เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 73 ผมต้องการให้คุณกลับมาอยู่เคียงข้างผม
ทุกคนต่างก็ยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็ควักปืนออกมาจากกลางอก จากนั้นเล็งไปทางไซ่ตี้จวิ้น “งั้นก็ลองดู ดูว่าแกยังจะมีชีวิตรอดถ้าแย่งผู้หญิงคนนี้ไปจากมือของฉันไหม!”
“…” ไซ่ตี้จวิ้นนึกไม่ถึงเลยว่าหนานกงเยี่ยจะบ้าคลั่งถึงขนาดนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านไป เขาที่เคยเย็นชาเหมือนน้ำแข็งต่อผู้หญิง ตอนนี้กลับใช้ปืนชี้หน้าเขาเพื่อที่จะแย่งผู้หญิง
“ปล่อยมือเธอ ฉันให้เวลาแกสามวินาที” หนานกงเยี่ยจับจ้องไปที่หน้าของไซ่ตี้จวิ้นด้วยสายตาเหี้ยมโหด แล้วพูดขึ้นอย่างเลือดเย็น “หนึ่ง สอง…”
“หนานกงเยี่ย!” เหลิ่งรั่วปิงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโมโหและกัดฟันกรอดด้วยความโกรธเคือง เธอนึกไม่ถึงเลยจริงๆ หนานกงเยี่ยจะบ้าอำนาจขนาดนี้ เขาอยากจะคืนดีกับเธอ แล้วเคยถามความคิดเห็นของเธอบ้างไหม
แน่นอน ทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขา เขาสามารถมองข้ามความคิดเห็นของเธอไป สามารถมองข้ามสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกใบนี้ เขาอยากได้อะไรก็ต้องได้ เขาคงนึกไม่ถึงว่าตนเองจะถูกเขาโยนทิ้งง่ายๆ แบบนี้ ทว่า เธอรู้สึกไม่พอใจ
ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยง หันมามองเป็นตาเดียวกันจากที่ไกลๆ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแค่เห็นหนานกงเยี่ยใช้ปืนจ่อเล็งไปที่ไซ่ตี้จวิ้น นี่ทำให้ทุกคนตกใจมาก ถึงแม้ตระกูลไซ่จะเทียบไม่ได้กับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลหนานกง ทว่าก็คือตระกูลชั้นสูงที่สืบทอดมาเป็นร้อยๆ ปี เรื่องที่เกิดขึ้นมันต้องร้ายแรงขนาดไหนถึงทำให้หนานกงเยี่ยทำแบบนี้
พอเห็นเหลิ่งรั่วปิงทำสีหน้าที่ดูเป็นห่วงไซ่ตี้จวิ้นมาก หนานกงเยี่ยก็ยิ่งโมโห สายตาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกำลังจับจ้องเหลิ่งรั่วปิง แล้วพูดด้วยคำพูดที่หยาบคาย “ผมให้คุณแค่วินาทีเดียว กลับมาอยู่เคียงข้างผม ไม่อย่างนั้นผมจะยิง”
เหลิ่งรั่วปิงโมโหแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้ ก่อนที่หนานกงเยี่ยจะนับเลข เธอก็จับแก้วบนโต๊ะแล้วปาใส่หนานกงเยี่ย ของเหลวสีแดงสดเลอะเปื้อนเสื้อผ้าของหนานกงเยี่ย
สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจและแปลกใจคือ หนานกงเยี่ยกลับไม่ได้หลบ และไม่ได้โกรธ ทว่ากลับก้มหน้าลงแล้วมองด้วยสายตาที่นิ่งเฉย จากนั้นก็วางปืนลง มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัวในความโมโหของเธออยู่เหมือนกัน ผู้หญิงคนนี้มีความเข้มแข็งเหมือนเหล็กกล้า ถ้าบีบบังคับเธอให้เดินไปถึงขั้นนั้น ก็คงจะดึงเธอกลับมาไม่ได้จริงๆ
พอเห็นหนานกงเยี่ยวางปืนลง เหลิ่งรั่วปิงจึงรีบหันหลังแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ออกจากงานเลี้ยง
หนานกงเยี่ยหยุดชะงักไปสองวิ แล้วตามออกไป
ไซ่ตี้จวิ้นดึงสติกลับมา ขณะที่เขากำลังจะตามออกไป ก็มีปืนอันเย็นเฉียบขวางอยู่ตรงหน้าเขา
ก่วนอวี้ใช้ปืนเล็งไปที่ไซ่ตี้จวิ้น แล้วยิ้มอย่างสง่า “ขอโทษด้วยนะครับ ท่านประธานไซ่” เขายิ้มได้กวนประสาทเหมือนเจ้านายของเขา
ไซ่ตี้จวิ้งฮึดฮัดด้วยความโมโห ทว่ากลับไม่มีทางสู้ เขาทำได้เพียงหยุดอยู่ตรงนั้น
ระเบียงที่ยาวเหยียด เหลิ่งรั่วปิงสวมใส่รองเท้าส้นแหลม รองเท้าของเธอกำลังกระทบกับพื้นหินแผ่นใหญ่ เสียงที่ดังก้องขึ้นนั้นคล้ายกับเสียงเปียโนคีย์หนัก คนที่ได้ยินจากที่ไกลๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโมโหของเธอ
จู่ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกมือใหญ่ดึงจากข้างหลัง จากนั้นทั้งตัวของเธอก็ถูกกดไปแนบชิดกับกำแพง จูบที่คุ้นเคยประกบลงบนแก้มและลำคอของเธออย่างดูดดื่ม
จูบของเขาเหมือนจะเก็บกดมานาน เขาดูเหมือนจะหิวกระหายมาก
เหลิ่งรั่วปิงหลบซ้ายหลบขวา แล้วตะคอกอย่างโมโห “หนานกงเยี่ย คุณมันสารเลว! อื้ม…”
วินาทีต่อมา ปากที่กำลังจะด่าขึ้นอย่างโมโหก็ถูกปิดไว้ จากนั้น ลมหายใจทั้งหมดของเธอเหมือนถูกเขาแย่งไปหมด
ลมที่พัดผ่านเข้ามาตรงระเบียงไม่ได้อบอุ่นเหมือนในงานเลี้ยง เธอสวมใส่ชุดเดรสตัวบางเปิดไหล่ และเมื่อบวกกับเรือนร่างที่แนบชิดกับกำแพงในเวลานี้ ทำให้เธอรู้สึกหนาวจนตัวสั่น คล้ายว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความหนาวของเธอ จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็กอดเธอไว้แน่น จากนั้นเอาเสื้อโค้ทตัวใหญ่ของเขาคลุมตัวเธอไว้ แล้วจูบเธอโดยไม่เว้นระยะหายใจ
ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะเก่งเรื่องการต่อสู้ ทว่าหนานกงเยี่ยก็เก่งกว่าเธอมาก ไม่ว่าอย่างไรแรงของผู้ชายกับผู้หญิงก็แตกต่างกันอยู่แล้ว เธอไม่สามารถหลุดพ้นจากการจับกุมตัวของเขา สุดท้ายก็ถูกเขาจูบจนหมดเรี่ยวแรง เหลิ่งรั่วปิงทรุดตัวลงตรงกลางอ้อมกอดของเขาอย่างอ่อนแอ
พอเห็นคนที่อยู่ในอ้อมกอด หนานกงเยี่ยจึงเลียรสชาติของเธอบนริมฝีปากล่างของตน จากนั้นเขาก็ยกยิ้มบางๆ นี่เป็นรอยยิ้มแรกในรอบครึ่งเดือนที่ผ่านมา
“กลับเมืองหลงกับผม หืม?” หนานกงเยี่ยพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่า
เหลิ่งรั่วปิงเหมือนกำลังตื่นจากฝัน จู่ๆ เธอก็พยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็มีลมอันเหน็บหนาวซัดเข้ามาอย่างกะทันหัน จนทำให้เธอตัวสั่นอีกครั้ง หนานกงเยี่ยเห็นสภาพของเธอ จึงถอดเสื้อโค้ทของตัวเองออก แล้วคลุมบนไหล่ของเธอ
เหลิ่งรั่วปิงสะบัดออกมาไม่ยอมรับความหวังดีจากเขา “หนานกงเยี่ย คุณจะทำอะไรกันแน่ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของคุณอีกแล้ว ทำไมฉันต้องเชื่อฟังคุณด้วย”
หนานกงเยี่ยเผยรอยยิ้มตรงมุมปากโดยไม่รู้ตัว ผู้หญิงคนนี้เคยชินกับการปิดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไว้ และชินกับการคงความสง่าและนิ่งสงบ ทว่าวันนี้ เขากลับเห็นอารมณ์ที่หลากหลายของเธอ
หนานกงเยี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มพลางพูดขึ้น “ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะกลับกับผม”
“ยังไงฉันก็จะไม่กลับกับคุณ!”
“ไม่อยากได้สิทธิ์ในการออกแบบแลนด์มาร์กของเมืองหลงแล้ว?”
“คุณหมายความอะไร”
“ถ้าวันนี้คุณไม่กลับเมืองหลงกับผม ผมจะยึดสิทธิ์ของการออกแบบแลนด์มาร์กคืน” ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขาจะต้องเอาเธอกลับเมืองหลงให้ได้ ถ้าปล่อยเธอให้อยู่กับไซ่ตี้จวิ้น เขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหน
“หนานกงเยี่ย คุณมันปัญญาอ่อน!” เหลิ่งรั่วปิงโมโหจนกัดฟันกรอด นึกไม่ถึงว่าหนานกงเยี่ยที่เป็นคนขับเคลื่อนทุกอย่างของบริษัท กลับเล่นละครแบบนี้ออกมาได้ อำนาจการออกแบบแลนด์มาร์ก บอกจะให้ก็ให้ บอกจะยึดก็ยึดเลยหรือไง
หนานกงเยี่ยไม่สนใจว่าเธอจะขัดขืนยังไง เขาเอาเสื้อโค้ทคลุมตัวเธออีกครั้ง แล้วพูดขึ้นอย่างอดทน “ผมพูดจริงทำจริง คุณจะกลับหรือไม่กลับ”
“แน่นอนว่าฉันจะกลับไป ถ้าไม่กลับแล้ววันจันทร์จะไปทำงานได้ยังไง แต่ฉันแค่ไม่กลับกับคุณ!” เขากำลังจะกินของเก่าที่ตนเองทิ้งไป ตอนนี้เขาถือเป็นบุคคลอันตราย เธอต้องอยู่ห่างเข้าไว้
จู่ๆ สีหน้าของหนานกงเยี่ยก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงแข็งและเย็นชากว่าเดิม “เหลิ่งรั่วปิง มีชีวิตดีๆ แบบนั้นไม่ชอบ? ยังอยากจะอยู่ต่อแล้วไปกับไซ่ตี้จวิ้นใช่ไหม” เขานั่งเฮลิคอปเตอร์มารับเธอตอนกลางดึก เธอกลับไม่ยอมกลับกับเขา บนโลกใบนี้มีใครกล้าปฏิเสธเขาแบบนี้บ้าง
“นั่นมันเรื่องของฉัน คุณหนานกง ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณเซ็นสัญญาเลิกรากับฉันแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าคุณหรือฉันจะแต่งงานก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
หนานกงเยี่ยรู้ดี ดังนั้นเขาจึงพยายามใจเย็นลง “ผมจะให้คุณกลับมาอยู่กับข้างผม”
“เหอะ” เหลิ่งรั่วปิงมองหนานกงเยี่ยอย่างเยาะเย้ย “ได้ข่าวว่าคุณหนานกงไม่เคยกินของเก่า วันนี้เป็นอะไรไปคะ กระหายผู้หญิงมากหรอคะ”
หนานกงเยี่ยถูกเยาะเย้ยอย่างไม่ให้เกียรติ ความโมโหพุ่งขึ้นมาอีก “เหลิ่งรั่วปิง เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งหลายวัน คุณไม่คิดถึงผมสักนิดเลยหรอ”
“ไม่คิดถึงเลยค่ะ”
“คุณ!” หนานกงเยี่ยกัดฟันกรอด เขาอยากจะตบหน้าเธอจนใจจะขาด เขาคิดถึงเธอขนาดนี้ เธอกลับไม่คิดถึงเขา เธอจะรู้บ้างไหมว่าเขาผิดหวังมากแค่ไหน “คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมสักนิดเลย”
“คุณหนานกง อย่าพูดเรื่องความรู้สึกกับฉัน ถ้าพูดเรื่องความรู้สึกกับฉันมันจะทำให้คุณต้องเสียเงิน!”
พูดถึงความรู้สึกจะทำให้เสียเงิน! หนานกงเยี่ยรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งทับอยู่ในใจ “อยู่กับไซ่ตี้จวิ้นก็เพราะเงิน?”
“ระหว่างฉันกับเขาเราไม่เคยพูดถึงเรื่องเงิน”
หนานกงเยี่ยดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็กัดฟันแล้วจับคางของเธอไว้ “คุณกับเขาอยู่ด้วยกันเพราะความรู้สึก?”
“ระหว่างฉันกับเขาไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนโดยใช้เงินกับร่างกาย แล้วทำไมต้องอยู่กับเขาเพราะเรื่องเงินด้วย” เหลิ่งรั่วปิงมองหนานกงเยี่ยอย่างดื้อรั้น ไม่ว่าเขาจะหว่านล้อมยังไงก็ตาม เธอก็ไม่อยากเป็นนางบำเรอของเขาอีกแล้ว
“คุณอยู่กับผมเพื่อเงินงั้นสิ? ได้!” หนานกงเยี่ยปล่อยเหลิ่งรั่วปิงออก จากนั้นก็หยิบเช็คและปากกาออกมา เขาเซ็นเช็คอย่างรวดเร็วพร้อมกับเว้นช่องตัวเลขเอาไว้ จากนั้นก็ยัดเข้ามาในมือของเหลิ่งรั่วปิงด้วยความรุนแรง “ตอนนี้ล่ะ พอใจหรือยัง”
เหลิ่งรั่วปิงเอาเช็คเป่าข้างปากอย่างดูถูก จากนั้นก็ค่อยๆ ยัดเข้ามาในคอเสื้อของหนานกงเยี่ย “คุณหนานกง บนโลกใบนี้ ผู้ชายมีเงินสามารถซื้อผู้หญิงมากมาย แต่มีผู้หญิงประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถซื้อมาด้วยเงิน อย่างเช่น…ฉัน! ฉันเหลิ่งรั่วปิงไม่ยอมกลับไปกินของเก่า ต่อให้เพื่อเงิน ฉันก็จะหาผู้ชายคนอื่น”
เธอยังอยากจะหาผู้ชายคนอื่น!
นัยน์ตาของหนานกงเยี่ยกำลังลุกโชนเป็นไฟอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจของเขายิ่งอยู่ยิ่งแรง กล้ามเนื้อบริเวณแผงอกของเขาคลายและหดตัวเป็นจังหวะๆ น้ำเสียงทั้งโหดเหี้ยมและน่ากลัว “ไปหาใคร ไซ่ตี้จวิ้นหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงเผชิญกับสายตาของเขาอย่างนิ่งเฉย “เขาเป็นหนึ่งในคนที่ฉันพิจารณา” เธอต้องการจะกวนประสาทเขา ทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะนำตัวเธอกลับไป
“เหลิ่งรั่วปิง!” หนานกงเยี่ยเปล่งสามพยางค์นี้ออกมาจากร่องฟัน จากนั้นยื่นมือออกมาแล้วจับข้อมือของเหลิ่งรั่วปิง เขาใช้กำลังลากเธอออกไปด้านนอก
เหลิ่งรั่วปิงไม่มีทางเชื่อฟังเขาแต่โดยดีแน่นอน ดังนั้นเธอจึงจะต่อสู้กับเขา แน่นอนว่าหนานกงเยี่ยต้องไม่ยอมให้เธอทำร้ายร่างกายเขาแน่นอน ทั้งสองคนจึงฉุดกระชากลากถูกันบนทางเดินของระเบียง
การต่อสู้ของเหลิ่งรั่วปิงนั้นโหดเหี้ยมมากๆ หนานกงเยี่ยเพียงแค่ต้องการควบคุมตัวเธอ เขาไม่มีทางทำให้เธอเจ็บตัว เดิมทีเหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ใช่คู่ปรับของเขาอยู่แล้ว อีกทั้งเวลานี้เธอยังสวมใส่รองเท้าส้นสูงและชุดกระโปรงที่ยาวเหยียด ตอนที่เคลื่อนไหวก็ทำให้ไม่สะดวกมาก เธอพยายามสู้เขาอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็ถูกหนานกงเยี่ยควบคุมตัว ท่าไม้ตายสุดท้ายของเธอ กลับถูกหนานกงเยี่ยพลิกตัวแล้วไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
หนานกงเยี่ยก้มหน้าลงชิดกับหูของเธอ แล้วกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาและเซ็กซี่ “ยังจะสู้กันอีกไหม หือ”
เหลิ่งรั่วปิงกัดริมฝีปากล่างแน่นแล้วออกแรงที่เท้า เธอกำลังจะใช้รองเท้าส้นสูงเหยียบเท้าของหนานกงเยี่ย หนานกงเยี่ยกลับรีบหันหมุนตัวหลบ และถือโอกาสตอนที่หนานกงเยี่ยปล่อยมือ เธอก็หลุดออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วกำลังจะวิ่งหนีไป ทว่าหนานกงเยี่ยก็ยื่นมือออกไปจับเชือกผูกกระโปรงตรงบริเวณเอวของเธอ
สุดท้ายทั้งสองออกแรงพร้อมกัน จึงได้ยินเพียงเสียงที่เนื้อผ้าฉีกขาด กระโปรงของเหลิ่งรั่วปิงหลุดทันที เหลือแค่กางเกงในและที่แปะจุกนม
ก่วนอวี้ที่กำลังยืนรอรับคำสั่งไม่ไกลรีบหลับตาลงทันที จากนั้นก็หันหลังเอาหน้าเข้าหากำแพง เขากำลังคิดว่าถ้าเขามองอะไรที่ไม่ควรมอง คุณชายเยี่ยจะควักลูกตาของเขาทิ้ง
เหลิ่งรั่วปิงก้มหน้ามองตัวเอง แล้วเงยหน้ามองหนานกงเยี่ย จากนั้นกัดฟันกรอด “หนานกงเยี่ย คุณมาสารเลว!”
หนานกงเยี่ยตกตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เหมือนตื่นจากฝัน แล้วรีบเก็บเสื้อโค้ทขึ้นมาจากพื้น แล้วก็เอาไปห่อหุ้มเรือนร่างของเหลิ่งรั่วปิงไว้แน่น และช้อนตัวเธอขึ้น จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปข้างนอก พอเดินไปแค่สองก้าวก็เหมือนจะนึกอะไรออก จากนั้นก็หันไปมองก่วนอวี้ที่กำลังหันหน้าเข้าหากำแพง แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา “เมื่อกี้นายเห็นอะไรไหม”
“เปล่า…ไม่เห็นอะไรเลยครับ คุณชายเยี่ย!”
“เหอะ ทางดีที่สุดก็อย่าให้เห็นอะไร ไม่งั้นระวังตัวไว้ ฉันจะมาควักลูกตานายทิ้ง!” พูดจบ หนานกงเยี่ยก็หันไปแล้วเดินหน้าต่อ
เหลิ่งรั่วปิงทั้งโมโหทั้งอับอาย อยากจะยื่นมือออกไปทุบตีเขา ทว่าเธอถูกเสื้อโค้ทตัวใหญ่ห่อหุ้มไว้ ดังนั้น เธอจึงขยับเข้าไปใกล้คอหนานกงเยี่ย แล้วกัดลงไปแรงๆ จนมีเลือดไหลออกมา เธอถึงจะปล่อยออก
ก่วนอวี้ที่อยู่ข้างๆ เห็นจึงรู้สึกตกใจมาก เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนแรกที่กล้ากัดหนานกงเยี่ย
ทว่าหนานกงเยี่ยกลับไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ในทางกลับกันเขากลับก้มหน้าลงแล้วยิ้ม “หายโมโหหรือยัง”
พอเห็นเลือดตรงลำคอของหนานกงเยี่ยไหลรินลงมา จู่ๆ เหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกกลัวที่ทำแบบนั้นลงไป เธอกล้ากัดคุณชายที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองหลง! ถ้าเมื่อกี้เขาโมโหขึ้นมาอาจจะหักคอเธอเลยก็ได้ หรืออาจจะถอนสิทธิ์ในการออกแบบแลนด์มาร์กของเมืองหลงไปก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอคงเสียหายหมดแน่
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจจนต้องหลบสายตาของหนานกงเยี่ย เธอเอาแก้มไปแนบชิดกับคอเสื้อของเขา และไม่กล้าพูดอะไรอีก