เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 135
ตอนที่ 135 จิตใจชั่วร้ายของมนุษย์
“มันคือสัตว์อสูรแก่นปราณทองคําขั้นใดกันนะ?!? หลงเฉินครุ่นคิดพร้อมกับยิ้มกว้าง ในขณะที่กําลังสังเกตขั้นพลังบ่มเพาะของเจ้าหมีตัวนี้
“อ่อ.. เป็นเพียงแค่สัตว์อสูรแก่นปราณทองคําขั้นสาม ข้ามจําเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีก็ได้ และดูเหมือนมันเองก็เหมาะที่จะเป็นคู่ฝึกให้กับข้าได้ด้วย อย่างน้อยสัตว์อสูรตนนี้ก็สามารถเป็นคู่ทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายให้กับข้าได้” หลงเฉินพึมพําพร้อมกับยิ้มออกมา ในขณะที่เดินตรงเข้าไปหาหมีเหมันต์ตนนั้น
หมีเหมันต์ร้องคํารามออกมาเมื่อเห็นมนุษย์เดินตรงเข้ามาหามัน แล้วมันก็เป็นฝายวิ่งจู่โจมเข้าใส่หลงเฉินก่อน พร้อมกับพุ่งกรงเล็บแหลมคมของมันเข้าใส่ร่างของเขาด้วย
หลงเฉินกระโดดหลบการจู่โจมของหมีเหมันต์ไปด้านข้าง พร้อมกับยกกําปั้นชกเข้าใส่หน้าอกของเจ้าหมีเหมันต์ทันที หลงเฉินตัดสินใจใช้เพียงแค่พละกําลังทั้งหมดของตน แต่นั่นก็ทําให้เขาอึ่งกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าพละกําลังของตนนั้นสามารถทําให้หมีเหมันต์ถึงกับผงะถอยหลัง
ได้..
“อืมม. นี่ย่อมหมายความว่าพละกําลังของข้าน่าจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะในอาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นหนึ่ง หรืออาจต่ํากว่านั้น.. แต่เพียงแค่นั้นก็นับว่าแข็งแกร่งได้รวดเร็วอย่างมากแล้ว และยังมีข้อเสียอยู่บ้าง” หลงเฉินเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องมองหมีเหมันต์ด้วยสีหน้าพึงพอใจ
หมีเหมันต์ร้องคํารามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว มันรวบรวมพละกําลังทั้งหมดพุ่งตรงเข้าจู่โจมหลงเฉินอีกครั้ง การต่อสู้ของหมีเหมันต์กับหลงเฉินดําเนินไปกว่าครึ่งชั่วยาม เพราะหลงเฉินตัดสินใจที่จะไม่ใช้วรยุทธบ่มเพาะของตน เขาต้องการฝึกการต่อสู้กับหมีเหมันต์ด้วยพละกําลังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เสียงร้องคํารามของหมีเหมันต์ยังคงดังก้องไปทั่วทั้งปาใหญ่ และดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงให้สนใจ สัตว์อสูรที่อ่อนแอด้วยกว่าได้ตัดสินใจหนีห่างออกไป ในขณะที่สัตว์อสูรซึ่งแข็งแกร่งกว่าเริ่มพุ่งตรงมาในทิศทางของเสียงร้องนั้น เพื่อดูว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
“หืมม. เหตุใดเจ้าหมีตนนั้นจึงได้ร้องคํารามเนิ่นนานเช่นนั้น? มีสัตว์อสูรแก่นปราณทองคําตนใหม่บุกเข้าไปในดินแดนของมัน และดึงดูดความสนใจของมันหรืออย่างไร? ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! เจ้าเด็กหนุ่มนั่นคงจักถูกหมีเหมันต์สังหารตายแล้วเป็นแน่ และกลิ่นของโลหิตก็ได้ดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรแก่นปราณทองคําให้มามากขึ้น”
ชายชราผู้บอกเล่าเกี่ยวกับหมีเหมันต์ให้หลงเฉินฟัง เริ่มคาดเดาเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ้น
“สัตว์อสูรตนใดจักชนะก็ตามที หากตัวที่ชนะตกลงไปในกับดักของข้าได้ ย่อมเป็นเรื่องดีมากทีเดียว เพราะข้าจักได้สัตว์อสูรพร้อมกันสองตัวในคราเดียว ฮ่าๆๆ” ชายชราเอ่ยออกมาพร้อมกับหัวเราะด้วยความดีอกดีใจ
การต่อสู้ระหว่างหลงเฉินกับหมีเหมันต์ยังคงดําเนินไปอีกครู่ใหญ่ และหลงเฉินก็สนุกกับการต่อสู้ในครั้งนี้มาก จนกระทั่งในที่สุดหมีเหมันต์ก็ล้มลงกับพื้น และไม่สามารถต่อสู้กับหลงเฉินได้อีก ร่างกายของมันเวลานี้เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ขนสีขาวราวหิมะนั้นได้เปลี่ยนเป็นแดงโชกด้วยโลหิตที่ไหลจากร่าง
“หึ ดูเหมือนการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้าจะสิ้นสุดลงแล้วสินะ!”
หลงเฉินเอ่ยออกมาพร้อมกับเดินตรงไปที่ร่างของหมีเหมันต์ เขายังต้องการที่จะต่อสู้กับมันอีกสักยก แต่ดวงตาของเจ้าหมีเหมันต์กลับปิดสนิท หลงเฉินสํารวจดูด้วยสีหน้างุนงงสงสัย แต่กลับพบว่าเจ้าหมีเหมันต์สิ้นใจตายเสียแล้ว
“ช่างเป็นการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดนัก!” หลงเฉินเอ่ยออกมาก่อนจะเก็บร่างของเจ้าหมีเหมันต์เข้าไปไว้ในแหวนบรรจุ
ระหว่างที่หลงเฉินกําลังจะก้าวเดินจากไปนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรตนหนึ่งที่กําลังมุ่งหน้ามาหาตน หลงเฉินแสยะยิ้มพร้อมกับหยิบดาบสะบั้นบรรพตออกมาถือไว้ในมือ และยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ชายชรายังคงซุ่มตัวอยู่หลังต้นไม้ในขณะที่สายตายังคงจับ จ้องไปยังทิศทางเบื้องหน้า แต่แล้วจู่ๆดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจพร้อมกับลุกขึ้นยืน เมื่อพบว่าหลงเฉินเดินกลับออกมาพร้อมกับอาภรณ์ที่เปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดง
“นี่ นี่.. เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกรึ?” ชายชราเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าตกอกตกใจพร้อมกับจ้องมองหลงเฉิน
“เจ้าเองก็มีชีวิตรอดเช่นกันมิใช่รึ?” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“แต่.. เมื่อครู่เจ้าเดินไปหาหมีเหมันต์ตนนั้นมิใช่รึ? อ้อ… ข้าพอจะเข้าใจได้แล้ว เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น หมีเหมันต์ตนนั้นคงจะกําลังต่อสู้อยู่กับสัตว์อสูรแก่นปราณทองคําอีกตนอยู่เป็นแน่ เจ้าก็เลยเลือกที่จะหาที่หลบซ่อนตัว.” ชายชราแสยะยิ้ม และทําราวกับว่าตนรู้เห็นและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างดี
“ในเมื่อเจ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ย่อมหมายความว่าสัตว์อสูรทั้งสองตนที่ต่อสู้กันเองนั้น พวกมันคงจักต้องตายทั้งคู่ ส่วนอาภรณ์ที่เปื้อนโลหิตของเจ้า ก็เกิดจากโลหิตของพวกมันที่กระเด็นเปื้อนสินะ…”
“แล้วศพของพวกมันเล่า? นี่เจ้ามิได้นําแก่นอสูรของพวกมันติดออกมาด้วยหรอก? ไม่สิ.. เจ้าย่อมต้องทําเช่นนั้นแน่ เจ้าคงจักมิเดินออกมาโดยที่ปล่อยของล้ําค่าทิ้งไว้เช่นนั้นแน่!”
ชายชรายิ้มกว้างในขณะที่เอ่ยกับหลงเฉิน และไม่เปิดโอกาสให้หลงเฉินได้พูดเลยแม้แต่คําเดียว
“เจ้านับว่าโชคดีมากทีเดียว.. ที่สามารถรอดชีวิตกลับออกมาได้ อีกทั้งยังได้แก่นอสูรไปครอบครองอีกด้วย แต่เจ้าคงจะรู้ว่า.. ความโชคดีนี้อาจคร่าชีวิตของเจ้าได้? หากเจ้านําแก่นอสูรที่ได้มานี้ไปขาย พวกเขาก็จะสังหารเจ้าแทนที่จะซื้อจากเจ้า” ชายชราเอ่ยบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้ามิคิดว่าพวกเขาจักสามารถทําเช่นนั้นกับข้าได้” หลงเฉินจ้องมองชายชราพร้อมกับเอ่ยตอบ
“เจ้ายังมเข้าใจจิตใจอันชั่วร้ายของมนุษย์! ข้าจักช่วยเจ้าเอง! เหตุใดเจ้าจึงมิขายแก่นอสูรนี้ให้ กับข้าเล่า ข้าจักเป็นผู้ซื้อจากเจ้าไว้เอง ด้วยจํานวนเงินสองเหรียญเงินสําหรับหนึ่งแก่นอสูร!” ชายชราแสยะยิ้มพร้อมกับจ้องมองหลงเฉินในระหว่างที่ยื่นข้อเสนอ
“เท่าที่ข้ารู้.. แก่นอสูรของสัตว์อสูรแก่นปานทองคําหนึ่งชิ้น มีมูลค่าอย่างน้อยสิบเหรียญทองคําเลยมิใช่รึ?” หลงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้ารู้ทัน
“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ราคานั้นสําหรับผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น สําหรับเจ้า ขืนเจ้ายังครอบครองแก่นอสูรทั้งสองไว้ พวกมันคงนําความตายมาสู่เจ้าในไม่ช้าเป็นแน่ ข้าขอซื้อจากเจ้าในราคาสองเหรียญเงินนี้ นับว่าข้าใจกว้างมากแล้ว…” ชายชราเอ่ยบอกพร้อมกับจ้องมองหลงเฉิน ราวกับผู้ล่าที่กําลังจ้องมองเหยื่อ
“เสียใจด้วย.. ข้ามสนใจที่จักขายให้แก่เจ้า!” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ พร้อมกับก้าวเดินจากไป
“ต่อให้เจ้ามสนใจที่จะขายให้แก่ข้า เจ้าก็ต้องทิ้งแก่นอสูรไว้ที่นี่!!” ชายชราร้องตะโกนบอกหลงเฉินพร้อมกับหยิบดาบของตนออกมา
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก! เป็นเรื่องยากที่เข้าใจจิตใจอันชั่วร้ายของมนุษย์ได้ ความจริงแล้ว การกําจัดมนุษย์พวกนี้ให้สิ้นซากไปจากโลกนั้นเป็นเรื่องง่ายกว่ามากมายนัก”
หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไปกับตา เพียงแค่แวบเดียว ก็ไปปรากฏขึ้น และกําลังยืนอยู่ทางด้านขวาของชายชรา
หลงเฉินหันหลังกลับและออกเดินทางต่อ
ชายชราทําท่าทางร้องตะโกนอยู่ด้านหลังของหลงเฉิน แต่เขาก็มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ นั่นเพราะศรีษะของเขาถูกตัดขาด และโลหิตสีแดงก็กําลังพุ่งออกมาจากลําคอ ชายชราดิ้นรนและพยายามยกมือขึ้นไขว่คว้าศรีษะที่ร่วงหล่น แต่ในขณะที่มือทั้งสองใกล้จะเอื้อมจับศรีษะไว้ได้นั้น มันก็ได้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นด้วยดวงตาที่เบิกโพลงแล้ว
หลงเฉินยังคงเดินทางผ่านปาแห่งนี้ไปอีกทั้งวัน ระหว่างทางเขาก็ได้เผชิญกับสัตว์อสูรแก่นปราณทองคํามากมาย และสามารถจัดการกับสัตว์อสูรทั้งหมดได้ด้วยเพียงแค่พละกําลังของร่างกายเท่านั้น เว้นแต่พบเจอสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งยิ่ง และเขารู้สึกว่าคงมิอาจสามารถเอาชนะได้ หลงเฉินจึงจักใช้ดาบสังหารสัตว์อสูรเหล่านั้น
ในยามค่ําคืน หลงเฉินได้อาศัยนอนในเปลผ้าซึ่งผูกไว้กับต้นไม้สูง ก่อนนอนเข้าจักป้อนพลังชี่ให้กับไข่อสูร แล้วจึงเริ่มฝึกวรยุทธบ่มเพาะ และออกเดินทางต่อเมื่อรุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือน
หลังจากออกเดินทางต่อไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในที่สุดหลงเฉินก็สามารถออกจากป่าแห่งนี้ได้ และเขาก็มองเห็นถนนหนทางที่อยู่เบื้องหน้า
“เวลานี้เมืองถัดไปก็อยู่ไม่ไกลนักแล้ว..”
หลงเฉินพึมพําออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาเดินไปตามเส้นทางตรงหน้า ระหว่างทางก็เปิดสัมผัสเทวะของตนออก เพื่อคอยสํารวจว่าในบริเวณใกล้เคียงนั้นมีผู้ใดอยู่บ้างหรือไม่ แต่ก็มิพบผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว
“ปีกมารสวรรค์!” หลงเฉินพึมพําออกมา แล้วปีกงดงามทั้งสองข้างก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเขา จากนั้นหลงเฉินจึงรีบบินตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
“นั่นคือกําแพงเมืองจันทราสีเงิน!! ในที่สุดข้าก็มาถึงที่นี่”
หลงเฉินพึมพําออกมาระหว่างที่มองเห็นกําแพงเมือง เขาร่อนลงสู่พื้นและปีกทั้งคู่ก็พลันหายไป จากนั้นหลงเฉินจิ๋วเริ่มออกเดินทางต่อด้วยสองเท้าแทน