เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ - บทที่ 310 เสี่ยวอู๋เสียชีวิต
ปี๋ไคสตาร์ตรถ “ไม่รู้จัก”
ซูหย่าถามอีกครั้ง “อย่างนั้นคุณรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร?อีกทั้ง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนี้?”
“บอกแล้ว คุณจะไม่โกรธใช่ไหม”
“คุณบอกมา……ไม่โกรธ”
“ฉันติดเครื่องดักฟังไว้ที่เคสมือถือของคุณ”
ซูหย่ายกมือขึ้นมาตีปี๋ไคอย่างแรง “ปี๋ไค คุณ……ทำไมคุณเลวทรามแบบนี้?”
เธอต่อว่า แต่ปี๋ไคยังคงเงียบนิ่งเฉย จนกระทั่งซูหย่าตั้งสติได้ เขาจึงพูดว่า “วันนั้นหลังจากทานอาหารแล้ว กลัวว่าเขาจะกลับไปทำอะไรแย่ๆกับคุณ คิดๆแล้ว ฉันเลยใส่อันนี้ไว้ในเคสมือถือของคุณ เมื่อวานได้ยินเรื่องระหว่างพวกคุณแล้ว ฉันก็เป็นห่วง วันนี้เลยตัดสินใจมาดูคุณสักหน่อย”
ความโกรธเกรี้ยวของซูหย่า หลังจากที่เห็นความเจ็บปวดใจในแววตาของเขา ใจก็อ่อนลง ความโกรธก็ลดลงมา เธอจ้องมองเขา เปิดเคสมือถือออก เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่เคสมือถือมีของเล็กๆกลมๆติดอยู่ เพราะว่าบางมือจึงคลำไม่รู้
เธอฉีกมันออก พร้อมกับจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง คิดๆแล้วก็เก็บกลับมา “มันเปิดปิดได้ไหม?”
ปี๋ไคพยักหน้า “มี ข้างๆมีปุ่มกด”
ซูหย่ากดลง ได้ยินเสียงดัง”คลิก”เบาๆ แล้วใส่มันกลับไปที่เคสมือถือเหมือนเดิม “เก็บไว้ เผื่อไว้ หลังจากนั้น คุณต้องชดใช้ โดยวิธีการส่งมือถือมาให้ฉัน”
“ไม่ใช่คุณต้องการจะเอาไว้ตรวจสอบสามีคุณใช่ไหม?ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย ใช้เครื่องดักฟังกับทหาร ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก” ปี๋ไครู้จักซูหย่าดี เขากลอกตาไปมา เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ
ซูหย่าตกตะลึง กระแอมไอเบาๆ “ฉัน……ฉันจะเก็บไว้ใช้เอง”
เธอมีนิสัยดื้อดัน ปี๋ไครู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่พูดแล้ว
รถขับไปยังที่ที่โอวหยางเฟิงเคยจอดไว้ก่อนหน้านี้ แต่รถทหารสีเขียวคันนั้น หายไปแล้ว “ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปแล้ว คุณส่งฉันกลับไปค่ายทหารหน่อยเถอะ”
นึกถึงว่าเซียวอู๋ต้องรู้ว่าเธอถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
พอถึงหน้าประตูทางเข้าค่ายทหาร ปี๋ไคก็นำของมาวางไว้หน้าป้อมทหาร “คุณให้คนช่วยยกไปส่งนะ อย่าถือเอง ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้ยินไหม?”
ซูหย่าพยักหน้า “อย่างนั้นคุณกลับไปก็ขับรถดีๆนะ” พูดจบ ก็ช่วยจัดระเบียบผ้าพันคอของเขา “มีธุระหรือไม่มี ก็โทรหาฉันได้นะ”
ปี๋ไคก็ลูบๆผมเธอ “เสี่ยวหย่าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไปแล้ว”
“น่ารำคาญ คุณรีบกลับไปเถอะ”
แม้จะรู้ดีว่าการแยกจากกันนี้คงอีกไม่นาน แต่ว่าซูหย่าต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังคงรู้สึกได้
หันกลับมาจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถแล้ว เธอจึงหันกลับไป ปากเบะขอบตาแดงก่ำ
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น จะกลับมาทำไม?” เสียงผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง
ซูหย่าหันไป ตาทั้งคู่ก็ประสานกัน ในแววตาอีกคนหนึ่งมีน้ำตา ในแววตาอีกคนหนึ่งมีความโกรธ
“คุณ……คุณออกมาได้อย่างไร?”
ชายคนนั้นมองไปที่ถุงใหญ่สี่ใบบนพื้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “คุณคิดว่ามาเที่ยวที่นี่เหรอ?”
“คุณไม่ใช่ แต่ฉันใช่” พูดจบก็คิดจะเดินไปหยิบของ มือใหญ่ของชายคนนั้นก็เข้าไปแย่งเธอถือขึ้นมา แล้วมองเธอตาขวาง
เพราะการอาศัยอยู่ที่นี่ต้องมีกฎระเบียบ ดังนั้น ตลอดทางนี้ พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบตลอดจนถึงหอพัก
หลังจากเซียวอู๋เอาของวางไว้ให้แล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่ามีธุระ
ซูหย่าจัดของว่าง ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆอย่างเรียบร้อย และในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้น เธอจะไม่อดตายแล้ว
อาจจะเพราะตอนเช้าทรมานเกินไป เพิ่งจัดของเสร็จ ซูหย่าก็รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงเอนกายลงบนเตียง แล้วหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “จบเห่แล้ว เลยเวลาทานข้าวไปแล้ว”
“นอนไปตั้งสี่ชั่วโมงกว่า เชื่อเลยจริงๆ!” เสียงของเซียวอู๋ ประชดประชันอย่างนิ่งๆ
ซูหย่าจึงได้เห็นว่า เขายืนอยู่ข้างๆโต๊ะ หยิบปากกาแล้วดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ
เธอหัวเราะแหะๆ “คุณ….ทำไมคุณไม่เรียกฉัน?”
“ก๊อกๆ”
“เข้ามา”
“รายงานหัวหน้าทหาร อาหารที่ให้ฉันไปอุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว”
“ยกเข้ามาสิ”
เห็นอาหาร ซูหย่าก็นึกขึ้นได้ อาหารที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้อยู่บนรถของปี๋ไค
เธอลุกขึ้น มองเซียวอู๋ แล้วพูดเบาๆว่า” “ขอบคุณนะ”
หลังจากทานเสร็จ ซูหย่าก็มองเซียวอู๋ “ฉันซื้อของกิน แล้วก็ของใช้มาเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในชั้นวางของใต้โต๊ะ คุณต้องการก็หยิบไป”
เซียวอู๋”อืม”เบาๆจนแทบไม่ได้ยิน
วันต่อมา ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เซียวอู๋ยุ่งอย่างมาก ออกไปแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน เธอดำเนินชีวิตทุกวันเหมือนกับเลี้ยงหมูจริงๆ ทุกวันทานข้าว ดูละคร แล้วก็นอน
ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันเอะอะโวยวาย ก็ไม่เคยสงบแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทีแรกซูหย่าก็ไม่เคยชินเล็กน้อย ต่อมา เห็นว่าเซียวอู๋ไม่หาเรื่องทะเลาะกับเธอ จึงค่อยๆไม่ก่อเรื่องทะเลาะ คุณไม่รุกรานฉัน ฉันก็ไม่รุกรานคุณ
อากาศเริ่มเย็น เปลี่ยนเป็นเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หมอบอกว่าสามเดือนต้องมาตรวจครรภ์
แต่ความสัมพันธ์กับเซียวอู๋ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาแม้แต่น้อย
เธอไม่แน่ใจว่า หลังจากบอกกับเซียวอู๋ไปแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ดังนั้น สุดท้ายเธอทำได้เพียงพึ่งเล่อจยา
“เซียวอู๋ เอ่อคือ จยาจยาบอกว่า พรุ่งนี้จะเข้ามาเยี่ยมฉัน”
เซียวอู๋ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่ ขมวดคิ้วแน่น พอได้ยินคำพูด ก็หันไปมองเธออย่างมีความหมายแฝง “ตกลงคือเล่อจยาหรือว่าไอ้ละอ่อนนั่น คุณพูดความจริงมาก็ได้นะ”
ซูหย่าไม่คาดคิดว่า เซียวอู๋จะพูดกับเธอแบบนี้
เดิมทีเธอคิดว่า คนทั้งสองไม่สามารถรักใคร่ซึ่งกันและกันได้ แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ไม่นึกเลยว่า ภายในใจเขายังคงสงสัยในตัวเธอ
จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่บอกคุณเฉยๆ”
เซียวอู๋วางปากกาที่อยู่ในมือแล้วมองซูหย่า “ซูหย่า เรื่องบางเรื่อง ที่ฉันไม่พูด ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ คุณกับไอ้ละอ่อนนั่น เรื่องที่ไปเจอกันลับหลังฉัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้วแล้วร้องเชอะอย่างเย็นชา “พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ทุกๆคืนคุณก็ไปเจอกับเมียน้อยคนนั้น คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “เมียน้อยอะไรกัน?ไม่มีเหตุผล”
“อย่างนั้นต่างฝ่ายก็อย่ามายุ่งเรื่องของกันและกัน ฉันจะนัดเจอกับใคร ก็นัดไป คุณอยากจะไปเจอเมียน้อย ฉันก็ตามใจคุณ” พูดจบ ก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเอาไว้แน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกอึดอัดสับสนขึ้นมาทันที เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกลายเป็นแบบนี้
พอถึงนึก ถ้าต้องเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ในใจเธอก็ต้องเป็นทุกข์
เธออยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับสามีภรรยา ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องเคารพนบนอบต่อกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?ไม่มีคำพูดสองประโยคนี้ ชีวิตก็เหมือนกับกินดินระเบิด คิดแล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน
“นี่คือคุณเล่นเป็นเด็กๆเหรอ?” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังเข้ามาจากด้านบนศีรษะ