เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 5
ตอนที่ 5 ออกเดินเตร่
หลังจากที่ลุกขึ้นจากเตียง หลงเฉินค่อยๆเดินไปยังตู้เสื้อผ้า ภายในนั้นมีชุดอาภรณ์หรูหรามากมาย เขาตัดสินใจเลือกอยู่ไม่นานนัก จึงได้หยิบเอาชุดคลุมสีทองพร้อมตรามังกรปักอยู่ แบบเดียวกับที่หลงเหรินมักสวมใส่เป็นประจำออกมา
หลังจากแต่งตัวเสร็จสิ้น หลงเฉินก็ไม่ลืมหันไปสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยชมไม่ขาดปาก
“โอ้โห! หล่อยังกับองค์ชาย”
“เฮ้อ.. ถ้าชีวิตก่อนหน้าฉันหล่อแบบนี้ หรือได้สักครึ่งของเด็กหนุ่มคนนี้ก็คงจะดีไม่น้อย!” หลงเฉินบ่นพึมพำ และได้แต่หัวเราะคิกคักออกมา
“เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา กับใบหน้าหล่อเหลา ผมยาวสีดำขลับ นัยนต์ตาสีเหลืองอำพัน และรอยยิ้มอันอ่อนโยน”
หลงเฉินเฝ้าชื่นชมตัวเองในกระจกอยู่พักใหญ่ และดูเหมือนว่าได้เวลาที่เขาต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอกแล้ว
หลงเฉินเปิดประตูออกกว้าง สายลมเย็นแสนสดชื่นโชยอ่อนเข้าสัมผัสใบหน้า ทัศนียภาพภายนอกช่างงดงาม มันคือสวนพฤกษาที่สวยงามประดุจสวรรค์บนดิน ทั้งนี้ยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาเพียงคนเดียวอีกด้วย!
แม้ว่าคนรับใช้จะมิได้เคารพหลงเทียนดั่งแต่ก่อนแล้ว แต่พวกเขายังคงดูแลเอาใจใส่สวนพฤกษาเป็นอย่างดี เพราะนี่เป็นสถานที่ที่แม่ของหลงเทียนชื่นชอบมากเช่นกัน นางมักจะแวะเวียนเดินเล่นบริเวณนี้อยู่บ่อยครั้งในตอนที่มาเยี่ยมหลงเทียน
พวกเขาจะปฏิบัติอย่างไรกับหลงเทียนก็ได้ในยามที่อยู่ลับหลังคนอื่น เพราะถึงอย่างไรหลงเทียนก็ปัญญาอ่อนไม่สามารถสื่อสารกับใครได้อยู่ดี ซึ่งท่าทางกิริยาของพวกคนใช้เหล่านี้จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าสมาชิกตระกูลคนอื่นๆ เบื้องหน้าพวกเขาปฏิบัติต่อหลงเทียนด้วยความสุภาพนอบน้อมยิ่ง
หลงเฉินเดินผ่านสวนพฤกษางามขณะเพลิดเพลินไปกับการชื่นชมทิวทัศน์โดยรอบ กลิ่นบุปผาหอมสดชื่น แต่จู่ๆก็พลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
“ฮ่าๆ คุณชายปัญญาอ่อนออกมาเดินเล่นอีกแล้ว”
เมื่อหลงเฉินเหลือบมองไปยังต้นเสียงกลับพบว่า เป็นคนใช้ที่กำลังทำงานอยู่ในสวนดอกไม้
‘ที่แกกล้าพูดจาแบบนี้ เพราะยังไม่รู้สินะว่าฉันไม่ใช่หลงเทียนคนเดิม แต่เอาเถอะ แค่คนใช้ฉันไม่สนใจหรอก’
‘ฉันจะปล่อยพวกแกไปก่อน ฉันเองก็อยากจะรู้ว่าแต่ละคนจะปฏิบัติกับฉันยังไงบ้าง? จะได้รู้ว่าใครเป็นมิตรแท้หรือว่าศัตรู แล้วค่อยตัดสินใจจัดการภายหลัง’
หลงเฉินครุ่นคิดเช่นนั้นแล้ว จึงได้เดินผ่านสวนออกไปโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก..
เมื่อเดินผ่านลานหน้าเรือนพักออกไป ขณะที่กำลังจะเดินผ่านประตูใหญ่เพื่อเข้าสำรวจที่อื่นๆต่อ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกดัง แล้วร่างของหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งก็ก้าวเดินออกมา ผมของนางยาวสลวยดำขลับ รูปร่างสมส่วนอย่างหาที่ติมิได้
และหญิงสาวคนนี้ก็มิใช่ใครอื่น แต่คือซือหม่าจีอวี๋ แม่ของหลงเทียนนั่นเอง
แม้จะรู้ว่าแม่ของเขาอายุปลายเลขสามเข้าไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะพินิจมองอย่างไร ทั้งจากรูปร่างหน้าตาอันอ่อนเยาว์ และทรวดทรงอันเอิบอิ่มนั้น นางก็ดูคล้ายกับสาวงามอายุไม่ถึงยี่สิบห้าปีด้วยซ้ำ นางเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง ดังนั้นจึงสามารถคงรักษาความเยาว์วัยได้นานกว่าหญิงคนอื่นๆที่มิได้ฝึกปรือ
“เจ้าจะไปไหนรึเทียนเอ๋อ? อยากไปเดินเล่นกระมัง?”
ขณะที่หลงเฉินกำลังครุ่นพินิจจับจ้องทรวดทรงองเอวของอีกฝ่าย นางก็เอ่ยถามขึ้นพร้อมน้ำเสียงแสนอ่อนโยน
หลงเฉินช้อนสายตามองหน้านางเล็กน้อย แต่ยังคงนิ่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรกับนาง หรือเขาเดินออกไปโดยไม่ต้องสนใจนางดี? จะเกิดอะไรขึ้นหากนางทราบว่าเขาหายปัญญาอ่อนแล้ว? หรือแย่กว่านั้น…อาจรู้ว่านี่มิใช่ลูกชายที่นางรู้จัก?
ในท้ายที่สุดนี้หลงเฉินจึงตัดสินใจที่จะไม่เอ่ยใดๆตอบทั้งสิ้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาจะเป็นคนทำให้ทุกคนในตระกูลต้องอ้าปากค้าง ถึงเวลานั้นแม่ของเขาก็จะรู้ความจริงเอง
ซือหม่าจวี้อี๋ตรงเข้าแนบชิดหลงเทียนทันที ก่อนจะคุกเข่าและโผเข้ากอดด้วยความรัก
“เทียนเอ๋อ เจ้าในอาภรณ์ชุดนี้ช่างดูหล่อเหลายิ่งนัก เสมือนกับองค์ชายบนสรวงสวรรค์ก็มิปาน! หลิงช่างเป็นเด็กสาวที่โชคดีนัก เอาล่ะ ออกไปเดินเล่นเถอะ แม่ไม่กวนเจ้าแล้ว”
จากนั้นนางก็หอมแก้มของหลงเทียนเบาๆ
หลงเฉินสัมผัสได้ถึงริมฝีปากนุ่มสีแดงฉ่ำของนางได้อย่างชัดเจน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกไป
“หลิง.. หลิงเป็นใครกัน? ทำไมถึงไม่มีชื่อนี้ในความทรงจำของเขานะ?”
หลงเฉินพึมพำกับตัวเองขณะย่างเท้าเดินออกไป ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ละทิ้งความคิดนี้ลงและมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป
ภายในตำหนักตระกูลหลงมีโรงฝึกขนาดใหญ่อยู่ มันกว้างใหญ่กว่าครึ่งลี้เห็นจะได้ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ลูกหลานตระกูลหลงได้ฝึกปรือวรยุทธต่อสู้ต่างๆ รวมไปถึงต่อสู้ขัดเกล่าฝีมือกันเอง แต่ที่นี่มีกฎห้ามทำร้ายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บ เพียงเป็นการแลกเปลี่ยนกระบวนเพื่อฝึกฝนเท่านั้น หากผู้ใดทำอีกฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บจะมีโทษสถานหนัก
หลงเฉินตกใจกับความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้มาก น่าจะจุคนได้ประมาณร้อยคนเห็นจะได้
เขารู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเยาวชนตระกูลหลง เพราะสมาชิกที่โตแล้วจะมีสถานที่ฝึกปรือกันที่อื่น เพราะคลื่นพลังที่กระจายออกไประหว่างฝึกปรืออาจทำให้เกิดลูกหลงกับเหล่าเยาวชนเหล่านี้ได้ จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาสร้างโรงฝึกที่นี่เพื่อให้เหล่ารุ่นเยาว์ฝึกปรือโดยเฉพาะ ยามนี้เห็นเหล่าเยาวชนกำลังแลกเปลี่ยนกระบวนกันอยู่ประมาณเจ็ดถึงแปดคน
แม้เขาจะไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครกันคือบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาตระกูลหลงรุ่นเยาว์ แต่ผู้คนเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้า บางคนคล้ายว่ารู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง โดยส่วนใหญ่มีพลังไม่ต่ำกว่าอาณาจักรปรับกายาระดับเก้า ซึ่งอ่อนด้อยกว่าหลงเฉินแทบทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีบางคนที่ระดับพลังเทียบเท่ากัน
นอกจากนี้ เขายังเห็นชายคนหนึ่งในโรงซ้อม ยิ่งสังเกตนานเท่าไหร่หลงเฉินก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายสามารถควบคุมพลังปราณในห้วงอากาศและควบแน่นปลดปล่อยออกไปได้ การโจมตีเช่นนี้มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรผสานวิญญาณขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถทำได้ เขาคงเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์เพียงไม่กี่คนที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรหลอมวิญญาณได้กระมัง
สักครู่หนึ่งเขาก็จำชายคนนี้ได้ทันที ปรากฏว่าเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสสี่หลงอัน อายุของเขาเท่ากับหลงเทียนคือสิบสองปี แต่กลับอยู่ในอาณาจักรผสานวิญญาณระดับหนึ่งแล้ว ก่อนที่หลงเทียนจะปัญญาอ่อน ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นแค่มดปลวกในสายตาเท่านั้น ทว่าปัจจุบันอีกฝ่ายกลับแกร่งกล้าไปกว่าเขาแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลงเฉินจึงได้ก้าวเท้าตรงเข้าไปหาทันที