เทพบุตร ทวงแค้น / เทพศึกมังกรหวนคืน - บทที่ 130 ปล่อยคนในนามกองทัพต้าหัว
ถังเล่อ ผมของประกาศในนามกองทัพต้าหัว ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้
คำพูดของฉีหยุนทำให้ถังเล่อสั่นไปทั้งตัว ดูคล้ายมีเจตนาฆ่าส่งออกมาจากปลายสาย ซึ่งทำให้เขาหายใจไม่ออก แล้วพยักหน้าซ้ำๆ ครับๆๆ
หลังจากวางสายโทรศัพท์
ร่างกายของถังเล่อเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ ราวกับว่าเพิ่งกลับมาจากนรก แต่หลังจากมึนงงไปครู่หนึ่ง เขาก็นึกอะไรออกเรื่องหนึ่ง
เขาจำได้ว่า หวางเชียนบอกว่าจะจัดการฉินเฟิง
แม่จ๋า อย่าแตะต้องคนคนนั้นเด็ดขาดนะ!
รอยความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของถังเล่อ ฉินเฟิงสามารถทำให้ประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ รองผู้นำของเจียงเฉิง รวมถึงพันเอกจากกองทัพต้าหัวโทรมาขอให้ปล่อยตัว
แค่คิดก็พอจะรู้สถานะของคนคนนี้
ไม่ธรรมดาเลย
ต้องเป็นคนที่พวกเขาล่วงเกินไม่ได้แน่นอน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ถังเล่อก็ออกแรงสุดกำลังเพื่อลุกขึ้น แล้วเดินไปทางห้องใต้ดิน พลางพึมพำกับตัวเองว่า ห้ามลงมือเด็ดขาด ห้ามลงมือเด็ดขาด ทันทีที่ลงมือ กรมตรวจสอบแห่งเมืองของพวกเราจะถูกรถถังบดขยี้
เขาไม่ต้องสงสัยเลยว่า พันเอกจากกองทัพต้าหัวคนนั้นกล้าโจมตีพวกเขาจริงๆ
กลิ่นความดุเดือดแทบจะลอยออกมาจากโทรศัพท์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มทำผิดเอง
เมื่อสืบสวนออกมาก็ไม่มีเหตุผลเช่นกัน
ทำได้เพียงอธิษฐานให้พวกเขาอย่าลงมือเด็ดขาด อย่าลงมือเด็ดขาด เขาทำได้เพียงคาดหวังเท่านั้น เพราะเขารู้จักหวางเชียนดี ใจแคบคิดเล็กคิดน้อย ฉินเฟิงอาจจะนอนหายใจรวยรินแล้ว
สีหน้าของถังเล่อซีดลงเรื่อยๆ เมื่อเขามาถึงประตูห้องใต้ดิน ก็ซีดขาวไปหมดแล้ว เมื่อมองไปที่ประตู เขายังไม่กล้าเปิด
อย่าลงมือเด็ดขาด
เขามองหาโอกาสเพียงเล็กน้อยอยู่ในใจ จากนั้นก็ผลักเปิดประตู กวาดสายตามองไปรอบๆ พยายามหาคนที่ไม่ได้นอนจมอยู่ในกองเลือด
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ พอไม่เห็นอะไร ก็รู้สึกโล่งใจทันที
ครั้นแล้วก็เงยหน้าขึ้น แต่ก็ต้องตกตะลึงเพราะเห็นหวางเชียนและอีกสองคนนอนอยู่บนพื้น ซ้อนทับกันเป็นพีระมิด
เขาหมดสติไปแล้ว
ส่วนบนร่างกายของพวกเขา มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนตัวพวกเขา สูบบุหรี่พลางมองไปที่ถังเล่อ ตอนนี้เพิ่งมาเหรอ? เขากำลังจะตายแล้ว
ปัง
ฉินเฟิงกระโดดลงมาจากร่างของพวกเขา พวกเขาทั้งสามนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น บนใบหน้ามีรอยฟกช้ำดำเขียว
พี่ชาย มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เรื่องเข้าใจผิด
เมื่อถังเล่อเห็นฉินเฟิงไม่เป็นอะไร ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้ทำหน้าเป็นมิตรให้เขา เขาบุ้ยปากกล่าวว่า ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป อาจจะตายในห้องใต้ดินนี้ไปเลยก็ได้
พี่ชาย นี่คือเงินสิบล้าน ผมเอามามอบให้พี่ มันเป็นความผิดของพวกเราจริงๆ พวกเราจะไม่ทำผิดพลาดแบบนี้อีกแล้ว ผมรับประกัน
ถังเล่อเซ็นเช็คออกมาใบหนึ่ง แล้วโค้งคำนับ
ขอโทษนะ พวกคุณไม่มีวันหลังอีกแล้ว
คุณหมายความว่าไง?
คนที่ผมเรียกมา น่าจะมาถึงเร็วๆ นี้
ฉินเฟิงมองดูนาฬิกาข้อมือ
และในเวลานี้ ก็มีเสียงข้างนอกดังขึ้น สถานีตำรวจเจียงเฉิงกำลังปฏิบัติงาน ทุกคนนั่งยองๆ ลงและให้ความร่วมมือ หากมีการฝ่าฝืน พวกเราอาจต้องใช้วิธีบังคับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ!
ถังเล่อหน้าซีดอีกแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะโทรเรียกตำรวจมา แล้วยังต้องการตัดสินลงโทษพวกเขา แต่เขาก็มีความมั่นใจ ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในตำแหน่งนี้
ความสัมพันธ์บางอย่างสามารถปกป้องเขาได้ในช่วงเวลาสำคัญ
จนกระทั่งได้เห็นหลิวหลินเดินเข้ามา ทีมตำรวจอันดับหนึ่งของเมืองเจียงเฉิง ปฏิบัติภารกิจอยู่ ได้โปรดให้ความร่วมมือ
หลิวหลิน!
พอเห็นหลิวหลิน ถังเล่อก็แทบจะเป็นลม
ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกับปีศาจสาวผู้นี้
สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับหลิวหลินคนนี้ ไม่สนใจเรื่องความลับ ไม่สนใจเรื่องความรู้สึกของคน เขารู้แต่วิธีทำคดี รู้เพียงว่าต้องทำตามกฎหมาย เมื่อมีบุคคลนี้มา เขาก็สามารถจินตนาการได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ยิ่งกว่านั้น เขามีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ล่วงเกินไม่ได้
แต่ถึงจะมีคนอื่นมา จุดจบของเขาก็ไม่ได้ดี
เพราะเขาเป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งประเทศต้าหัว เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในเขตทหาร ไม่มีใครกล้าเข้าข้างเขา ผลลัพธ์ที่เข้าข้างเขามีเพียงอย่างเดียว นั่นคือคนคนนั้นถูกลากเข้าไปเดือดร้อนด้วย
ฉินเฟิง คุณอีกแล้ว
หลิวหลินมองลงมาที่ฉินเฟิงอย่างโกรธจัด
คราวนี้เป็นฉินเฟิงอีกแล้วที่โทรแจ้งตำรวจ
นอกจากนี้จากการสอบสวนของพวกเขา ยังมีหลักฐานการก่ออาชญากรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาอีกจำนวนหนึ่ง พบคนของกรมตรวจสอบแห่งเมืองเหล่านี้มีปัญหามากมาย เธอน่าจะดีใจที่เจอคนไม่ดี
แต่ทว่า พอเห็นว่าเป็นฉินเฟิง เธอก็คอตกทันที
เธอยังคงนึกขึ้นได้ ความทรงจำที่พ่ายแพ้ให้กับฉินเฟิงเมื่อสองครั้งก่อน
เจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้
ใช่แล้ว ผมเอง ต่อไปเป็นหน้าที่ของคุณแล้ว ภรรยาของผมน่าจะเป็นห่วงผมแล้วล่ะ
ฉินเฟิงยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน แล้วเดินออกจากกรมตรวจสอบแห่งเมือง หลังจากเดินออกไปแล้ว คนแรกที่เห็นก็คืออิ่นซิน ซึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดคุณก็ออกมาได้แล้ว พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?
ทันทีที่อิ่นซินเห็นฉินเฟิง เธอก็รีบเข้ามาตรวจดูนู่นตรวจดูนี่ทันที ด้วยกลัวว่าคนเหล่านั้นจะเตะต่อยฉินเฟิง
หลังจากที่เธอถูกขับไล่ออกไป ก็ได้มองหาคนที่จะมาช่วยฉินเฟิงอยู่ตลอด แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ เธอหาไม่พบเลย และได้รับข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งมาที่กรมตรวจสอบแห่งเมือง
ดังนั้นเธอจึงเข้ามารอทันที
ไม่เป็นไร พวกเขาไม่กล้า
เมื่อฉินเฟิงเห็นสีหน้ากังวลใจของอิ่นซิน ความอบอุ่นก็วิ่งผ่านหัวใจของเขา เขาเอื้อมมือไปลูบหัวอิ่นซิน
อิ่นซินทำคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่ง แต่ต่อมาก็พูดขึ้นว่า คุณทำอะไรน่ะ ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ คุณกลับไปลูบหัวกั่วกั่วเถอะ อย่ามาแตะต้องฉัน
อยู่ที่นี่ คุณเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง
ทันใดนั้น ฉินเฟิงก็พูดออกมาประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่เอาอกเอาใจและครอบงำ
ใช่แล้ว
เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง เป็นทารกน้อย เขาเต็มใจที่จะปกป้องผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไปตลอดชีวิต
เฮ้อ พูดเรื่องอะไรเนี่ย
อิ่นซินหันกลับมา หูแดงเล็กน้อย
ไปเถอะ กลับบ้าน
ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า เขาจูงมืออิ่นซินเดินกลับบ้าน แต่อิ่นซินกลับดึงเขาไว้ เวลานี้เราต้องไปรับกั่วกั่วพอดี อย่าลืมล่ะ คนนั้นเป็นเด็กจริงๆ
ได้ครับ ภรรยาสุดที่รัก
หน้าไม่อาย
ฉินเฟิงและอิ่นซินเดินไปข้างหน้าด้วยกัน แต่ระหว่างทางเขาได้โทรหาหลิวลานเมิ่ง ก่อนหน้านี้คุณเป็นหนี้บุญคุณผม ตอนนี้บอกผมมาว่า วันนี้ภรรยาของผมไปทำอะไรมา หลังจากพูดออกมาแล้ว ระหว่างเราจะถือว่าหายกัน
เขาไม่เคยติดใจที่ก่อนหน้านี้หลิวลานเมิ่งเคยทำผิดต่อเขามาก่อน แต่เรื่องนี้มันไม่ได้จบลงแบบนี้ ยังมีเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อกันอยู่
ส่วนเหตุผลที่โทรหาหลิวลานเมิ่ง ก็เพราะว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น อิ่นซินจำเป็นต้องติดต่อหลิวลานเมิ่ง
เธอวิ่งวุ่นทั้งช่วงเช้าเพื่อไปหาผู้อำนวยการกรมตรวจสอบแห่งเมือง แต่กลับถูกไล่ออกมา พอไปขอร้องประธานบริษัทของเรา ประธานของเราก็เห็นด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงไปตามหาอิ่นป่ายและคุณท่านอิ่น จนเกือบจะได้คุกเข่าแล้ว เพราะเธอรู้ว่าพวกเขาใส่ร้ายคุณ
ฉันยังเตรียมมอบหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ให้ด้วยซ้ำ โชคดีที่คุณออกมาเร็ว
บอกตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องความรู้สึกนั้น ฉันคงไม่พูดเรื่องพวกนี้กับคุณ เพราะฉันอิจฉา เพื่อนสนิทของฉันดูเหมือนจะค่อยๆ ตกหลุมรักคุณทีละน้อย แต่ฉันก็ยังคิดว่าคุณไม่คู่ควร
หลิวลานเมิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดออกมาในที่สุด