เทพบุตร ทวงแค้น / เทพศึกมังกรหวนคืน - บทที่ 57 ครอบครัวเดียวกัน กลับไม่เหมือนครอบครัวเดียวกัน
- Home
- เทพบุตร ทวงแค้น / เทพศึกมังกรหวนคืน
- บทที่ 57 ครอบครัวเดียวกัน กลับไม่เหมือนครอบครัวเดียวกัน
ระหว่างทางกลับบ้าน ฉินกั่วกั่วสะพายเป้นักเรียนใบเล็กๆ เอาไว้ข้างหลัง เธอเงยหน้ามองฉินเฟิง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ถามด้วยความสงสัย คุณพ่อคะ ทำไมคุณอาคนนั้นถึงเชื่อฟังพ่อล่ะ?
ทำไมถึงเชื่อฟังพ่อเหรอ?
เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงคาดไม่ถึงว่าสาวน้อยคนนี้จะถามคำถามเช่นนี้ แต่เขาก็ยังตอบว่า เพราะพ่อเป็นวีรบุรุษและเป็นแม่ทัพที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติและประชาชน
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นกั่วกั่วจะต่อสู้เพื่อประเทศชาติและประชาชนในอนาคต
ฉินกั่วกั่วกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
สำหรับคนที่อายุเท่าเธอ บิดาเป็นคนที่ใหญ่โตที่สุด สิ่งที่พวกเธอเคารพมากที่สุดคือบิดาของตัวเอง
ลูกน่ะ เป็นเด็กผู้หญิงนะ
ฉินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เด็กผู้หญิงจะต่อสู้กับศัตรูไม่ได้เหรอคะ? ทำไมล่ะ?
ความจริงก็ทำได้ เป็นหมอหรือพยาบาล แต่ถ้าลูกอยากออกสนามรบจริงๆ ก็มีคนแบบนี้อยู่ในประวัติศาสตร์นะ เคยเรียนเรื่องฮัวมู่หลานแล้วหรือยัง
ฉินกั่วกั่วส่ายหัว
ถ้าอย่างนั้นพ่อจะเล่าเรื่องฮัวมู่หลานให้ลูกฟัง นานมาแล้ว…
ในขณะที่พระอาทิตย์ตกดิน พ่อคนหนึ่งจูงมือเด็กหญิงตัวน้อย เดินไปพลาง เล่าไปพลาง เงาทอดยาว แต่ทั้งสองมีความสุขมาก โดยเฉพาะฉินกั่วกั่ว
เธอไม่เคยมีประสบการณ์นี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลับมาที่บ้านของตระกูลอิ่น จางลี่กำลังอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอเหลือบมองคนทั้งสอง ฮ่า พวกคุณยังกล้ากลับมาอีกเหรอ? ฉินเฟิง คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ
จู่ๆ ฉินกั่วกั่วก็เข้ามาหลบอยู่ข้างหลังฉินเฟิง
ไม่เป็นอะไร พ่ออยู่นี่แล้ว
ฉินเฟิงปลอบโยนฉินกั่วกั่ว
มีคุณอยู่? คุณเป็นแค่คนไม่เอาถ่าน จะมีประโยชน์อะไร ช่วยครอบครัวของเราให้ผ่านพ้นวิกฤติได้ไหม ไม่ได้ ไอ้เศษสวะ เห็นคุณทีไรก็รำคาญ ฉันไปเล่นไพ่นกกระจอกใหม่ดีกว่า
จางลี่บุ้ยปาก แล้วออกไปเล่นไพ่นกกระจอก
เธอไม่ได้ไปทำงาน ปกติชอบเล่นไพ่นกกระจอก สำหรับเงินในการเล่นไพ่นกกระจอกนั้น อิ่นซินเป็นคนจ่าย ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของครอบครัวอิ่นซินก็เป็นคนจ่าย
ไป ขึ้นไปทำการบ้าน
ฉินเฟิงพาฉินกั่วกั่วขึ้นไปชั้นบน เมื่อมาถึงห้อง อิ่นซินกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลบางอย่าง สีหน้าดูกังวล ปากก็บ่นพึมพำกับตัวเอง คราวนี้เรามีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ
มีอะไรเหรอ?
ฉินเฟิงเดินเข้ามาถามประโยคหนึ่ง
การแบนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเขาหยุดการจัดหาวัตถุดิบของพวกเราก่อน พวกเราล้วนป้อนวัตถุดิบในบริเวณใกล้เคียง แต่ตอนนี้บริษัทเหล่านั้นไม่กล้าร่วมมือกับพวกเรา ถ้าพวกเราต้องการวัตถุดิบก็ต้องไปยังพื้นที่อื่น แต่ก็เสียทั้งเวลา เสียทั้งแรงกาย และต้องใช้เงินมากขึ้นด้วย มันไม่คุ้มค่าเลย
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้แจ้งทางบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางล่วงหน้าแล้ว แต่บริษัทเหล่านั้นไม่กล้าร่วมมือกับเรา พวกเรามีที่ดินในมือสองแห่ง กำลังจะจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่คราวนี้เราอาจขายไม่ออก
ถึงจะขายออกแต่เงินค่าก่อสร้างก็ต้องล่าช้าออกไปอีกนับร้อยวัน ตอนนี้เรามีเงินทุนหมุนเวียนไม่มาก ถ้าล่าช้าออกไปถึงร้อยวัน จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานระดับล่างไม่ได้ พอถึงตอนนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น แผนกภายในของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกำลังปล่อยเกาะฉัน ฉันหาข้อมูลไม่ได้เลย
อิ่นซินพูดปัญหาเหล่านี้ออกมาตรงๆ แล้วทอดถอนใจ ฉันพูดกับคุณไปมันก็ไม่มีประโยชน์ คุณก็ช่วยฉันไม่ได้เหมือนกัน คุณไปทำอาหารก่อนเถอะ
ฉินเฟิง ตอนนี้ได้กลายเป็นพ่อบ้านของครอบครัวแล้ว
ทั้งปัดกวาดถูพื้น ทั้งทำอาหาร
แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากบ่น ถึงอย่างไรก็ยังคงหวงแหนมัน เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนตั้งแต่แม่ของเขาตาย
วันถัดมา
ฉินเฟิงเข้าไปทำงานในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ท้ายที่สุดตำแหน่งบังหน้าของเขาก็คือยามรักษาความปลอดภัยในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป แต่บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันก็สุภาพกับเขา พวกเขาเคยเห็นภาพนั้นในตอนแรกมาก่อน
เฝิงกาง ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปโค้งคำนับฉินเฟิงด้วยความเคารพ
พวกเขาเดาว่าส่วนมากจะเป็นคนรุ่นสอง การมาใช้ชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ห้ามล่วงเกินเด็ดขาด
สำหรับหลิวลานเมิ่ง เธอลังเลที่ประตูห้องรักษาความปลอดภัย แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามา ในตอนแรกนั้น เธอเป็นตัวการผู้กระทำผิด ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับฉินเฟิงอย่างไร
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ฉินเฟิงก็กลับบ้าน แต่เขาพบว่าอิ่นซินยังไม่กลับมา โทรศัพท์ไปก็ไม่มีใครรับสาย เขารู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบไปที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
นี่คือ?
เมื่อฉินเฟิงมาถึงบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ก็พบว่ามีคนจำนวนมากมารวมตัวกันในบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลิกงานแล้ว แต่ดูจากสถานการณ์แล้วไม่มีใครเลิกงานเลย
ฉินเฟิงเดินเข้าไป ความโกรธปะทุขึ้นทันที
อิ่นซินติดอยู่กลางวง ผู้คนหนาแน่น มีไข่ไก่แตกหลายใบบนตัวเธอ ดูเหมือนว่ากำลังจนตรอก
น้องสาว ไม่เห็นจำเป็นเลย ตราบใดที่เธอสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฉินเฟิงคุกเข่าและคำนับให้คุณชายฟาง ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย วันนี้ก็จะไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น
อิ่นเสี้ยงสวี่ยืนอยู่ข้างๆ มองอิ่นซินด้วยแววตาเจือรอยยิ้ม
ไม่มีทาง
อิ่นซินปฏิเสธเสียงแข็ง เขาเป็นผู้ชายของฉัน
ผู้ชาย ฮ่าๆ
ความเหยียดหยามฉายผ่านดวงตาของอิ่นเสี้ยงสวี่ ผู้ชายแบบนั้นมีค่าพอให้เธอพูดแบบนี้เหรอ? ตอนแรกเขาก็ทอดทิ้งเธอ เจ็ดปี เจ็ดปีเต็ม ผู้ชายแบบนี้เธอยังยอมรับ มีแต่เธอคนเดียวที่โง่ แต่วันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายของเธอหรืออะไรก็ตาม พรุ่งนี้เขาต้องคุกเข่า เธอรู้ไหมว่าตอนนี้บริษัทเป็นยังไงบ้าง
ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเริ่มแบนบริษัทของพวกเรา ช่องทางและความร่วมมือทั้งหมดถูกระงับ หุ้นของพวกเราก็ตกลงมาเรื่อยๆ
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ถึงสองวันบริษัทต้องล้มละลายแน่ๆ
อิ่นซิน เธอจะเป็นอาชญากรของบริษัทนี้ไม่ได้
เสียงด่าประณามและถ่มน้ำลาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไข่ไก่หลายฟองถูกปาออกมาจากฝูงชนกระแทกเข้าที่ศีรษะของอิ่นซิน ในนั้นมีไข่ไก่เน่าหลายฟอง
โอ๊ย!
อิ่นซินหลับตาลงโดยสัญญาตญาณ
เสียงไข่ไก่แตกดังขึ้น แต่เธอพบว่าไม่ได้กระแทกที่ตัวเธอ และในขณะนี้ เธอรู้สึกได้ว่าเธออยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนหนึ่ง
ที่รัก
อิ่นซินลืมตาขึ้นและเห็นฉินเฟิงกอดเธออยู่ ฉินเฟิงใช้ลำตัวบังไข่ไก่ทั้งหมด ศีรษะเต็มไปด้วยไข่เหมือนเธอไม่มีผิด ดูท่าทางกำลังจนตรอกอย่างที่สุด
ขอโทษครับ ขอโทษครับ
ฉินเฟิงกอดอิ่นซินไว้แน่น
เขาคิดไม่ถึงว่าตระกูลอิ่นจะบีบบังคับอิ่นซินเช่นนี้ เป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นตั้งแต่เล็กจนโต วันนี้เพื่อไม่ให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปขุ่นเคือง ถึงกับใช้วิธีการแบบนี้
คนมากมายขนาดนี้ รังแกผู้หญิงคนเดียว อิ่นเสี้ยงสวี่เป็นผู้นำอีกแล้ว
พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น!