เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 110
ตอนที่ 110 เจ้าสังหารเขาหรือไม่?
“เอ่อ.. ท่านแม่!! ข้าคงไม่หายไปไหนอีกแล้วล่ะ ท่านปล่อยข้าก่อนจะได้หรือไม่?”
หลังจากที่ถูกซือหม่าจวี้อี๋กอดอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่านางคงยังมิยอมปล่อย หลงเฉินจึงได้แต่ร้องบอก..
“ข้าไม่คิดว่านางจะยอมปล่อยเจ้าเป็นแน่.. เจ้าคงมิรู้ว่า ตลอดสามปีมานี้ได้สร้างความทุกข์ใจให้แม่ของเจ้ามากเพียงใด ตลอดหลายปีมานี้ ข้ามิเคยเห็นรอยยิ้มของนางเลยสักครั้ง มีแต่น้ำตาที่เอ่อล้นจากสองตาในทุกวันๆ”
“ตลอดทั้งวันนางก็จะเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอนของเจ้า เฝ้าดูเจ้านอนหลับไหลอยู่เช่นนั้น นางไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากห้องของเจ้า มิเคยออกจากจวนของเราไปเลยสักครั้งตลอดสามปีมานี้”
หลงเหรินเอ่ยบอกหลงเฉินด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด..
“ท่านแม่.. อภัยที่ข้าทำให้ท่านต้องเป็นกังวลและทุกข์ใจเช่นนี้!” หลงเฉินกระซิบกับมารดาพร้อมกับโอบกอดนางแน่นมากขึ้น
“ไม่ต้องขอโทษข้า.. ข้าแค่อยากกอดเจ้าต่ออีกหน่อย!” ซือหม่าจวี้อี๋ตอบกลับไป
“ท่านแม่.. ข้าปลอดภัยดีแล้ว ท่านอย่าได้กังวลใจไปอีกเลย!” หลงเฉินโอบกอดนางแน่นขึ้น พร้อมกับสัมผัสถึงความรักความอบอุ่นที่นางมอบให้
ในที่สุดนางก็ปล่อยอ้อมแขนออกจากร่างของหลงเฉิน แต่ยังคงจับไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้ พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา
“ขอบคุณสวรรค์ที่ลูกชายของข้าปลอดภัยดี ต่อไปหากเจ้ารู้สึกว่าร่างกายผิดปกติขึ้นมาอีก ต้องบอกให้ข้ารู้ทันที!! ข้าไม่ต้องการที่จะเสียเจ้าไปอีกครั้ง ข้าคงทนรับเหตุการณ์เช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สามมิได้แน่!”
ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และความโล่งอกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของนาง ซึ่งตรงข้ามกับน้ำตาที่ไหลพรากออกมายิ่งนัก
“ข้าให้สัญญาท่านแม่!” หลงเฉินตอบกลับยิ้มๆ
“โอ้.. ข้าลืมไปเสียสนิท!! เจ้าคงจะหิวมากแล้วสินะ!! ข้าจะสั่งให้คนไปเตรียมอาหารมาให้เจ้าที่นี่!!! ไม่ๆ ข้าไปจัดเตรียมอาหารที่เจ้าชื่นชอบด้วยตัวเองดีกว่า!! เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา!”
ซือหม่าจวี้อี๋ร้องบอกพร้อมกับวิ่งตรงออกประตูไปทันที
“ไม่ต้อง…”
หลงเฉินกำลังจะร้องบอกท่านแม่ของเขา แต่ก็ไม่ทันเพราะนางวิ่งออกนอกประตูไปแล้ว
“นางคงจะตื่นเต้นดีใจมากที่จู่ๆ ลูกชายก็ตื่นขึ้นมาเช่นนี้หลังจากนอนหลับไหลยาวนานหลายปี” หลงเหรินเอ่ยตอบเสียงเบา พร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่าหลงเฉิน
“เอาล่ะพ่อหนุ่ม.. ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา แต่คิดว่าอย่างไรก็ควรต้องพูดเรื่องนี้กับเจ้า จวี้อี๋บอกกับข้าว่าเจ้าหลับไหลไปหลังจากที่กลับมาจากป่าเหนือทมิฬ ข้าแปลกใจยิ่งนักที่ได้รู้ว่าตนเองเป็นคนอนุญาตให้เจ้าไปที่นั่น เจ้าบอกข้าทีว่าข้าอนุญาตให้เจ้าไปป่าเหนือทมิฬเมื่อใดกัน?”
หลงเหรินเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มที่รู้ทัน..
“เอ่อ.. คือ.. อภัยให้ข้าด้วยท่านปู่! ข้าโกหกท่านแม่เรื่องนั้น” หลงเฉินสารภาพด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ข้าต้องการเข้าป่าเหนือทมิฬเพื่อไปฝึกฝนกับเหล่าอสูรจริงๆ แต่ข้ารู้ว่าท่านแม่ต้องมิยินยอมให้ข้าไปที่นั่นแน่ หรือไม่นางก็คงต้องเป็นกังวล ข้า.. ข้าก็เลยโกหกท่านแม่ว่าท่านปู่อนุญาตให้ข้าไปที่นั่น แล้วก็ส่งทหารไปอารักขาข้าถึงสองคน” หลงเฉินเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลงเหรินฟัง
“แล้วเจ้าได้สังหารหลงซูหรือไม่? เขาคือต้นเหตุที่ทำให้เจ้าหายตัวไปในครั้งนั้นรึ? คนที่เจ้าบอกกับข้าว่า เจ้าจักเป็นผู้ชำระแค้นด้วยตัวเองโดยมิต้องการให้ข้ายื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะการที่เจ้าสามารถผ่านด่านทดสอบขั้นที่ห้าของโถงสมบัติไปได้ การจะฉกฉวยโอกาสจู่โจมหลงซูย่อมมิใช่เรื่องยาก” หลงเหรินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าปกปิดเหตุผลที่แท้จริงในการสังหารบ่าวผู้นั้น และการไปที่ป่าเหนือทมิฬด้วย” หลงเหรินยังคงถามต่อ
“ท่านปู่ คนกระจอกเช่นหลงซู ข้ามิจำเป็นต้องฉกฉวยโอกาสจู่โจมเขาแต่อย่างใด! ว่าแต่ท่านปู่ต้องการฟังความจริงหรือไม่?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ต่อให้เจ้าสังหารเขาจริง ก็มิจำเป็นที่เจ้าจักต้องยอมรับแต่อย่างใด! หากคนในตระกูลพากันเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ปู่จะปกป้องเจ้าเอง!” หลงเหรินกระซิบตอบเสียงเบา
“ขอบคุณท่านปู่ยิ่งนัก!” หลงเฉินยิ้มให้กับหลงเหริน และรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นหัวใจยิ่ง
“เจ้ามิจำเป็นต้องขอบคุณข้า หน้าที่ของเจ้าคือดูแลท่านแม่ให้ดีเท่านั้นก็พอ นางต้องเผชิญกับเรื่องราวทุกข์ใจมาตลอดหลายสิบปีนับตั้งแต่ที่พ่อของเจ้าถูกลอบสังหาร และเจ้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับนางได้”
หลงเหรินเอ่ยกับหลงเฉิน พร้อมกับจ้องมองไปทางประตูด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย..
“ดูเหมือนห้องโถงใหญ่นี้จักกลายเป็นห้องรับประทานอาหารไปแล้ว.. แต่มิเป็นไร ในเมื่อนี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข!” หลงเหรินยิ้มออกมา
“เวลานี้เจ้าเข้าสู่อาณาจักรบ่มเพาะพลังขั้นใดแล้ว? นับตั้งแต่ที่เจ้าผ่านการทดสอบขั้นที่ห้าของโถงสมบัติ อีกทั้งยังกล้าเดินทางไปฝึกฝนที่ป่าเหนือทมิฬเช่นนั้น.. เจ้าคงจะก้าวหน้าไปมากแล้วสินะ?” หลงเหรินเอ่ยถามยิ้มๆ
“อาณาจักรผสานวิญญาณ..” หลงเฉินยิ้มพร้อมกับโกหกหน้าตาย
“ขั้นใดงั้นรึ?!” หลงเหรินเอ่ยถามต่อทันที
“ขั้นที่ห้า..” หลงเฉินเอ่ยตอบ
“ยอดเยี่ยม!! เมื่อครั้งที่อาวุโสหยางบอกกับข้าว่าเจ้าสามารถผ่านด่านทดสอบในขั้นที่ห้าของโถงสมบัติไปได้นั้น ข้ายังแทบไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ!! นี่เจ้าทำได้อย่างไรกัน? อีกทั้งเจ้าเองก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา เหตุใดขั้นพลังของเจ้าจึงได้พัฒนารวดเร็วถึงเพียงนี้?”
หลงเหรินเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจยิ่ง..
“น่าจะเป็นเพราะความโชคดีของข้ามากกว่าท่านปู่!! เมื่อข้าตื่นขึ้นมา กลับรู้สึกว่าภายในร่างกายคล้ายมีโอสถมากมายสะสมอยู่ และข้าก็ได้ใช้พลังจากโอสถเหล่านั้นในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะ จนสามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นที่ห้าได้ แล้วพลังเหล่านั้นก็หมดไป..” หลงเฉินตอบกลับไป
“อืมม.. ที่เจ้ากล่าวมาก็มิน่าจะผิดนัก เพราะโอสถที่นำไปป้อนให้กับเจ้าทุกวันนั้น ล้วนเปี่ยมไปด้วยพลังชี่ที่บริสุทธิ์ เหตุผลน่าจะเกิดจากพลังชี่เหล่านั้นมิได้ถูกนำไปใช้ในระหว่างที่เจ้าหลับ แต่กลับถูกสะสมไว้ภายในร่างกายของเจ้าแทน จึงเป็นไปได้ว่าโอสถหลายร้อยเม็ดที่ป้อนให้เจ้าตลอดระยะเวลาสามปีนั้น มีมากมายพอที่จะให้เจ้าสามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นที่ห้าได้ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!! แต่ข้ากลับคิดว่านั่นเป็นเพราะพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศในตัวเจ้าด้วย หาใช่โอสถเพียงอย่างเดียวไม่!” หลงเหรินตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“อาหารมาแล้ว!!”
น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขดังออกมาจากด้านนอก และเมื่อประตูเปิดออก ซือหม่าจวี้อี๋ก็เดินเข้ามาข้างในพร้อมกับซวี่และเม่ย ทั้งคู่ต่างก็ยกถาดอาหารมาเต็มมือ
ไม่นานนัก.. อาหารทั้งหมดก็ถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะ
“ท่านปู่.. ท่านไม่ทานด้วยกันหรอกรึ?” หลงเฉินหันไปถามหลงเหรินที่ลุกขึ้นเดินออกไป
“ข้ากินก่อนหน้านี้จนอิ่มแล้ว เจ้ากินตามสบายเถิด ข้าจะไปจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้กับเจ้าในคืนพรุ่งนี้ ครั้งนี้ข้าคงต้องเชิญผู้คนมามากมาย” หลงเหรินเอ่ยตอบพร้อมกับเดินออกไปอย่างมีความสุข
“ท่านแม่.. ท่านมากินกับข้าสิ?” หลงเฉินหันไปเชิญชวนซือหม่าจวี้อี๋
“ข้ากินจนอิ่มแล้วเช่นกัน! ข้าเตรียมอาหารทั้งหมดนี้มาให้เจ้า!” ซือหม่าจวี้อี๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
หลงเฉินจ้องมองซวี่และเม่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังของซือหม่าจวี้อี๋ แต่กลับพบว่านางเอาแต่ยืนส่ายหน้าไปมา เพื่อส่งสัญญาณบอกว่าซือหม่าจวี้อี๋ยังมิได้ทานอะไรเลย
“ท่านแม่.. หากท่านไม่ยอมกินเป็นเพื่อนข้า ข้าก็จะไม่กินอาหารนี้เช่นกัน!”
หลงเฉินจ้องมองซือหม่าจวี้อี๋ที่ยังคงยืนนิ่ง แต่ในที่สุดนางก็นั่งลงข้างๆหลงเฉิน ทั้งคู่รับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข โดยมีซวี่กับเม่ยคอยบริการอยู่ข้างๆ