เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 47
ตอนที่ 47 ทำเช่นไรดี
“พี่ซวี่.. เจ้าว่านายน้อยจักอยู่ในป่าอีกนานหรือไม่? นี่ก็ผ่านไปตั้งสองวันแล้วนะ..” เม่ยเอ่ยหันไปมองซวี่ผู้เป็นพี่พร้อมกับเอ่ยถามออกมา
ทั้งคู่ก็คือหญิงสาวทั้งสองคนที่หลงเฉินได้ช่วยไว้ จากการถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รุมฉุดคร่าเมื่อครั้งที่อยู่ในป่านั่นเอง หลงเฉินได้รับนางเข้าเป็นบ่าวรับใช้ในตระกูลหลงตามคำอ้อนวอนของพวกนาง และได้สั่งให้พวกนางสองคนไปรอเขาอยู่ที่รถม้าด้านนอก และพวกนางทั้งสองก็ได้ออกมารอหลงเฉินที่นี่นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
“เฮ้อ.. เจ้าถามคำถามเดิมๆกับข้ามานับสิบครั้งแล้ว และข้าก็ตอบเจ้ากลับไปด้วยคำตอบเดิมๆเช่นกัน ข้าจักรู้ได้อย่างไรกัน อาจจะอีกหนึ่งวัน หรืออีกหนึ่งอาทิตย์ก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะนานเท่าใดพวกเราสองคนก็ต้องคอย..” ซวี่เอ่ยตอบด้วยสีหน้าหงุดหงิดรำคาญ
“แต่ที่ที่เราพบกับนายน้อยและแยกจากเขานั้น ก็นับว่าอยู่ในป่าที่ลึกมากแล้ว เจ้าเองก็รู้ว่ายิ่งลึกเข้าไปในป่ามากเท่าใด ก็จักยิ่งพบเจอสัตว์อสูรวิญญาณระดับสูงที่สุดมากขึ้น เจ้าว่านายน้อยจักปลอดภัยดีหรือไม่?” เม่ยยังคงเอ่ยถามต่อไปโดยมิได้สนใจสีหน้าหงุดหงิดของซวีเลยแม้แต่น้อย
ซวี่ยกมือขึ้นห้ามมิให้เม่ยถามอะไรอีก แต่นางก็ยังคงถามไม่หยุดเช่นเคย จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ซวี่จึงลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปหาเม่ย จากนั้นจึงโน้มตัวลงและค่อยๆยื่นใบหน้าของตนเข้าไปหาใบหูของเม่ย แล้วจึงกระซิบเสียงเบา
“เมื่อครู่ที่อยู่ในป่าลึก เจ้าก็เห็นกับตาตัวเองแล้วมิใช่รึว่า นายน้อยสังหารคนชั่วพวกนั้นได้ง่ายดายเพียงใด ไม่มีทางที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับสัตว์อสูรตนใดแน่! เจ้าต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวนายน้อยสิ!”
และในขณะนั้นเอง.. หลงเฉินก็ได้ก้าวเดินออกมาจากป่าเหนือทมิฬ และกำลังเดินตรงไปยังรถม้าของตน
“นายน้อยหลง!” หลงเฉินได้ยินเสียงร้องตะโกนของผู้ชายดังขึ้น จึงชะงักฝีเท้าและหันไปทางต้นเสียง
“มีอะไรงั้นรึ?” เมื่อเห็นว่าเป็นคนขับรถม้าจากในวัง หลงเฉินจึงเอ่ยถามขึ้นทันที
ซวี่กับเม่ยเองก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของผู้ชายดังขึ้นเช่นกัน ทั้งสองคนจึงรีบหันไปมอง และเมื่อพบว่าหลงเฉินเดินออกมาแล้ว ทั้งคู่จึงรีบลุกขึ้นและวิ่งตรงไปหาทันที
“นายน้อยหลง.. มิทราบว่าท่านพบเจ้านายของข้าในป่าบ้างหรือไม่?” คนขับรถม้าจากในวังเอ่ยถามทันที
“พบสิ.. ทั้งสองคนยังคงท่องอยู่ในป่า น่าจะอีกพักใหญ่ๆจึงจะกลับออกมา ส่วนข้ากลับออกมาก่อน” หลงเฉินเอ่ยตอบพร้อมกับก้าวเท้าตรงไปยังรถม้าของตนเอง
‘องค์ชายกับองค์หญิงย่อมต้องกลับออกมาหลังเจ้าอยู่แล้ว พวกเขาทั้งคู่ล้วนแข็งแกร่งยิ่ง แต่เจ้ากลับออกมาก่อนเช่นนี้ เห็นชัดว่าเจ้าเองก็มิได้แข็งแกร่งอันใดนัก’ คนขับรถม้าครุ่นคิดอยู่ในใจระหว่างที่ฟังคำตอบของหลงเฉิน
“นายน้อย!” ซวี่และเม่ยต่างก็ร้องตะโกนเรียกหลงเฉินด้วยความดีอกดีใจ
“เอาล่ะ.. รีบขึ้นรถม้าไปได้แล้ว ได้เวลาต้องกลับกันเสียที!”
หลงเฉินร้องบอกในขณะที่เท้ายังคงก้าวเดินไปยังรถม้าของตน และเมื่อทั้งหมดขึ้นไปนั่งในรถม้าแล้ว หลงเฉินก็ร้องตะโกนสั่งให้ออกเดินทางในทันที
ซวี่นั่งอยู่ทางด้านขวาของหลงเฉิน ส่วนเม่ยนั้นนั่งอยู่ทางด้านซ้าย ระหว่างทางหลงเฉินมิได้สนทนากับผู้ใดเลย เขาเอาแต่อ่านตำราที่นำติดตัวมาด้วย..
ขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนไปนั้น ทุกครั้งที่รถม้าโยกไปโยกมา ไหล่ของซวี่และเม่ยก็จะกระทบเบียดเสียดกับไหล่ของหลงเฉินตลอดเวลา แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ และสายตายังคงจับจ้องอยู่ตำราตรงหน้าตน
“เอ่อ.. นายน้อย” หลังจากรถม้าเคลื่อนไปได้กว่าครึ่งทางแล้ว ซวี่ก็กระซิบเรียกหลงเฉินเสียงเยา
“มีอะไรรึ?!” หลงเฉินเอ่ยถามโดยมิได้ละสายตาจากตำราเช่นเคย
“ข้าอยากจะขอบคุณนายน้อยอีกครั้งที่ช่วยพวกเราสองคนไว้ การได้พบกับท่านเสมือนชีวิตของพวกเราทั้งคู่พลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที” ซวี่รีบเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว
“เรื่องนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีกแล้ว แต่ตอนนี้.. เอิ่ม..”
ระหว่างที่หลงเฉินทำเสียงฮึมฮัมอยู่ในลำคอนั้น สายตาก็เหลือบมองไปยังศรีษะของเม่ยที่ซบอยู่บนไหล่ของตน และกำลังหลับไหลอยู่เช่นนั้น ซวี่เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตกใจ และกำลังจักปลุกนางให้ตื่นขึ้น แต่หลงเฉินรีบห้ามไว้
“มิต้อง.. ปล่อยให้นางหลับไปเถิด”
“นายน้อยได้โปรดอภัยให้ด้วย พวกเราสองคนมิได้นอนหลับเต็มอิ่มมาหลายวันแล้ว นางคงจะอ่อนเพลียนัก” ซวี่เอ่ยขอโทษแทนน้องสาวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“มิเป็นไร.. เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย” หลงเฉินตอบกลับยิ้มๆ
หลงเฉินสัมผัสได้ถึงเนินอกอวบอิ่มของเม่ยที่เบียดเสียดอยู่กับแขนของตนในระหว่างหลับไหล แต่เขากลับมิขยับแขนออก และยังคงนั่งอ่านตำราต่อไป
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม.. จู่ๆหลงเฉินก็ถึงกับสะดุ้ง และหยุดสนใจกับตำราตรงหน้าทันที นั่นเพราะความรู้สึกบางอย่างกำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขาในยามนี้ แม้เม่ยจะกำลังหลับไหลอยู่บนบ่าของเขา แต่มือของนางนั้นกลับวางพาดอยู่บนต้นขาของเขา และเวลานี้ฝ่ามือของนางก็วางห่างจากน้องชายของเขาไปเพียงแค่หนึ่งนิ้วมือเท่านั้น
แต่เพราะซวี่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง นางจึงมิได้เห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้..
‘ข้าควรทำเช่นใดดี… ใจหนึ่งก็อยากจะจับมือของนางออกไป แต่อีกใจก็อยากให้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ’ หลงเฉินได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ หรือฉวยโอกาสดี
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นี้ มือของเม่ยกลับเคลื่อนสูงขึ้น และเวลานี้ได้มาวางอยู่บนน้องชายของเขาพอดี..
‘เอ่อ.. ตายแน่! ข้าควรต้องจับมือของนางออกแล้ว!’
คิดได้เช่นนั้นหลงเฉินจึงรีบเอื้อมมือของตนไปจับมือของเม่ยที่วางอยู่ออก เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มจากฝ่ามือของนาง
“นายน้อย.. อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงตระกูลหลงของท่าน?”
แต่ในขณะที่เขากำลังจะยกมือของเม่ยออกนั้น เสียงเอ่ยถามของซวี่ก็ดังขึ้นพอดี หลงเฉินจึงต้องรีบหยิบตำราในมืออีกข้างขึ้นปิดบังสายตาของนางไว้ เพื่อมิให้นางเห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
“เอ่อ.. จากนี่ไปก็อีกไม่ไกลนัก คงอีกไม่นานพวกเราก็จะถึงตระกูลหลงเแล้ว” หลงเฉินเอ่ยตอบและพยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ทำราวกับว่ามิมีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นทั้งสิ้น
“นายน้อย.. ข้าตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ยิ่งนัก หวังว่าเม่ยจะตื่นขึ้นมาก่อนที่พวกเราจะถึงที่นั่น” ซวี่เอ่ยอบอกด้วยสีหน้าตื่นเต้นดใจ
“อืมม ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น!” หลงเฉินจ้องมองหน้าซวี่ขณะตอบ และพยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ว่าแต่.. พวกเจ้าสองพี่น้องไม่มีครอบครัวรอคอยอยู่ที่แดนอุดรจริงรึ?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นเพื่อดึงความสนใจของซวี่ออกจากเม่ยที่กำลังหลับไหล
“เป็นความจริงนายน้อย.. พวกเราสองคนพี่น้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง แม่ของข้าป่วยตายไปนานแล้ว ส่วนพ่อของข้าก็เพิ่งจะเสียไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาออกไปล่าสัตว์อสูรวิญญาณในป่าเพื่อนำไปขายเป็นเงิน แต่ถูกพวกมันฆ่าตายเสียก่อน..” ซวี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
“อ่อ.. ข้าเสียใจด้วย แต่นับจากนี้ไป เมื่อพวกเจ้าสองคนมาอยู่กับข้าแล้ว แม้ชีวิตหลังจากนี้อาจจะมิใช่ชีวิตที่ดีที่สุดของพวกเจ้า แต่ข้าเชื่อว่ามันต้องดีกว่าทีเป็นอยู่ในตอนนี้แน่..” หลงเฉินยิ้มให้กับซวี่ในขณะที่เอ่ยตอบนาง
ทันทีที่ซวี่ได้ฟังคำพูดของหลงเฉิน และได้เห็นรอยยิ้มที่งดงามของเขา หัวใจของนางก็ถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก..
“ขอบคุณนายน้อย” ซวี่ไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณหลงเฉินอีกครา
“ไม่..” ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะเอ่ยตอบซวี่ออกไปนั้น จู่ๆเขาก็ถึงกับต้องหยุดชะงักขึ้นมากลางคัน เมื่อพบว่าเวลานี้มือของเม่ยได้กำน้องชายของเขาไว้แน่น ราวกับว่ากำลังกำด้ามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ไม่ปาน
‘นรกมาเยือนข้าแล้ว! นี่นางกำลังฝันไปหรืออย่างไร? นางรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวกันแน่?!’ หลงเฉินเฝ้าครุ่นคิดด้วยความตกใจ
“เอ่อ.. พอดีจู่ๆข้าก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เมื่อครู่ข้ากำลังจะบอกกับเจ้าว่า เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าอีกแล้ว” หลงเฉินหันไปยิ้มให้ซวี่ และพยายามสนใจซวี่มากกว่าสิ่งอื่นที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้
“ต่อให้มิเอ่ยขอบคุณท่าน พวกเราสองพี่น้องก็เป็นหนี้ชีวิตท่านอยู่ดี!” ซวี่เอ่ยตอบ
หลังจากสนทนากันต่ออีกสักพัก ซวี่ก็เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง..
‘ฟังจากเสียงลมหายใจของนาง ดูเหมือนนางจักมิได้แสร้งทำเป็นหลับ..’ หลงเฉินเหลือบมองเม่ย และเห็นว่านางยังคงหลับไหลมิรู้เรื่อง
หลงเฉินยังคงถือตำราด้วยมือข้างเดียวอยู่เช่นนั้น เขามิกล้าวางมันลงเพราะเกรงว่าซวี่อาจจะหันมาอีกเมื่อใดก็ได้..
แต่ในขณะที่สายตาของหลงเฉินจับจ้องอยู่แผ่นหลังของซวี่นั้น จู่ๆ มือของเม่ยที่กำลังกำด้านกระบี่ของเขาอยู่นั้น ก็เริ่มเคลื่อนไหวไปมาคล้ายกับกำลังเล่นกับมันอยู่ หลงเฉินต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตัวเองไว้มิให้ร้องครางออกไป..
‘มิได้แล้ว.. ข้าจักต้องเอามือของนางออกเสียที แม้ข้าจักมิได้เป็นฝ่ายผิด แต่การอยู่นิ่งๆมิทำอะไรเช่นนี้ ก็นับเป็นความผิดเช่นกัน’
ระหว่างที่คิดนั้น หลงเฉินก็เอื้อมมือข้างที่มิได้ถือตำราออกไปจับฝ่ามือที่นุ่มนวลของเม่ยไว้ และพยายามที่จะดึงฝ่ามือของนางออกจากน้องชายของตนอย่างเบามือ เพื่อมิให้นางต้องสะดุ้งตื่น
‘เฮ้อ.. หากให้นางตื่นมาพบเห็นสภาพเช่นนี้ ข้าคงต้องกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก’ หลงเฉินแอบถอนหายใจกับตัวเอง
…….
ในความฝันของเม่ยนั้น.. นางกำลังต่อสู้อยู่กับลูกน้องของฝูงชุนที่พากันไล่ล่านาง พี่สาวของนางถูกฝูชุนจับตัวไว้ ส่วนนางก็กำลังต่อสู้อยู่กับคนชั่วพวกนั้นด้วยมือเปล่าคนแล้วคนเล่า..
แต่ในจังหวะที่นางกำลังจักพ่ายแพ้ให้กับชายโฉดเหล่านั้น จู่ๆ มือของนางก็คว้าได้กระบี่เล่มหนึ่ง นางจึงกำด้ามกระบี่เล่มนั้นไว้แน่น และเริ่มจู่โจมคนชั่วทั้งหมดกลับไปอีกครั้ง
แต่ในระหว่างที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ และกำลังกระหน่ำฟันเข้าใส่ลูกน้องของฝูชุนอยู่นั้น จู่ๆนางก็ล้มลงกับพื้น และศัตรูก็ได้คว้าข้อมือของนางไว้แน่น มันพยายามบีบให้นางคลายกระบี่ในมือให้ได้