เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 48
ตอนที่ 48 หลุมปริศนา
ทางด้านหลงเฉินนั้นก็กำลังพยายามที่จะดึงมือของเม่ยออกจากน้องชายของตนอย่างเบามือ เพื่อเลียงมิให้นางตื่นขึ้นมาในเวลานี้ แต่ดูเหมือนความพยายามของเขาจักมิเป็นผล แต่กลับยิ่งเลวร้ายลงมากกว่าเดิม นั่นเพราะแทนที่นางจักคลายมือออก นางกลับยิ่งกำมันแน่นขึ้นมากกว่าเดิม และยิ่งหลงเฉินพยายามจะดึงมือของนางขึ้น นางก็ยิ่งกดมือของตนเองให้ต่ำลง
หลงเฉินรู้สึกว่าสถานการณ์เวลานี้กลับยิ่งเป็นอันตรายต่อตัวเขามากขึ้น ยิ่งเขาพยายามทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมากเท่าใด กลับยิ่งดูเหมือนเขาเป็นชายโฉดมากขึ้นเท่านั้น นั่นเพราะทุกครั้งที่เขาดึงมือของนางขึ้น นางกลับรูดลงไปเช่นเดิม เป็นอยู่อย่างนั้นจนเขารู้สึกราวกับว่านางเห็นเขาเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง
แต่แล้วจู่ๆซวี่ก็หันกลับมา หลงเฉินจึงต้องรีบดึงมือของตนออกทันที และจำต้องปล่อยให้มือของเม่ยบีบกำความเป็นชายชาตรีของตนไว้เช่นนั้น ส่วนตัวเขาก็แสร้งทำเป็นพลิกตำราอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่เม่ยยังคงเล่นกับน้องชายของเขาอยู่ใต้ตำรา
“นายน้อย.. ข้าเพิ่งนึกได้ว่ายังมิรู้ชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย” ซวี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้
“เอ่อ.. ขะ.. ข้าชื่อว่าหลงเฉิน เป็นชื่อที่ข้าใช่เรียกตัวเอง แต่ชื่อจริงของข้าหาใช่หลงเฉินไม่ ไว้เจ้าไปถึงตระกูลหลงเมื่อใดก็จักรู้เอง แต่เจ้าเรียกข้าว่านายน้อยก็พอ มิจำเป็นต้องมีชื่อต่อท้ายก็ได้”
หลงเฉินต้องพยายามอย่างมากที่จะให้ตนเองจดจ่ออยู่กับการสนทนา เพราะยามนี้เขาเริ่มรู้สึกพึงพอใจกับฝ่ามือของเม่ยที่ยังคงเล่นกับกระบี่ของเขาไม่หยุด
“น้อมรับคำสั่งนายน้อย.. ไว้เม่ยตื่นขึ้นมาเมื่อใดข้าจะบอกกับนางเอง” ซวี่เอ่ยตอบหลงเฉินยิ้มๆ
“อืมม.. เช่นนั้นก็ดี!” หลงเฉินยิ้มตอบ
เหตุการณ์เช่นเดิมยังคงดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่ ฝ่ามือของเม่ยยังคงจับน้องชายของเขาขยับไปเรื่อย แต่ในที่สุดหลงเฉินก็ล้มเลิกความคิดที่จะเอาฝ่ามือของนางออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกมีความสุขกับสัมผัสอ่อนนุ่มจากฝ่ามือของนางบ้างแล้ว..
“เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้แน่!”
เสียงพึมพำเบาๆดังออกมาจากริมฝีปากของเม่ย และรอยยิ้มเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ในที่สุดศรีษะของเม่ยก็เริ่มขยับ หลงเฉินรู้ได้ทันทีว่านางกำลังจะตื่นแล้ว แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็มิรู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี?
เปลือกตาของเม่ยค่อยๆเปิดออก นางเริ่มได้สติและรู้ว่าตนเองกำลังนอนซบไหล่ของหลงเฉินอยู่ แต่ก่อนที่นางจักทันได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น นางก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด
‘เอ.. นี่มันอะไรกัน?’ นางครุ่นคิดอยู่ในใจด้วยความรู้สึกงุนงง
เม่ยรู้สึกว่ามือของตนกำลังกำบางสิ่งบางอย่างไว้แน่น ลักษณะของมันคลายกับด้ามกระบี่ นางค่อยๆเหลือบสายตามองตามท่อนแขนของตนเองไปที่ฝ่ามือ และทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ในมือนั้น นางก็ถึงกับตกใจสุดขีด..
“ห๊ะ…”
เสียงร้องอุทานดังออกมาจากปากของนาง และใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำในทันที เม่ยรีบปล่อยมือจากสิ่งที่กำอยู่ และถอยหลังหนีทันที แต่เนื่องจากภายในรถม้าหาได้กว้างขวางนัก นางจึงถอยหนีออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งนิ้วมือด้วยซ้ำไป..
……
ซวี่ได้ยินเสียงร้องอุทานของเม่ยดังขึ้น จึงรีบหันกลับไปมองทันทีพร้อมกับร้องถามด้วยความงุนงง..
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“นางคงจักต้องฝันร้ายเป็นแน่.. จู่ๆจึงได้ผลีผลามลุกขึ้นร้องตะโกนเสียงดังเช่นนี้” หลงเฉินรีบร้องตอบก่อนที่เม่ยจะทันได้ตอบอันใดออกไป
“เอ่อ.. ชะ.. ใช่แล้ว! ข้าฝันร้ายน่ะ แต่ตอนนี้ตื่นแล้ว!” เม่ยตอบซวี่ตะกุกตะกักพร้อมกับใบหน้าที่ยังคงแดงก่ำ
“แต่ท่าทางของเจ้าดูคล้ายกับคนที่กำลังปิดบังบางสิ่งบางอย่างอยู่?” ซวี่เอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองเม่ยอย่างไม่เชื่อ
“ข้าหาได้ปิดบังอันใดไม่ เจ้าอย่าส่งเสียงดังหนวกหู มิเห็นรึว่านายน้อยกำลังอ่านตำรา เขาต้องการความสงบ!” เม่ยรีบตัดบททันที
“จริงด้วย! ขออภัยนายน้อยที่ข้าทำเสียงดังรบกวนการอ่านตำราของท่าน” ซวี่รีบโน้มศรีษะลงพร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อหลงเฉินทันที
“มิเป็นไร.. เจ้าก็นั่งชมทัศนียภาพด้านนอกต่อไปเถิด” หลงเฉินตอบกลับยิ้มๆ ซวี่พยักหน้าและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเคย
‘ขะ.. ข้า.. นี่ข้าทำอะไรลงไป ข้าจับ.. สิ่งนั้นของนายน้อย.. โอ๊ย.. น่าอับอายทีเดียว!’ เม่ยยกมือขึ้นปิดหน้าที่แดงก่ำของตนเองไว้ และรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นยิ่งนัก
หลงเฉินเองก็อยากจะกล่าวอันใดออกมาเช่นกัน แต่กลับมิมีคำพูดใดหลุดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ภายในรถม้าจึงเหลือเพียงแค่ความสงบเงียบ แต่แล้วจู่ๆ รถม้าก็หยุดนิ่ง..
‘คงจะถึงแล้วสินะ? แต่น่าแปลก เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าขากลับใช้เวลาเดินทางสั้นกว่าขามานะ?’ หลงเฉินครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“เอาล่ะถึงแล้ว พวกเราลงไปได้แล้วล่ะ..” หลงเฉินร้องบอกซวี่กับเม่ยให้ลงจากรถ หลังจากที่คนขับรถม้ามาเคาะประตูแจ้งว่าถึงตระกูลหลงแล้ว
เม่ยก้าวลงจากรถม้าด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล คล้ายกับกำลังรู้สึกผิดต่อการกระทำบางอย่าง..
“นายน้อยกลับมาแล้ว!” ทหารยามที่เฝ้าหน้าประตูต่างก็พากันส่งเสียงทักทายในขณะที่เปิดประตูให้รถม้าของเขาเข้ามา
‘นายน้อยคงต้องมีตำแหน่งสูงส่งในตระกูลเป็นแน่ ทุกคนจึงได้ดูเคารพนบนอบต่อเขาเช่นนี้’ ซวี่ที่เฝ้าสังเกตการณ์ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ ในขณะที่เม่ยกลับเดินก้มหน้าก้มตาลงจากรถม้าอย่างเงียบๆ
“ท่านแม่!”
หลงเฉินเดินตรงไปที่ห้องของซือหม่าจวี้อี๋ และรีบเคาะประตูเรียก ทันทีที่ประตูเปิดออก นางก็ตรงเข้ากอดหลงเฉินไว้แน่น หลงเฉินสัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นของผู้เป็นแม่ได้อย่างชัดเจน แม้ซือหม่าจวี้อี๋จักมิใช่แม่แท้ๆของเขา แต่เขาก็มีความสุขกับความรู้สึกเช่นนี้มาก
“เทียนเอ๋อ กลับมาแล้วรึ? เจ้ามิได้รับบาดเจ็บที่ใดใช่หรือไม่? แม่ดีใจนักที่เห็นเจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย..” หลังจากกอดหลงเฉินจนพอใจแล้ว ซือหม่าจวี้อี๋ก็สำรวจตามเนื้อตัวของเขาอย่างละเอียด ในขณะที่ปากก็พล่ามบ่นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ท่านแม่ ข้ามิได้รับบาดเจ็บอันใดเลย ท่านใยต้องกังวลใจด้วยเล่า ข้าหาได้อ่อนแอเช่นนั้นไม่” หลงเฉินเอ่ยตอบเพื่อให้นางคลายความกังวลใจ
“จริงด้วยๆ เจ้าจักได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรกัน ในเมื่อเจ้าแข็งแกร่งที่สุด!” ซือหม่าจวี้อี๋ตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากสนทนากันฉันท์แม่ลูกที่รักใคร่กันมากแล้ว ซือหม่าจวี้อี๋ก็สังเกตเห็นหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังหลงเฉิน นางทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยในขณะที่เอ่ยถามขึ้น..
“ห๊ะ?! เด็กสาวทั้งสองนี่.. อย่าบอกข้านะว่าเจ้าริอาจมีเมียแล้ว? แต่พวกเจ้าทั้งสองดูเด็กเกินไปที่จะ..”
หลงเฉินถึงกับตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินคำถามของซือหม่าจวี้อี๋ เขารีบหันมองไปทางซวี่ที่กำลังอ้าปากค้าง ในขณะที่เม่ยยังคงเอาแต่ก้มหน้าก้มตา
“ท่านแม่!! นี่ท่านกล่าววาจาอันใดออกมา หาได้เป็นดังเช่นที่ท่านแม่คิดไม่.. ข้ายังเด็กเกินไปที่จะทำเรื่องเช่นนั้น!!” หลงเฉินระล่ำระลักตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“งั้นรึ? ช่างน่าเสียดายนัก ข้ากำลังคิดว่าตนเองจักได้สะใภ้หน้าตาจิ้มลิ้มพร้อมกับคราเดียวสองคนเสียอีก” ซือหม่าจีวี้อี๋หยอกเย้าบุตรชายอย่างมีความสุข
“ในเมื่อมิใช่คนรักของเจ้า แล้วพวกนางสองคนเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดเจ้าจึงต้องพวกนางกลับมาตำหนักด้วย?” ซือหม่าจวี้อี๋เอ่ยถามต่อทันที
“พวกนางเป็นเด็กสาวที่ข้าช่วยไว้ในระหว่างต่อสู้กับสัตวูอสูรวิญญาณในป่าเหนือทมิฬ พวกนางต้องการทำงานเพื่อหาเงินไปใช้หนี้ จึงขอให้ข้าพามาทำงานที่ตระกูลหลงด้วย ข้าสงสารจึงได้พาพวกนางทั้งสองกลับมาด้วยนี่ล่ะ..” หลงเฉินเล่าให้ฟังทันที
“งั้นรึ? นึกไม่ถึงว่าเจ้าไปที่ป่าเหนือทมิฬครั้งนี้ มิเพียงได้พัฒนาทักษะการต่อสู้ของตนเอง แต่ยังช่วยชีวิตของเด็กสาวหน้าตางดงามไว้ได้ถึงสองคน ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามากเทียนเอ๋อ.. เจ้ากล้าหาญไม่ต่างจากท่านพ่อจริงๆ!” สีหน้าของซือหม่าจวี้อวี๋เปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยขึ้นมาทันทีเมื่อเอ่ยถึงผู้เป็นสามี
“ในเมื่อเจ้าเองก็ได้ช่วยชีวิตพวกนางสองคนไว้แล้ว ข้าก็จะให้พวกนางสองคนเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวของเจ้าก็แล้วกัน”
ซือหม่าจวี้อี๋ตอบยิ้มๆ จากนั้นจึงหันไปทางหญิงสาวสองพี่น้องพร้อมกับเอ่ยถามออกไป “พวกเจ้าสองคนชื่ออะไรกันบ้างล่ะ?”
“เรียนฮูหยิน ข้าน้อยเฉิงซวี่ ส่วนนั่นน้องสาวของข้าเฉิงเม่ย ข้าน้องคาราวะฮูหยิน” ซวี่ก้าวเดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยตอบซือหม่าจวี้อี๋ แล้วจึงทำการคาราวะนาง
“ชื่อของพวกเจ้าสองคนไพเราะมากทีเดียว นับแต่นี้ไปพวกเจ้าก็ทำงานอยู่ที่นี่ และมีหน้าที่คอยรับใช้เทียนเอ๋อของข้า พวกเจ้าสองคนต้องคอยดูแลรับใช้เขาให้ดีด้วยล่ะ..” ซือหม่าจวี้อี๋จ้องมองสองพี่น้องพร้อมกับเอ่ยบอก
“ฮูหยิน พวกเราสองคนจะขยันขันแข็งและตั้งใจทำงาน” หญิงสาวทั้งสองคนร้องตอบออกมาพร้อมกัน
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับซือหม่าจวี้อี๋นานกว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดหลงเฉินก็พาสองพี่น้องไปแนะนำกับพ่อบ้านประจำตระกูลหลง และได้บอกกับเขาว่าทั้งคู่จักมาเป็นสาวใช้ส่วนตัวของตน และได้สั่งให้พ่อบ้านพาพวกนางไปทำความรู้จักกฏระเบียบของตระกูลหลง
หลังจากนั้นหลงเฉินจึงกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง เขาล้มตัวนอนลงบนเตียง และปิดเปลือกตาลงทันที..
“เฮ้อ.. ในที่สุดข้าก็กลับถึงบ้านเสียที แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านของตนเองอยู่ดี แม้ห้องนี้จะกว้างขวางกว่าห้องเดิมของข้า เตียงนอนก็สบายกว่ามาก แต่ข้าก็ยังคิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงห้องนอนเก่าๆในบ้านหลังเล็กๆที่โลกโน้นมากกว่า คิดถึงครอบครัว.. ไม่รู้ว่าข้าจะมีโอกาสกลับไปพบหน้าพวกเขาอีกหรือไม่?”
หลงเฉินพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยขึ้นมาทันที..
“ข้าต้องไม่ท้อแท้สิ! ในเมื่อโลกนี้ก็มีอยู่จริง โลกนั้นก็มีอยู่จริง ต้องมีหนทางให้ข้ากลับไปอีกได้แน่ แม้หนทางนั้นจะดูริบหรี่ แต่ข้าก็เชื่อว่ายังมีความเป็นไปได้!!”
“โลกใบนี้มีผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะจนสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ สักวัน.. ข้าจักต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ให้ได้ และจักมิมีสิ่งใดมาขวางกั้นความสำเร็จของข้าได้”
หลงเฉินพึมพำออกมาด้วยความมุ่งมั่น จากนั้นจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงมาฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะต่อทันที..
‘ข้ารู้สึกว่าอีกไม่นานก็จักสามารถทะลวงเข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณขั้นหกได้แล้ว’
หลังจากนั่งฝึกปรือไปหลายชั่วยาม ความคิดนี้พลันผุดขึ้นมาในใจ หลงเฉินยังคงนั่งฝึกวรยุทธบ่มเพาะต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งรุ่งสาง หลังจากนั้นจึงนำไข่อสูรออกมาป้อนพลังชี่ดังเช่นที่เคยทำเป็นปกติทุกวัน
“นี่เจ้าหนู.. ข้ามิใช่เครื่องป้อนอาหารนะรู้หรือไม่? รีบๆฟักออกมาเร็วเข้า อย่าให้ข้าต้องรอคอยนานนัก!” หลงเฉินพูดกับไข่อสูรตรงหน้า
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่างแล้ว หลงเฉินจึงได้ล้มตัวลงนอน และซุกร่างเข้าไปในผ้าห่มหนา..
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังหลับไหลอยู่นั้น ในที่สุดโลหิตในกายของเขาหนึ่งในร้อยส่วน ก็ได้กลายเป็นสีม่วงไปแล้ว และเวลานี้หลุมปริศนาก็ได้ปรากฏขึ้นบริเวณหน้าอกของเขา และได้ดูดเอาวิญญาณของเขาเข้าไปข้างใน ในขณะที่ร่างของเขายังคงนอนนิ่งคล้ายคนกำลังนอนหลับไหลอยู่บนเตียงเช่นเดิม