เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ - บทที่ 229 ความจำเสื่อมเหรอ?
เมื่อเล่อจยาได้ยินเสียงนี้ ก็หันกลับไปอย่างเชื่องช้า มองหาที่มาของเสียง จากนั้นก็ปิดปาก กรีดร้องออกมา”พ่อ……” แล้วรีบวิ่งไปที่ถนน
เมื่อเห็นรถคันหนึ่งวิ่งเข้าหาเธอ เธอยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ ชั่วพริบตาก็ถูกคนคนหนึ่งนำมาไว้ในอ้อมกอด
“คุณอยากตายเหรอ? ไม่เห็นรถหรือไง? ” เกาไห่แผดเสียงอยู่ข้างๆ หูเธอ
เล่อจยาเงยหน้ามองเขา จะร้องไห้ ทว่าไม่ได้พูดอะไรมาก หันกลับไป เดินเบียดเสียดฝูงชน เลือดแดงฉาน มันบาดตาจนเล่อจยาไม่สามารถลืมตาได้ เธอคุกเข่าลงตรงหน้าพ่อเล่อ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางมือไว้ที่ไหน
“พ่อ……พ่อ……” เธอตะโกนเรียกเบาๆ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ตอบกลับอีกแล้ว
เกาไห่คุกเข่าข้างหนึ่งลง เอามือแตะที่จมูกพ่อเล่อ จากนั้นก็ส่ายๆ หัวกับเล่อจยา “เสียใจด้วย”
ฉับพลันโดยรอบก็มีเสียงอื้ออึงขึ้น
ได้ยินเสียงวัยรุ่นคนหนึ่ง ล้มลงบนพื้น ในปากบ่นพึมพำว่า “เขาวิ่งออกมาได้อย่างไร ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจชนเขานะ”
เล่อจยามองไปที่พ่อของเขาที่ยังพูดคุยกันอยู่เมื่อกี้ แต่เวลานี้ต้องพรากจากกันอย่างไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว เธอแปลกใจมากที่ไม่มีน้ำตาเลย เธอกัดริมฝีปาก ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันกลับฝ่าฝูงชนออกไป แต่ว่าไม่เห็นเล่อเหวินแล้ว เธอหลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง มีความเกลียดชังและความเสียใจอยู่ในแววตา
ถ้ารู้อย่างนี้ เมื่อกี้เธอจะไม่ทะเลาะกับพ่อเลย แล้วก็จะไม่บังคับให้เขาโทรหาเล่อเหวิน บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
ต่อจากนั้นเล่อจยาก็หมดสติไป
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ฝ้าเพดานที่สวยงาม โคมไฟระย้าที่สวยหรู นี่มัน……ที่ไหนกัน?
เสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินมาหาเธอ
มุมปากเล่อจยายกยิ้มขึ้นอย่างสวยงาม เธอต้องฝันไปแน่ๆ มิเช่นนั้น จะเห็นเกาไห่ในชุดนอนได้อย่างไร?
จนกระทั่งบนหน้าผากมีมืออุ่นๆ มาปกคลุม เธอจึงตกใจ นี่ไม่ใช่ความฝัน
ใบหน้าที่ขาวผ่องของเธอแดงขึ้นมาทันที กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “เกา……เกาไห่? คุณ……ฉัน……ที่นี่ที่ไหนเหรอ? ”
เกาไห่มองเธอ “ตัวไม่ร้อนแล้ว ดูเหมือนว่าสมองก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
พูดจบ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“หิวไหม? ”
เล่อจยาพยักหน้า “หิว”
ต่อจากนั้นเกาไห่ก็ยกโจ๊กกับเครื่องเคียงมาให้เล่อจยา “ทานอาหารอ่อนๆ ไปก่อน เพื่อรองกระเพาะ หมอบอกว่า คุณเพิ่งฟื้นจากหมดสติ ไม่สามารถให้ทานอะไรมากมายได้”
เล่อจยาพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “คุณ……คุณบอกว่าฉันหมดสติเหรอ? ”
เกาไห่ตกตะลึง หรี่ตามองเธอ “อย่าบอกฉันนะว่า คุณไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงหมดสติไป? ”
เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองเขา จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา “เมื่อวานฉันช่วยคุณที่ถูกพวกอันธพาลนั้นหาเรื่อง ก็เลยถูกตีใช่ไหม? ฉะนั้น ฉันเลยหมดสติไป”
มือของเกาไห่ที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ชะงัก เขาหันกลับไปมองเล่อจยาทันที “พวกอันธพาลอะไร? ”
เล่อจยาตักโจ๊กข้าวฟ่างบนโต๊ะมาเป่าให้เย็น แล้วป้อนเข้าปาก “ไอ๋หยา ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถึงอย่างไรคนอื่นก็ไม่รู้ อีกอย่าง……ก็ไม่ต้องอายหรอก” พูดจบ ก็ตักโจ๊กเข้าปาก แล้วพูดพึมพำว่า : “เพียงแต่ว่า ฉันจำได้ว่าฉันจัดการจนพวกเขาวิ่งหนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงหมดสติไปได้ล่ะ? น่าจะไม่ได้ออกกำลังกายนาน ดังนั้นความแข็งแรงของร่างกายจึงไม่ค่อยดี”
พูดจบ ก็กินโจ๊กที่ก้นชาม แล้ววางชามลง ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดปาก เงยหน้าขึ้น พบว่าเกาไห่กำลังจ้องมองเธออยู่ ใบหน้าแดงก่ำ “คุณ…..ทำไมคุณมองฉันอย่างนั้นล่ะ? ”
ความจริงคือเกาไห่ตกตะลึง ช็อกกับเรื่องสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือ ผู้หญิงคนนี้ คล้ายกับจะลืมเรื่องที่สลบไปก่อนหน้านี้ และเรื่องการตายของพ่อเธอ
แล้วอีกเรื่องหนึ่ง คือ….เรื่องที่เธอบอกว่าจัดการกับอันธพาลเหล่านั้น ใน…..ความทรงจำของเขา เหมือนกับว่าจะมีช่วงเวลานี้ ตอนนั้นเขาอยู่ปีสี่ เวลานั้น เขาถูกอันธพาลล้อมเอาไว้ แล้วเหมือนกับว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง มาช่วยเขา เพียงแต่เวลานั้น เพราะเกาเหวินเกิดเรื่องเล็กน้อย เขาจึงจากไปโดยไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเธอสักคำ
หรือว่า….คือเธอ?
“คุณบอกฉันมาซิว่า วันนี้ คือวันอะไร? วันที่เท่าไรเดือนอะไร? ”
เล่อจยากะพริบๆ ตา คิดๆแล้ว เธอมองไปยังนอกหน้าต่าง กล่าวตอบกลับว่า: “อืม ถ้าเมื่อคืนนอนอยู่ที่นี่กับคุณทั้งคืน อย่างนั้น ตอนนี้ก็คือวันที่23 เดือนกันยายน วันพุธ เมื่อวานคือวันอังคาร ฉันทำงานพาร์ตไทม์ ตอนที่ไปทำงานพาร์ตไทม์ จึงได้พบกับคุณ” เธอพูดอย่างมั่นใจ
เกาไห่มองนาฬิกาข้อมือ ขมวดคิ้ว วันที่23 เดือนกันยายนจริงๆ แต่….เป็นวันเสาร์ เขาจึงกล่าวถามต่อไปว่า: “ปีนี้คุณอายุเท่าไรแล้ว คุณทำงานอะไร? ”
เล่อจยาหัวเราะเยาะ”คิกคัก” “ฉันเป็นนักศึกษา อายุเท่าไร? อันนี้ คุณถามมากไปหน่อยหรือเปล่า? อายุของผู้หญิงล้วนเป็นความลับ” หยุดชะงักเล็กน้อย เธอจึงกล่าวต่อไปว่า: “เพียงแต่ ยกเว้นคุณ ฉันสามารถบอกคุณได้ ฉัน…..ปีนี้ฉันอายุ20เต็ม ย่างเข้า21แล้ว เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง สาขาการออกแบบสถาปัตยกรรม”
นิ้วมือที่เรียวยาวของเกาไห่ลูบที่หน้าผาก เขาสูดลมหายใจเข้า แล้วก็ถอนหายใจออกอย่างแรง “คุณ….พักผ่อนเถอะนะ ฉันจะไปถามหมอให้มาดูคุณ ว่าคุณจะมีอาการอะไรอีกไหม? ” พูดจบ เกาไห่ก็รีบก้าวเท้าเดินออกไป
การตอบสนองนี้ของเล่อจยา ไม่เหมือนกับการเสแสร้งโดยสิ้นเชิง พ่อก็เพิ่งตายไป เรื่องราวแบบนี้ การตอบสนองแบบนี้ คนปกติไม่สามารถเสแสร้งได้
อย่างนั้น….มันเกิดอะไรขึ้น?
เวลานี้ ซูหย่าเห็นเขาออกมา จึงเดินเข้าไปหา “ประ….ประธานเกา จยาจยาฟื้นแล้วเหรอ? ทางด้านหอฌาปนกิจโทรมา ถามเธอว่าเมื่อไร จะจัดการเรื่องงานศพของคุณลุง”
เกาไห่พยักหน้า “ฟื้นน่ะฟื้นแล้ว”
“อ้อ โอเค อย่างนั้นฉันเข้าไปหาเธอก่อนนะ” ซูหย่าพูดพลาง จะเดินเข้าไปยังด้านใน
“เดี๋ยวก่อน” เกาไห่เรียกให้เธอหยุด
ซูหย่าขมวดคิ้ว หันกลับไปมองเกาไห่ “ประ…..ประธานเกา มีเรื่องอะไรเหรอ? ”
เกาไห่มองซูหย่า ในทันทีก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเธออย่างไร คิดๆแล้ว เขาก็เอ่ยปากถามว่า: “คุณซู คุณรู้จักกับเล่อจยาตั้งแต่เมื่อไร? ”
ซูหย่างุนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายของเกาไห่ แต่ก็ยังตอบกลับตามความเป็นจริง “อืม พวกเราเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันตอนมหาวิทยาลัย”
“อย่างนั้น คุณก็ต้องรู้จักเขาตั้งแต่มหาวิทยาลัยใช่ไหม? ”
ซูหย่าพยักหน้า ถึงแม้เริ่มแรกจะไม่ค่อยสนิทกับเล่อจยา แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้น ไม่ผิด!
“อย่างนั้น ที่เธอ….เธอเคยช่วยชีวิตฉัน เรื่องนี้คุณรู้ไหม? ”
ซูหย่าได้ยิน สีหน้าก็ดีใจ “จยาจยา เธอบอกคุณเองเหรอ? ”
เกาไห่หันกลับ สูดลมหายใจ แล้วหันตัวกลับ มองซูหย่า กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณซู ฉันสงสัยว่า เล่อจยา เธอความจำเสื่อม”
ซูหย่านิ่งอึ้งไป ต่อจากนั้น เธอก็อดปากกลั้นหัวเราะ “ประธานเกา คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ความจำเสื่อมเหรอ? คุณคิดว่าเป็นละครทีวี หรือนิยายเหรอ? ”