เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 142
ตอนที่ 142 ข้าต้องการซื้อม้า
“หยุดก่อน!” หลงเฉินร้องตะโกนเรียกคนผู้หนึ่งให้หยุดด้วยน้ําเสียงที่มิใช่เสียงจริง และจงใจปลดปล่อยรัศมีพลังในขั้นอาณาจักรจุติพิภพออกไป
หลงเฉินสูงห้าฟุตแปดนิ้ว และมีร่างกายกํายําแข็งแกร่ง เขาใช้น้ําเสียงที่ดุดันทําให้ตนเองดูมีอายุเพื่อปกปิดอายุที่แท้จริงของตนเอง ส่วนรัศมีพลังในขั้นอาณาจักรจุติพิภพก็ช่วยทําให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีได้
บุรุษที่ถูกหลงเฉินเรียกให้หยุดถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เมื่อพบว่าผู้ที่ต้องเรียก ตนนั้นเป็นยอดฝีมือที่สวมหน้ากากปกปิดใบหน้าไว้ผู้หนึ่ง แม้เขาจักมิสามารถมองเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายที่ร้องตะโกนเรียกตนเองได้ เพราะเขาอยู่เพียงแค่อาณาจักรผสานวิญญาณเท่านั้น
แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในเวลานี้ทําให้เขารู้เพียงแค่ว่า บุรุษสวมหน้ากากที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นจักต้องเป็นผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะที่มีขั้นพลังเหนือกว่าผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะคนอื่นๆที่เขาเคยพบเห็นอย่างมากมาย อีกทั้งยังเหนือกว่าผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบเห็นมาด้วยซึ่งคนนั้นก็คือท่านประมุขของเมืองครามเทาแห่งนี้
ท่านประมุขของเมืองครามเทาเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นสิบแล้ว แต่เวลานี้เขากลับสัมผัสได้ว่า รัศมีแข็งแกร่งที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของบุรุษตรงหน้าตนนั้น เหนือกว่าท่านประมุขซึ่งอยู่ในอาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นสิบหลายเท่านัก
“ยอดฝีมือในขั้นอาณาจักรจุติพิภพ!! ใช่แล้ว.. ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!”
บุรุษผู้นั้นคิดคํานึงอยู่ในใจ ความกังวลใจพลันเพิ่มทวีขึ้น นั่นเพราะในจักรวรรดิแห่งนี้หากผู้ใดเข้าสู่อาณาจักรจุติพิภพ ย่อมนับว่าเป็นยอดฝีมือที่มีพลังบ่มเพาะสูงสุดในจักรวรรดซุยแม้แต่องค์จักรพรรดิเองยังอยู่เพียงแค่อาณาจักรจุติพิภพเช่นกัน
“ท่านผู้สูงส่ง มิทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยงั้นรึ?” บุรุษผู้นั้นโค้งศรีษะลง และเอ่ยถามหลงเฉินด้วยสีหน้าท่าทางที่เคารพนบนอบยิ่งนัก
“ข้าเป็นผู้มาใหม่จึงยังมิคุ้นเคยกับเมืองนี้มากนัก ข้ากําลังมองหาที่พัก มิทราบว่าเจ้าพอจะแนะนําข้าได้หรือไม่ว่า ที่พักที่ดีที่สุดในเมืองนี้คือที่ใด?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงที่ปรับแต่ง
“ข้าน้อยยินดีอย่างยิ่ง! โรงเตี้ยมที่ดีที่สุดของเมืองนี้ชื่อว่าโรงเตี้ยมดารา แม้ว่าจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ท่านจะได้รับการบริการที่ดี และสิ่งอํานวยความสะดวกมากมายที่มิสามารถหาได้จากโรงเตี้ยมอื่นๆในเมืองแห่งนี้ นักล่าสัตว์อสูร และผู้คนจากจักรวรรดิอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เลือกพักที่โรงเตี้ยมแห่งนี้เป็นอันดับแรก..” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบหลงเฉินในขณะที่ใบหน้ายังคงก้มต่ํา
“ที่สําคัญยิ่งก็คือ โรงเตี้ยมแห่งนี้เป็นสถานที่พักอาศัยที่นับว่าปลอดภัยที่สุดในเมืองนี้ โรงเตี้ยมดาราเป็นของตระกูลต้วนซึ่งเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองครามเทา ท่านประมุขแห่งตระกูลต้วนอยู่ในอาณาจักรแก่นปราณทองคําขั้นสิบ ด้วยเหตุนี้จึงมิมีผู้ใดกล้าเข้าไปสร้างความวุ่นวายภายในโรงเตี้ยมดาราของตระกูลต้วน แต่แน่นอนว่า.. คงมิมีผู้ใดกล้าวุ่นวายกับยอดฝีมือในขั้นอาณาจักรจุติพิภพดังเช่นท่านผู้สูงส่งซึ่งอยู่ตรงหน้าข้าเช่นกัน” บุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบมองหลงเฉินวูบหนึ่งในระหว่างที่เอ่ยประโยคสุดท้าย
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าเองก็เพิ่งเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณ แต่กลับสามารถคาดเดาขั้นพลังของข้าได้นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว!” หลงเฉินเอ่ยตอบด้วยน้ําเสียงทุ้มลึก
“ข้ามคู่ควรกับคําชมของท่านผู้สูงส่งแม้แต่น้อย เป็นเพราะรัศมีพลังของท่านประหนึ่งดวงตะวันที่สาดส่องต่างหาก! ข้าโง่เขลายิ่งนักที่บังอาจคาดเดาขั้นพลังของท่านเช่นนี้” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบหลงเฉิน
“โอ้ว… ดูเหมือนข้าจะเผลอปลดปล่อยรัศมีพลังของตนออกมาสินะ” หลงเฉินเอ่ยขึ้น และแส ร้งทําเป็นว่าตนเองมิได้ตั้งใจ และหยุดการปลดปล่อยรัศมีพลังในขั้นอาณาจักรจุติพิภพของตน
“เอาล่ะ.. บอกข้าทีว่าโรงเตี้ยมดาราอยู่ที่ใด?” หลงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองบุรุษผู้นั้น
“ท่านผู้สูงส่งเดินตรงไปด้านหน้าอีกสักครู่ จากนั้นท่านก็จะได้พบโรงเตี้ยมดาราตั้งอยู่ ซึ่งมีป้ายชื่อเขียนบอกไว้อย่างชัดเจน ข้างๆโรงเตี้ยมจักมีโรงม้าอยู่ด้วย” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบ
“เอาล่ะสหายน้อย เจ้าไปได้แล้ว!”
หลงเฉินเอ่ยบอก และแสร้งทําเป็นพูดจาด้วยท่าทางของคนสูงอายุ ก่อนจะเดินตรงไปด้านหน้าและปล่อยบุรุษผู้นั้นไว้ข้างหลังตามลําพัง
“ข้าจักต้องรีบไปรายงานท่านประมุขว่า ในเมืองของเราได้มียอดฝีมือขั้นอาณาจักรจุติพิภพมาเยือน หากคนของตระกูลต้วนสามารถทําความสนิทสนมกับเขาได้ ก็จักเป็นประโยชน์ต่อตระกูลต้วนยิ่ง” บุรุษผู้นั้นพึมพํากับตนเอง แล้วรีบเดินจากไปทันที
หลงเฉินเดินตรงไปไม่นานนัก ก็พบสถานที่ที่บุรุษผู้นั้นกล่าว..
ป้ายชื่อ “ดารา” ที่เขียนไว้ด้วยตัวอักษรงดงามถูกแขวนอยู่ด้านบนของโรงเตี้ยม ส่วนด้านข้างโรงเตี้ยมก็มีคอกม้าเล็กๆตั้งอยู่ ซึ่งเวลานี้มีทั้งม้าและรถม้า
“ม้านั่นช่างสวยงามยิ่งนัก!” หลงเฉินเอ่ยพึมพําขณะที่จ้องมองม้าตัวหนึ่งในโรงม้า ที่ดึงดูดความสนใจของเขายิ่ง
แม้รูปร่างของมันจักสวยงามน่าดึงดูดยิ่งนัก แต่สิ่งที่หลงเฉินสนใจกลับมิใช่รูปร่างที่สง่างามขอ งมัน แต่เป็นขั้นพลังบ่มเพาะของมันต่างหากเล่า
“สัตว์อสูรวิญญาณขั้นสอง”
หลงเฉินพึมพําออกมา ม้าตัวนี้คือสัตว์อสูรวิญญาณ ภายในโรงม้าแห่งนี้มีม้าซึ่งเป็นสัตว์อสูรวิญญาณอยู่ถึงสามตัว แม้ว่าตัวนี้จะอยู่เพียงแค่ขั้นสอง แต่อีกสองตัวที่เหลือก็อยู่เพียงแค่ขั้นหนึ่งของอาณาจักรผสานวิญญาณเท่านั้น หลงเฉินรู้สึกชื่นชอบม้าตัวนี้ยิ่งนักและปรารถนาที่จะได้มันไว้ใช้ในการเดินทาง
“ข้าอยากจะขอซื้อม้าตัวนี้!” หลงเฉินพึมพําออกมาขณะที่ก้าวเดินไปยังโรงม้า
“ม้านี่เป็นของผู้ใดกัน?!” หลงเฉินเอ่ยถามบุรุษที่ทําหน้าที่ดูแลโรงม้าแห่งนี้
“ม้าทั้งสามตัวเป็นของแขกที่มาพักในโรงแรมของเรา พวกมันทั้งสามลากรถม้าคันนั้นมา”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางม้าซึ่งเป็นสัตว์อสูรวิญญาณทั้งสามตัว และรถม้าสวยงามที่จอดอยู่ด้านข้าง
“สัญลักษณ์นั่น?!” หลงเฉินพึมพํากับตนเองเมื่อเห็นสัญลักษณ์รูปดอกกุหลาบอยู่บนรถม้าหรูหราคันนั้น
“นั่นมันตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเมียซูมิใช่รึ? นี่เป็นจักรวรรดิอันดับสองซึ่งอยู่อีกฝั่งของจักรวรรดิซุยมิใช่รึ? พวกเขามาทําอะไรที่นี่กันนะ? เหตุใดจึงต้องข้ามดินแดนจักรวรรดิซุยไปยังจักรวรรดิหวนจื่อเช่นนี้?” หลงเฉินพึมพํากับตนเองในขณะที่กําลังครุ่นคิดหาเหตุผล
“แต่ช่างเถิด.. สิ่งที่ข้าต้องการคือม้าตัวนั้น!! เหตุใดจึงต้องมาครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นเช่นนี้ด้วย เล่า?” หลงเฉินพึมพํากับตนเอง และเปลี่ยนใจที่จะคิดใคร่ครวญเรื่องอื่นๆ
“พวกเขาอยู่ด้านในโรงเตี้ยมงั้นรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามผู้ดูแล
“ใช่แล้ว.. แขกทั้งหมดพักอยู่ด้านใน ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงคล้ายนักพรตเต๋และมีสัญลักษณ์กุหลาบเช่นเดียวกันนั้นปักอยู่” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบหลงเฉิน
หลงเฉินเดินจากผู้อารักขามา แล้วจึงเดินตรงเข้าไปในโรงเตี้ยม ทันทีที่หลงเฉินก้าวเท้าเข้าไปภายในโรงแรม ร่างของเขาก็ดึงดูสายตาทุกคู่ที่อยู่ด้าน และทุกสายตาก็จับจ้องมายังร่างของเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน