เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 19
ตอนที่ 19 ปีกมารสวรรค์
ทันทีที่หลงเฉินหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมา เขาพบว่ามันแตกต่างจากตำราที่เขาพบก่อนหน้า อย่างน้อยก็วัสดุที่ใช้เขียนตำราก็ดูเหมือนจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าเหนือกว่าตำราที่เขาเคยพบเจอมาทั้งหมด
อีกสิ่งหนึ่งที่ตำราเล่มนี้แตกต่างจากตำราที่เขาพบก่อนหน้าก็คือ.. ตำราเล่มนี้ที่หน้าปกมีอักษรตัวใหญ่เขียนไว้ว่า ‘ ปีกมารสวรรค์’
“ปีกมารสวรรค์.. ฟังดูเป็นวรยุทธต่อสู้ที่เยี่ยมยอด หวังว่าจะเป็นวรยุทธล้ำเลิศเช่นเดียวกับชื่อของเจ้านะ?” หลงเฉินรำพึงรำพันกับตนเองพร้อมกับสายตาที่จับจ้องอยู่ที่ตัวอักษรบนหน้าปก
ชื่อที่โดดเด่นของคัมภีร์เล่มนี้ นอกจากจะทำให้หลงเฉินชื่นชอบแล้ว ยังทำให้เขาประทับและรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นวรยุทธต่อสู้ที่ล้ำเลิศ เขาจึงตัดสินใจเปิดออกอ่าน
หลงเฉินเริ่มอ่านเนื้อหาภายในคัมภีร์เล่มนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ระหว่างที่เปิดออกอ่านทีละหน้านั้น อารมณ์ความรู้สึกภายในจิตใจก็ได้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย จากเดิมที่เพียงแค่อยากรู้อยากเห็น ได้เปลี่ยนเป็นอัศจรรย์ใจ ก่อนจะตามมาด้วยความตระหนกตกใจ และท้ายที่สุดเขาก็จมดิ่งใคร่ครวญอยู่กับเนื้อหาที่บรรยายไว้ในคัมภีร์อย่างจริงจัง
หลงเฉินเปิดอ่านไปทีละหน้าจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย เขาปิดคัมภีร์เล่มนั้นพร้อมกับใบหน้าที่แย้มยิ้ม..
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก.. ช่างเป็นวรยุทธต่อสู้ที่ล้ำเลิศมากเหลือเกิน หากวรยุทธต่อสู้นี้ไปปรากฏอยู่ในโลกแห่งความจริง แต่ละจักรวรรดิมิต้องทำสงครามแย่งชิงกันหรอกหรือ? แต่เหตุใดตำราล้ำเลิศเช่นนี้กลับถูกโยนทิ้งในตระกร้าขยะเช่นนี้เล่า?” หลงเฉินพึมพำออกมาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่สามารถคิดหาคำตอบได้
‘หรือชายหนุ่มชุดแดงจักมิได้ชื่นชอบวรยุทธต่อสู้นี้? หรือคิดว่าเป็นวรยุทธที่อ่อนด้อยจนเกินไป ไม่ควรค่าแก่การที่เขาจะใส่ใจ? หรือเป็นเพราะเขามีความทรงจำที่เลวร้ายต่อวรยุทธต่อสู้นี้กันแน่? เฮ้อ.. ข้าก็คงได้แต่คาดเดาไปต่างนานา ยากนักที่จะรู้เหตุผลแท้จริงได้’ หลงเฉินพยายามครุ่นคิดหาเหตุผล เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตนกำลังประสบอยู่
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดที่อยากจะรู้ว่า เหตุใดชายผู้นั้นจึงได้โยนคัมภีร์ที่ล้ำเลิศเช่นนี้ทิ้งขยะได้ และเปลี่ยนมาเป็นมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับเนื้อหาภายในตำราเท่านั้น
หลังจากอ่านจนจบเล่ม หลงเฉินจึงได้รู้ว่าคัมถีร์เล่มนี้เป็นวรยุทธต่อสู้ที่ทำให้ผู้ฝึกสามารถบินได้ เขายินดียิ่งนักที่ได้พบเจอคัมภีร์เล่มนี้โดยบังเอิญ วรยุทธต่อสู้ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปรือสามารถบินได้นั้น ในโลกของหลงเทียนเห็นจะมีไม่กี่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่จะได้ครอบครองคัมภีร์ล้ำเลิศเช่นนี้ แม้แต่อาณาจักรซุยเองก็หาผู้ใดมีไม่ กระทั่งองค์จักรพรรดิเองก็ตาม
ปกติแล้ว.. ผู้ที่ฝึกฝนจนเข้าสู่อาณาจักรปราณนภาเท่านั้น จึงจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้โดยมิต้องพึ่งพาวรยุทธต่อสู้ใด ฉะนั้นแล้ววรุยทธต่อสู้เล่มนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อยิ่งนักสำหรับผู้ฝึกยุทธที่ต่ำกว่าอาณาจักรปราณนภา
ความสำคัญของคัมภีร์วรยุทธต่อสู้นี้ เขาสามารถเข้าใจได้จากตำราต่างๆที่หลงเทียนเคยอ่านมา ซึ่งพูดถึงเรื่องวรยุทธที่ทำให้ผู้ฝึกปรือสามารถบินได้เหล่านี้ด้วย วรยุทธเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นมรดกของตระกูลใหญ่ในจักรวรรดิต่างๆ และเป็นสิ่งที่ห้ามแพร่งพรายให้กับคนนอกตระกูลล่วงรู้ หากผู้ใดฝ่าฝืน โทษสถานเดียวคือความตาย!
แม้วรยุทธต่อสู้ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกบินไปกลางอากาศได้นั้นจะมีอยู่มากมาย แต่หลงเฉินกลับรู้สึกว่า คัมภีร์ ‘ปีกมารสวรรค์’ นี้เหนือกว่าวรยุทธใดๆในหล้า และจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อวรยุทธบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธนั้นก้าวหน้า วรยุทธต่อสู้นี้ก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วยเช่นกัน
ชื่อของคัมภีร์ได้อธิบายไว้ชัดเจนยิ่ง ผู้ใดฝึกฝนวิชาตามคัมภีร์นี้ย่อมสร้างปีกขึ้นด้วยพลังชี่ในกายได้ พลังชี่ซึ่งถูกปลดปล่อยจากร่างนั้นจะก่อรวมกันเป็นปีก ทำให้ผู้ฝึกวรยุทธต่อสู้นี้สามารถบินไปท่ามกลางอากาศได้ หาหลงเฉินฝึกวรยุทธต่อสู้นี้สำเร็จ เขาย่อมสามารถบินไปในท้องนภาได้เท่าที่พลังชี่ในร่างกายมีเพียงพอ
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังจะเริ่มลงมือฝึกฝนวรยุทธต่อสู้นี้ เสียงจากภายนอกห้องก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูที่ค่อยๆหนักหน่วงขึ้น แต่ก่อนที่จะทันได้เห็นสิ่งใด หลงเฉินก็พลันตื่นขึ้นจากห้วงความฝันเสียก่อน
หลงเฉินตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองยังคงนอนอยู่บนพื้นเหมือนเมื่อคืน ลมเย็นๆพัดโชยผ่านผืนน้ำในทะเลสาบ ทำให้เขารู้สึกเย็นขึ้นมาทันที
หลงเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับอ้าปากหาว เวลานี้ดวงสุริยันต์กำลังทองประกายแสงเจิดจ้าอยู่บนฟากฟ้า เขาแย้มยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อพบความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตนเอง
ร่างของหลงเฉินสูงขึ้นกว่าาเดิมเล็กน้อย แม้จะไม่มากแต่ก็พอสังเกตเห็นได้ ผิวพรรณของเขาเวลานี้ผ่องใสและเนียนนุ่มมากกว่าเดิม แต่นี่หาใช่การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาแย้มยิ้มออกมาไม่
สิ่งที่ทำให้หลงเฉินแย้มยิ้มออกมาอย่างมีความสุขนั้นคือ ความแข็งแกร่งที่สามารถเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณได้ต่างหาก เขาทดลองใช้ญาณหยั่งรู้ของตนส่องเข้าไปสำรวจเมล็ดจิตวิญญาณสีทองภายในร่างกาย
หลงเฉินมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อพบว่า ตนยังคงอยู่ในขอบเขตอาณาจักรผสานวิญญาณ เขาอดสงสัยมิได้ว่าเหตุใดการทะลวงขั้นพลังในความฝัน จึงส่งผลให้เขาเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณในชีวิตจริงๆได้ด้วย แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดเช่นใด เขาก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลที่ดีได้ จึงเลิกที่จะคิดหาคำตอบ แล้วกลับมามีความสุขกับความก้าวหน้าของตนเองแทน
หลังจากดีอกดีใจอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดท้องของหลงเฉินก็เริ่มร้อง เป็นสัญญาณเตือนว่าความหิวได้เข้ามาเยือนแล้ว และถึงเวลาที่เขาจะต้องหาอาหารประทังความหิว
หลงเฉินหย่อนก้นลงบนหินใกล้ตัว แล้วจึงเรียกเอาผลไม้สีทองออกมาจากแหวนจัดเก็บของตน ก่อนจะเริ่มกัดกินอย่างช้าๆ
หลงเฉินเหม่อมองไปทางท้องทะเลสาบในระหว่างที่ปากก็กัดกินผลไม้สีทองไปด้วย ภาพของทะเลสาบตรงหน้าทำให้เขาอดนึกถึงช่วงเวลาบนโลกที่เขาจากมาไม่ได้ เขากับพ่อและแม่ได้เคยไปตั้งแคมป์ที่ทะเลสาบเช่นนี้มาก่อน
หลงเฉินจำได้ว่า.. ครั้งนั้นตัวเขากับพ่อแม่ก็ได้นั่งรับประทานอาหารกันพร้อมหน้าโดยมีทะเลสาบอยู่เบื้องหน้าเช่นนี้ แต่ครานี้กลับเหลือเขาอยู่เพียงลำพังคนเดียว อีกทั้งยังอยู่ใต้เหวลึกจากน้ำมือของคนชั่วร้ายบางคน
หลงเฉินอดที่จะนึกถึงพ่อแม่ของเขาในโลกก่อนหน้าไม่ได้ เขานึกเสียใจที่ตนเองต้องตายไป และทิ้งให้พ่อกับแม่ของตนต้องอยู่กันตามลำพัง ไม่รู้ว่าพวกท่านจะเสียใจกับการจากไปของเขามากเพียงใด
หลงเฉินหวนคิดไปถึงในวัยสนุกสนานไร้เดียงสาเมื่อครั้งที่อยู่โรงเรียน ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องกังวลใจว่าจะมีผู้ใดวางแผนทำร้าย หรือลอบสังหารตนเองเหมือนเช่นตอนนี้ ข้างโต๊ะภายในห้องเรียนของเขา เป็นเด็กผู้หญิงที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่ยิ่งคิดถึงชีวิตในวัยเรียนบนโลกที่จากมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นเท่านั้น
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หลงเฉินจึงตัดใจและเลิกคิดถึงบ้าน มันเป็นความรู้สึกที่หดหู่และเศร้าหมองมากจนเกินไป เวลานี้เขาควรต้องมุ่งมั่นเข้มแข็งฝึกฝนวรยุทธต่อสู้ที่จะสามารถพาตนเองออกไปจากที่นี่ให้ได้ต่างหาก และเวลานี้เขาก็พบวรยุทธที่่ว่าแล้ว..
หลงเฉินตัดสินใจที่จะฝึกวรยุทธต่อสู้ตามคัมภีร์ปีกมารสวรรค์ เพื่อจะได้ออกไปจากก้นเหวแห่งนี้!