เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 128
ตอนที่ 128 ข้าจะบอกกับนางเอง
“ซุน.. ข้าขอโทษที่ตะโกนใส่เจ้าเช่นนี้ เป็นความผิดของข้าเองที่มิยอมฟังคําเตือนของเจ้าตั้งแต่แรก และเป็นผู้เลือกวิชานี้โดยมเข้าใจคําเตือนของเจ้า” หลงเฉินจ้องมองซุนพร้อมกับเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“เจ้ามิต้องกังวลใจไป แม้ว่าฤทัยมารจะส่งผลต่อจิตใจของเจ้า แต่ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าจักสามารถสะกดมันไว้ได้ เพียงแต่ต้องตระหนักให้ดีว่าเจ้าคือผู้ใด..” ซุนเอ่ยตอบเสียงเบาในขณะที่จ้องมองหลงเฉิน
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว! ข้าย่อมสามารถสะกดมันไว้ได้เป็นแน่!” หลงเฉินจ้องมองซุนพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“เจ้าได้ฝึกฝนส่วนสําคัญของกายาราชันย์ปีศาจสําเร็จแล้ว หลังจากนี้ก็มีเพียงแค่หมั่นถ่ายเทพลังชี่ให้กับฤทัยมารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มันถ่ายเทปราณปีศาจสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเจ้า ซึ่งเรื่องนี้ก็หาใช่เรื่องยากเย็นสําหรับเจ้า แล้ววิชาอื่นๆเล่า เจ้าจะฝึกฝนต่อเลยหรือไม่?” ซุนจ้องมองหลงเฉินพร้อมกับเอ่ยถาม
“ในเมื่อข้าฝึกวิชากายาราชันย์ปีศาจเบื้องต้นสําเร็จแล้ว เดิมที่ตั้งใจว่าจะฝึกวิชาราชันย์ปฐพีต่อ แต่ห้องนี้คงจะมิกว้างขวางพอสําหรับการฝึกฝนวิชานี้เป็นแน่ ข้ารู้สึกว่าห้องนี้เล็กเกินไปที่จะฝึกฝนวิชาราชันย์ปฐพี ข้าคงต้องคิดหาหนทางแก้ไข หรือไม่ข้าอาจจะไปฝึกวิชานี้ที่ปาเหนือทมิฬก็เป็นได้ ข้าคงต้องหาหนทางเกลี้ยกล่อมท่านแม่ให้นางยินยอมให้ข้าไป ในเมื่อมันจําเป็นสําหรับการฝึกวรุยทธของข้า”
หลงเฉินพึมพําพร้อมกับลุกขึ้นยืน และทันทีที่ลุกจากเตียงได้เขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองมิได้กินอะไรมาเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆแล้ว
หลงเฉินเดินตรงไปที่ประตู และเมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็ได้ยินเสียงคนกําลังสนทนากัน
“ข้า.. ข้าจะเคาะประตูแล้วนะ!”
เสียงนั้นหลงเฉินจําได้ดีว่าเป็นเสียงของซวี่
“แต่.. แต่จะเป็นการรบกวนการฝึกวรยุทธของนายน้อยหรือไม่?! แล้วถ้าหากนายน้อยโกรธเล่า?!” เสียงของเม่ยดังขึ้น
“แต่นายน้อยมิได้กินอะไรมาทั้งวันแล้วนะ เขาอาจจักหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวรยุทธจนไม่มีเวลา แต่อาหารการกินก็เป็นเรื่องสําคัญมิใช่รึ? ข้าว่าพวกเราควรจะยอมเสี่ยงให้ถูกนายน้อยดุดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้เตือนให้เขาได้รับประทานอาหารบ้าง” ซวี่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ตัดสินใจแน่วแน่
“แต่ว่า มันเสี่ยงมากนะพี่ซวี่! หากนายน้องกําลังอยู่ในช่วงเวลาสําคัญเล่า การรบกวนของเราอาจทําให้เขาได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความผิดพลาดในการฝึกฝนได้ ข้า ..ข้ามิต้องการเห็นนายน้อยได้รับบาดเจ็บ” เม่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ
หลงเฉินที่ยืนฟังได้แต่ยิ้มออกมา
“เฮ้อ. ที่เจ้ากล่าวมาก็ถูกต้อง เช่นนี้ข้าควรทําเช่นใดดี?” ซวี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสน
“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็รีบนําอาหารรสชาติล้ำเลิศมาให้ข้าเร็วเข้า เวลานี้ข้าหิวมากทีเดียว!”
หลงเฉินเปิดประตูและเดินออกไปพร้อมกับเอ่ยบอกสาวใช้ทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซวี่และเม่ยตกใจในคราแรก แต่เมื่อได้สติก็ถึงกับยิ้มกว้าง และรีบไปนําอาหารมาให้หลงเฉินทันที
หลงเฉินเดินกลับเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ภายในห้องนั่งเล่น และเปิดประตูทิ้งไว้โดยมิได้ลงกลอน ไม่นานนักซวี่และเม่ยก็กลับมาพร้อมกับถาดอาหารในมือ และจัดการวางลงบนโต๊ะตรงหน้าหลงเฉินทันที
ทันทีที่อาหารทั้งหมดถูกนํามาวางไว้ตรงหน้า ความหิวของหลงเฉินก็พุ่งทวีขึ้น เขามปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปแม้แต่อึดใจ และเริ่มลงมือกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย หญิงสาวทั้งสองจ้องมองหลงเฉินกินอาหารหมดอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ เขากินราวกับคนหิวโหยที่มิได้มีอาหารตกถึงท้องมานานนับเจ็ดวัน ผ่านไปเพียงแค่ครู่เดียว อาหารทั้งหมดก็ถูกหลงเฉินกินเข้าไปจนมิมีสิ่งใดหลงเหลือ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หลงเฉินก็เอนกายพิงเก้าอี้ พร้อมกับยืดแขนยืดขา..
“หลังจากได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศไป ข้าก็รู้สึกดีขึ้นมากเลยทีเดียว!”
หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆพร้อมกับเหลือบมองเม่ยกับซวี่ แต่แล้วจู่ๆ โดยที่หลงเฉินเองก็มิรู้ตัวคล้ายกับว่าฤทัยมารที่อยู่ในร่างของหลงเฉินกําลังนึกสนุกอะไรขึ้นมา
“โอ้ว. ตอนนี้ข้ารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก วันนี้พวกเจ้าสวมใส่อาภรณ์งดงามมากทีเดียว!” หลงเฉินเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาที่สํารวจเรือนร่างของหญิงสาวทั้งสองตั้งแต่หัวจรดเท้า
ซวี่และเมียสวมอาภรณ์สีเขียวเหมือนกัน แต่ชุดของพวกนางนั้นยาวเพียงแค่เข่า เผยให้เห็นเรียวขาทั้งสองที่งดงาม หลงเฉินจ้องมอง และรู้สึกราวกับว่ามีเปลวเพลิงเผาผลาญอยู่ภายในร่างเขาแทบไม่อยากถอนสายตาออกจากเรียวขางดงามของหญิงสาวทั้งสองเลย เขาจ้องมองเรียวขาทั้งสองคู่อยู่เช่นนั้น
“ขอบคุณนายน้อย” สาวใช้ทั้งสองเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มงดงาม
“พวกเราสองคนคงต้องไปแล้ว มิควรอยู่รบกวนการฝึกวรยุทธของนายน้อยนานนัก!” ซวี่เอ่ยขึ้นขณะที่เดินเข้าไปเก็บถาดอาหาร
“มิเป็นไรหรอก.. เหตุใดเจ้าจึงไม่อยู่กับข้าให้นานกว่านี้เล่า ข้าจักได้จ้องมองใบหน้างดงามเจ้าได้นานกว่านี้” หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“จริงรึ?! จะมิเป็นการรบกวนเวลาฝึกวรยุทธของนายน้อยหรอกรึ?” ซวี่ยิ้มยั่วยวนพร้อมกับเอ่ยถาม
“มิเป็นไร.. รออีกสักหนึ่งชั่วยามข้าจึงจะฝึกวรยุทธต่อ เจ้าช่วยทําให้ข้าสมปรารถนา อยู่คุยกับข้าต่ออีกสักหน่อย..” หลงเฉินเอ่ยยิ้มๆ
“นายน้อย ท่านให้พี่ซวอยู่คนเดียวงั้นรึ?” เม่ยเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ย่อมมิใช่เช่นนั้นแน่.. ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ข้าจักปล่อยเม่ยผู้น่ารักของข้าไปได้อย่างไรกันเล่า? นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจ้าเข้ามาในห้องของข้า ข้าก็ต้องการหาเวลาสนทนากับเจ้าอีก”
หลงเฉินเอ่ยบอกเม่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เมียนึกถึงสิ่งที่นางทําในคราวก่อนก็ถึงกับหน้าแดง นางรีบหลบหน้าลงมองฝ่ามือของตนเอง ก่อนจะเหลือบมองลงไปที่ร่างกายส่วนล่างของหลงเฉิน พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ซวี่ที่มิเข้าใจท่าทีของเม่ย จึงได้แต่จ้องมองนางด้วยสีหน้างุนงง
“แล้วเป็นเช่นใดบ้างเล่า?” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองเมีย
“ดี. ดีมากเลยนายน้อย!” เม่ยเอ่ยตอบเสียงเบาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“ดีพอที่จะมีครั้งต่อไปหรือไม่เล่า?” หลงเฉินเอ่ยถามหยอกเย้าด้วยใบหน้าที่นึกสนุก
“หากนายน้อยอนุญาตข้าก็ยินดี” เม่ยตอบ
“นายน้อย. นี่ท่านกับนางกําลังคุยเรื่องอะไรกันงั้นรึ?” ในที่สุดซวี่ก็อดรนทนไม่ได้ จึงต้องเอ่ยถามออกไป
“เม่ย.. เจ้าอยากจะให้ข้าบอกนางหรือไม่?” หลงเฉินถามเม่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้า ข้ามิกล้ากล่าว.” เม่ยก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าที่แดงกําด้วยความเขินอาย พร้อมตอบกลับหลงเฉินเสียงเบา
“เช่นนั้นข้าก็จะเป็นผู้บอกกับนางเอง” หลงเฉินยิ้มพร้อมกับเอ่ยบอกเมีย
“ซวี่ เข้ามาใกล้ๆข้า!” หลงเฉินจ้องมองซวี่พร้อมกับสั่งให้นางเข้าไปใกล้ๆ
ซวี่ทําตามคําสั่งอย่างว่าง่าย และเดินตรงเข้าไปใกล้หลงเฉินทันที และเมื่อนางเข้าไปใกล้ หลงเฉินก็ลุกขึ้นยืน และโน้มใบหน้าของตนเข้าไปใกล้กับใบหน้าของนาง เขาได้กลิ่นหอมหวานโชยมาจากร่างของซวี่ และหลงเฉินก็แนบริมฝีปากแดงของตนเข้าไปใกล้กับใบหูของซวี่
“ครั้งก่อน นางเข้ามาในห้องนอนของข้าในขณะที่ข้ายังหลับอยู่ แล้วหลังจากนั้น”
หลงเฉินกระซิบบอกซวี่ และหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า