให้เสนอราคาเพื่อซื้อวัสดุแล้ว และจะเริ่มมีการก่อสร้างในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึง ผู้รับเหมายังคงเป็นของบริษัทรับเหมาก่อสร้างหงเฉินของลั่วเฮิ่ง บริษัทค้าวัสดุรายใหญ่ต่างๆ ก็กำลังแย่งโปรเจคนี้ แน่นอนว่าบริษัทไซ่เหวยเองก็เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นให้คนอย่างไซ่ตี้จวิ้นต้องออกหน้าด้วยตนเอง เรื่องพวกนี้ตัวแทนของบริษัทเป็นคนดำเนินเรื่องก็พอแล้ว
ไซ่ตี้จวิ้นยักไหล่ด้วยความจำใจ เขาคลายยิ้มด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง “ถ้าผู้หญิงทุกคนฉลาดเหมือนคุณ ผู้ชายจะมีชีวิตยังไง”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มแล้วเอียงศีรษะ “ดังนั้น?”
“ดังนั้น ผมไม่ได้มาเพราะโปรเจคสองโปรเจคนั้น แต่ว่า…ผมอยากจะจีบคุณ” อยู่ดีๆ ไซ่ตี้จวิ้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผม…ตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเจอ”
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเป็นปม “เราเคยเจอกันมาก่อนหรอคะ”
“วันที่คุณมาถึงเมืองหลง ผมเจอคุณที่โรงแรมวั่นเหา แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมมีธุระด่วนก็เลยไม่ทันได้ทำความรู้จักกับคุณ พอในตอนหลังผมคิดอยากจะตามหาคุณ กลับถูกหนานกงเยี่ยชิงตัดหน้าก่อน ตอนนี้พวกคุณเลิกกันแล้ว ผมไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้หลุดมืออย่างแน่นอน”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะในลำคอ “คุณไซ่ไม่รังเกียจที่ฉันเคยเป็นผู้หญิงของคนอื่นหรอคะ คุณเองก็อยากจะรับฉันไปเลี้ยงดู?”
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนานกงเยี่ยจะเป็นความลับ แต่ถ้าคนอย่างไซ่ตี้จวิ้นคิดอยากจะสืบก็ใช่ว่าจะสืบไม่ได้
“เฮ้ ที่รัก อย่าพูดแบบนี้สิครับ” ไซ่ตี้จวิ้นรีบยิ้มแล้วพูดอธิบาย “ผมจริงจังนะ”
“จริงจังแค่ไหนคะ” รอยยิ้มเย้ยหยันของเหลิ่งรั่วปิงยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของเธอ ผู้ชายคนหนึ่งที่มาหาผู้หญิงที่เพิ่งจบความสัมพันธ์แบบนั้น เขาจะจริงจังได้สักแค่ไหนกัน
“ขอแค่คุณพยักหน้า ผมยินดีไปจดทะเบียนสมรสกับคุณตอนนี้เลย”
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะเสียงดังเหมือนกำลังฟังเรื่องตลก “คุณไซ่ เรื่องนี้ไม่ตลกเลยนะคะ”
“แล้วคุณจะรู้เองว่าผมไม่ได้พูดเล่น” ไซ่ตี้จวิ้นหุบยิ้ม เขาจ้องมองมาที่เหลิ่งรั่วปิง
ทางด้านเหลิ่งรั่วปิงก็ค่อยๆ หุบยิ้ม “ค่ะ ถึงแม้ว่าคุณไซ่จะไม่ได้ล้อเล่น แต่ฉันเพิ่งถูกเขาทิ้งเองนะคะ ตอนนี้ฉันยังไม่คิดจะมีคนใหม่ คุณ…”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาพูดคุยเรื่องทำงานร่วมกันไหมครับ ส่วนเรื่องทำความรู้จักกับตัวตนผมนั้นคุณสามารถค่อยๆ ทำความรู้จัก”
“…” เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ เธอไม่ได้มีท่าทีจะขึ้นไปบนรถยนต์ของเขา
“เป็นอะไรครับ ไม่กล้าขึ้นรถของผมหรอ กลัวผมกินคุณ?”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่นานครู่หนึ่ง จากนั้นคลายยิ้มบางๆ “ค่ะ ในเมื่อคุณไซ่บอกว่าอยากจะจีบฉัน ฉันก็จะให้โอกาสคุณสักครั้ง ดูสิว่าคุณจะจริงใจมากแค่ไหน”
“ครับ” ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มแล้วเดินลงจากรถยนต์ เขาเปิดประตูรถให้เหลิ่งรั่วปิงอย่างสุภาพบุรุษ ตอนที่เธอก้าวขึ้นไปบนรถเขาก็ยื่นมือมาป้องประตูรถเอาไว้ด้วยความใส่ใจ เพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะของเธอชนเข้ากับรถยนต์ หลังจากเธอนั่งเรียบร้อยเขาก็ปิดประตูลงเบาๆ แล้วเดินอ้อมไปยังที่คนขับ
เมื่อกี้ เหลิ่งรั่วปิงได้ทำการคิดวิเคราะห์สั้นๆ แล้วได้ข้อสรุปว่า ถ้าต้องการจะล่อลั่วเฮิ่งให้มาติดกับดักของเธอ เธอต้องได้รับความเชื่อมั่นจากเขาก่อน ลั่วเฮิ่งเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ไซ่ตี้จวิ้นถือเป็นโอกาสหนึ่งของเธอ แต่ว่า คนที่มีอำนาจอย่างไซ่ตี้จวิ้น เขาเป็นคนที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือ ทั้งยังมีคนคอยสนับสนุน เป็นคนที่เจ้าเล่ห์ไม่ต่างกัน ดังนั้นเธอต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี
ขึ้นไปบนรถ ไซ่ตี้จวิ้นคลายยิ้มบางๆ แล้วมองดูเหลิ่งรั่วปิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็โน้มตัวลงมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ กิริยาท่าทางของเขาแสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษและไม่น่ารังเกียจเลยสักนิด
“ขอบคุณค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงยังคงนิ่งเฉยและคงความสง่างาม
รอยยิ้มของไซ่ตี้จวิ้นอบอุ่นมาก น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ “คุณ…เป็นผู้หญิงที่พิเศษมากจริงๆ”
เหลิ่งรั่วปิงทั้งมีสง่าและใจกว้าง ทว่าในเวลาเดียวกันเธอก็รักษาระยะห่างได้ดี “ฉันกับคุณไซ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมคุณถึงรู้สึกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่พิเศษคะ”
“เพราะความถูกชะตา” ไซ่ตี้จวิ้นจ้องมองดูเหลิ่งรั่วปิงตาไม่กะพริบ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหลงใหล “แวบแรกที่ผมเห็นคุณ ผมก็อยากให้คุณเป็นผู้หญิงของผม”
เหลิ่งรั่วปิงหลบสายตาไซ่ตี้จวิ้นที่มองมา เธอคลายยิ้มแล้วพูดเสียงเบา “คุณไซ่คะ เจอกันครั้งแรกคุณก็พูดตรงแบบนี้ คุณอยากบีบให้ฉันลงจากรถของคุณใช่ไหมคะ”
“ฮ่าๆๆ…” ไซ่ตี้จวิ้นหัวเราะ “ครับ ผมไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ผมพาคุณไปทำอะไรสนุกๆ ดีกว่า คุณกล้าไปรึเปล่า”
“คุณไซ่คงไม่คิดจะขายฉันใช่ไหมคะ”
“หึๆ…คำพูดของคุณทำให้ผู้ชายปวดใจจริงๆ” ไซ่ตี้จวิ้นใช้หลังมือลูบจอนผมของเหลิ่งรั่วปิง เขาลูบมันอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นของล้ำค่า “คุณเป็นผู้หญิงที่ผมอยากจะแต่งงานและใช้ชีวิตด้วย ผมจะขายคุณได้ยังไงครับ” ไซ่ตี้จวิ้นยิ้ม “ผมจะพาคุณไปดูการแข่งขันนกพิราบสื่อสาร”
การแข่งขันนกพิราบสื่อสาร เป็นการแข่งขันของอภิมหาเศรษฐี
คนที่ชื่นชอบในการเลี้ยงนกพิราบจะมีการเลี้ยงนกพิราบสื่อสาร โดยพวกเขาจะทำการฝึกฝนสัตว์เลี้ยงของตนแล้วนำมาเข้าร่วมการแข็งขัน
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะนำเครื่องระบุพิกัดผูกกับขาของนกพิราบ เพื่อที่พวกเขาสามารถดูได้ตลอดเวลาว่านกบินไปถึงที่ไหน หลังจากปล่อยนกพิราบออกบินแล้วนั้น ผู้แข่งขันจะขับรถไปยังที่หมาย และจัดงานเลี้ยงฉลองที่นั่น
การแข่งขันนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเงิน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความสนุกในการแข่งขันเท่านั้น
เหลิ่งรั่วปิงคิดไม่ถึงว่า คนที่มีงานยุ่งอยู่ตลอดเวลาอย่างไซ่ตี้จวิ้นจะสนใจการแข่งขันนี้ด้วย “คุณไซ่ คุณอยู่เหนือความคาดหมายของฉันจริงๆ ค่ะ”
ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มร่า “งานอดิเรกของผมมีมากมาย ถ้าคุณยินดีผมก็พร้อมจะพาคุณไปทุกที่”
“…” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มบางๆ ทว่าไม่ได้พูดอะไร
“คุณไม่ปฏิเสธ ผมจะถือว่าคุณยินดีที่จะไปกับผมแล้วนะครับ” พูดจบ ไซ่ตี้จวิ้นก็ขับรถออกไป มุ่งหน้าไปยังสนามแข่งนกพิราบสื่อสาร
“สถานที่จัดงานในวันนี้อยู่ที่ไหนคะ” เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าปกติการแข่งขันนกพิราบสื่อสารนั้นจะอยู่ห่างไกล ส่วนมากจะมีการจัดแข่งขันข้ามเมือง
“เมืองเฟิ่ง”
เมืองเฟิ่งคือเมืองที่เจริญเป็นอันดับสองของประเทศต้าหย่า อยู่ห่างจากเมืองหลงสี่ร้อยกิโลเมตร ตอนที่การแข่งขันจบนั้นพระอาทิตย์ตกดินพอดี จึงเป็นเวลาที่เหมาะแก่การไปร่วมงานเลี้ยง
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ถามอะไรอีก เธอนั่งไปสนามแข่งขันนกพิราบสื่อสารกับไซ่ตี้จวิ้นเงียบๆ ว่ากันว่าผู้หญิงที่มีทักษะด้านการต่อสู้ล้วนใจกล้า และผู้หญิงที่ผ่านภารกิจเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นเธอก็ยิ่งใจกล้ามากกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะเพิ่งรู้จักไซ่ตี้จวิ้น แต่เธอก็ไม่กลัวที่จะไปกับเขา
ทางด้านไซ่ตี้จวิ้นเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขาขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ เขารู้สึกชื่นชมเหลิ่งรั่วปิงมากจริงๆ ผู้หญิงที่ใจกล้าและมีสง่าอย่างเธอ เป็นผู้หญิงแบบที่เขาต้องการ
เมื่อไปถึงสนามแข่งขันนกพิราบสื่อสารที่อยู่ชานเมือง ทุกคนที่นั่นต่างก็กำลังรอไซ่ตี้จวิ้น คนที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ล้วนเป็นพวกอภิมหาเศรษฐี ทว่าสิ่งที่ทำให้เหลิ่งรั่วปิงคิดไม่ถึงก็คือ ลั่วเฮิ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย
ลั่วเฮิงไม่มีวันเป็นพวกคนรักสัตว์แล้วมาเลี้ยงนกพิราบหรอก เขาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ก็เพื่อจะประจบพวกอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ก็เท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ฐานะของเขาไม่ได้ถือว่าแย่ แต่ในสังคมชั้นสูงแบบนี้ก็ยังมีแต่คนคอยดูถูก