เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 55
ตอนที่ 55 ง้างธนูคราเดียวได้เหยี่ยวถึงสองตัว
“เป็นความจริง! เวลานี้พวกเรากำลังได้พบเห็นในสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเราเคยพบมาก่อน!” เท็นช่าเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“เวลานี้ทุกคนภายในเผ่าต่างก็กำลังสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าแต่.. เขามีลักษณะเหมือนกับที่เขียนบรรยายไว้ในคัมภีร์หรือไม่? เจ้าสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งของเขาบ้างหรือยัง?” ซูเอ่ยถามเท็นช่าด้วยสีหน้าจริงจัง
“แม้ข้าจักมิได้เห็นพลังบ่มเพาะภายในกายของเขา แต่รูปลักษณ์นั้นตรงกับที่ได้เขียนอธิบายไว้ในคัมภีร์เลยทีเดียว ครั้งนั้นที่ท่านปรมาจารย์เทียนเฉินปรากฏตัวขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน ก็มิมีผู้ใดสามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะในตัวเขาเช่นกัน!” เท็นช่าตอบกลับ
“แต่เทอร่าบอกกับข้าว่า เขาได้ประมือกับมนุษย์ผู้นี้มาก่อนหน้าแล้ว และเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่มนุษย์ผู้นี้เพียงแค่กระบวนท่าเดียว แม้แต่ข้าเองเมื่อได้พบเห็นเขาในคราแรก ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแข็งแกร่งอย่างน่ากลัวที่แฝงเร้นอยู่ภายในกายของเขา..”
“เทอร่ายังบอกกับข้าอีกด้วยว่า เขาเห็นมนุษย์ผู้นี้มีปีกปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นสีทอง ส่วนอีกข้างเป็นสีดำ เจ้าเองย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีเช่นกันมิใช่รึ?”
เท็นช่าเอ่ยบอกซูในขณะเดียวกันก็พยายามจินตนาการถึงภาพที่ได้ฟังมาจากเทอร่า..
“อืมม.. เรื่องนั้นข้าย่อมรู้ดี เพราะในคัมภีร์ก็ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้เช่นกัน เมื่อหลายพันปีก่อนนั้น สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่นี้ก็สามารถสร้างปีกเช่นนี้ขึ้นมาได้ ข้างหนึ่งสีทอง และอีกข้างสีดำเช่นกัน! แน่แล้ว.. เขาคือมนุษย์จริงๆ และเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วย!” ซูตอบกลับ
“ข้าว่าพวกเราควรส่งเขาไปที่เผ่าอื่น มิควรให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไป!” ซูกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น? เขาเป็นมนุษย์เชียวนะ พวกเราควรต้องเร่งสร้างสัมพันธ์กับเขาจึงจะถูกมิใช่รึ?” เท็นช่าเอ่ยถามด้วยความงุนงง
“เจ้าเคยอ่านประวัติของท่านผู้ยิ่งใหญ่แล้วมิใช่รึ?” ซูกระซิบถามเสียงเบา
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เหตุใดท่านจึงเอ่ยถามเช่นนี้เล่า?” เท็นช่าเอ่ยถามซูด้วยความงุนงงสงสัย
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าย่อมต้องจำครั้งสุดท้ายที่มนุษย์ปรากฏตัวขึ้นได้สินะ?” ซูเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง
“โลกนี้มิเคยปรากฏอันตราย หรือปัญหาใดๆขึ้นมาก่อนเลยจนกระทั่ง.. มนุษย์ปรากฏตัวขึ้น! เมื่อมนุษย์ปรากฏตัวขึ้น บรรพบุรุษของเราจึงได้พบว่าเหล่าอสูรกายทั้งหลายเริ่มวางแผนที่จะกำจัดสิ่งมีชีวิตอื่นๆบนดาวเคราะห์ดวงนี้ และต้องการครอบครองดินแดนทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นสงครามครั้งใหญ่จึงปรากฏขึ้น และท่านปรมาจารย์เทียนเฉินจึงได้ช่วยพวกเราจากหายนะในครั้งนั้นไว้” ซูกล่าวต่อโดยมิรอคำตอบของเท็นช่า
“ก็ใช่.. แต่เรื่องนี้สำคัญเช่นใดงั้นรึ?” เท็นช่ามิได้เข้าใจว่าซูต้องการจะบอกอะไรกับตนกันแน่..
“แม้ครั้งนั้นท่านปรมาจารย์เทียนเฉินจักสามารถสังหารเหล่าอสูรกายตายไปได้มากมาย แต่ในสงครามครั้งนั้นชนเผ่าของเราก็ถูกเข่นฆ่าตายจนเกือบหมดเช่นกัน”
“นี่ก็ผ่านมานานหลายพันปีแล้ว เหล่าอสูรกายก็เริ่มฟื้นคืนความแข็งแกร่งของตนได้แล้ว ข้าว่าครั้งนี้พวกมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อหลายพันปีก่อนด้วยซ้ำ แต่ต่อให้พวกมันมิสามารถแข็งแกร่งอย่างที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น แต่ย่อมต้องไม่ด้อยไปกว่าเมื่อหลายพันปีก่อนเป็นแน่” ซูกล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปทางเท็นช่า
“เจ้าคิดว่าเหล่าอสูรกายจักโกรธแค้นผู้ใดมากที่สุดเล่า?” ซูเอ่ยถามเท็นช่าต่อทันที
“ท่านปรมาจารย์เทียนเฉิน! มนุษย์!” ในที่สุดดูเหมือนเท็นช่าจะเข้าใจความหมายของซูได้แล้ว
“ถูกต้อง! ข้าเชื่อว่าหากเหล่าอสูรกายพบว่ามนษุย์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกมันจักต้องรวมตัวกัน และจู่โจมเผ่าของเราเป็นแน่ ถึงแม้ว่าจักมีเผ่าอื่นและมนุษย์ร่วมมือกันจนสามารถเอาชนะเหล่าอสูรกายได้ แต่นั่นก็จักนำพาความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้เกิดกับเผ่าของเราเช่นกัน!” ซูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“จริงสินะ! หากสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นภายในเผ่าของเราอีกครั้ง พวกเราก็จักต้องสูญเสียเลือดเนื้อไปอีกมากมาย ในขณะที่เผ่าอื่นๆกลับมิต้องสูญเสียใดๆเลย”
“เช่นนี้อย่างไรเล่า ข้าจึงได้บอกว่าพวกเราควรส่งเขาไปที่เผ่าอื่น ให้เผ่าอื่นเผชิญกับชะตากรรมที่น่าเศร้านี้แทนพวกเรา! หากเหล่าอสูรกายจู่โจมจริงๆ พวกเราจึงค่อยส่งกองกำลังบางส่วนออกไปช่วย..”
“หากทุกเผ่าช่วยกันพร้อมกับมนุษย์ผู้นี้ พวกเราย่อมต้องเป็นฝ่ายชนะสงครามได้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเราจักมิต้องสูญเสียมากมายดังเช่นอดีต” ซูกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี และข้อเสนอของเจ้าก็มีเหตุมีผลยิ่ง เพียงแต่.. พวกเราจักส่งเขาไปที่เผ่าอื่นได้อย่างไร โดยมิให้เขารู้สึกไม่พอใจจนเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าของเรา หาไม่แล้วเขาจักต้องทำลายเผ่าของเราจนราบคาบแน่ เรื่องนี้สำคัญยิ่ง.. หากก้าวผิดไปเพียงแค่ก้าวเดียว ย่อมหมายถึงหายนะอันใหญ่หลวง..” เท็นช่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรื่องนั้นพวกเราค่อยคิดหาวิธีต่อไป เพียงแต่ตอนนี้ข้าแค่อยากจะรู้ว่าเจ้าเห็นด้วยกับความคิดของข้าหรือไม่เท่านั้นก่อน?” ซูเอ่ยขึ้น
“เอ่อ.. ตกลง! พวกเราจำต้องทำเช่นนั้นเพื่อให้เผ่าของเราอยู่รอด!” เท็นช่ากัดฟันตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย
“เอาล่ะ.. ถ้าเช่นนั้นพวกเราต้องช่วยกันคิดหาข้ออ้างที่จักส่งเขาไปยังเผ่าอื่น ว่าแต่เวลานี้เผ่าไหนเหมาะที่สุดที่เราจักส่งเขาไป?” เท็นช่าเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง
“เผ่าแบนชี! เจ้าคิดเห็นเช่นใด? หากเราส่งเขาไปที่เผ่าแบนชี จักเป็นประโยชน์ต่อเผ่าของเรามากที่สุด!” ซูแนะนำ
“เหตุใดส่งเขาไปที่เผ่าแบนชีจึงจักเป็นประโยชน์ต่อเผ่าเรามากที่สุดด้วยเล่า?” เท็นช่าเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้าเองก็รู้มิใช่รึว่า เผ่าแบนชีเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเหล่าอสูรกาย ส่วนเผ่าของเราก็แข็งแกร่งรองจากเผ่าแบนชีอีกที หากเราส่งมนุษย์ไปที่เผ่าแบนชี หลังจากอสูรกายบุกมาถล่มมาอีกครา เผ่าแบนชีจักต้องถูกพวกมันโจมตีจนราบเป็นหน้ากอง และยิ่งเผ่าแบนชีเสียหายมากเท่าไหร่ ก็จักยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเผ่าเรามากเท่านั้น..”
และหากเผ่าแบนชีอ่อนแอลงหลังจากสิ้นสุดสงครามกับเหล่าอสูรกาย เผ่าของเราก็จักขึ้นมาเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนนี้ นี่มิเท่ากับง้างธนูดอกเดียวแต่ได้เหยี่ยวถึงสองตัวหรอกรึ?” ซูกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แต่การกระทำเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกราวกับว่า พวกเรากำลังทำสิ่งที่เลวร้าย และทรยศหักหลังต่อความภักดีของบรรพบุรุษเรา แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอดของเผ่าเรา..” เท็นช่าเอ่ยตอบด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ
“เอาล่ะ.. สิ่งแรกที่ต้องทำคืออย่าให้ข่าวคราวเรื่องมีมนุษย์อยู่ในเผ่าของเราแพร่สะพรัดออกไปได้ จนกว่าเราจักสามารถส่งเขาไปที่เผ่าแบนชีได้ และเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ส่วนเจ้ามีหน้าที่ดูแลมนุษย์ผู้นี้ให้ดี และหาทางส่งเขาออกไปโดยมิให้เขาระแคะระคาย..” ซูบอกกับเท็นช่าในระหว่างที่กำลังก้าวเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเขา
“กลับมาแล้วรึท่านพ่อ! พวกท่านปรึกษาหารือกันเรื่องอะไรรึ?” เทอร่าเอ่ยถามขึ้นทันทีที่พ่อของเขาก้าวเท้าเข้ามา
“ไม่มีอะไรหรอก ลุงของเจ้าแอบชอบหญิงผู้หนึ่งเข้า เขาอยากให้ข้าไปช่วยเจรจาให้ก็เท่านั้นเอง..” เท็นช่ากล่าวติดตลกพร้อมกับหันไปมองซู
“ห๊ะ?! นี่ท่านลุงกล้าคิดเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน? มิกลัวว่าท่านป้าจะรู้เข้าหรอกรึ?” เทอร่าร้องถามออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“เจ้าอย่าโง่ไปหน่อยเลย.. พ่อของเจ้าก็แค่หยอกเย้าพ่อของข้าเล่นเท่านั้น!” เซี่ยร้องบอกไปพร้อมกับจ้องมองเทอร่าราวกับเขาโง่เขลายิ่งนัก
“อ่อ.. งั้นรึ?! ฮ่าๆๆ” เทอร่าตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะร่วน
“ข้าจะกลับแล้ว เจ้าจักอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่?” ซูหันไปเอ่ยถามเซี่ยผู้เป็นลูกสาว
“เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้เล่าท่านพ่อ? ท่านมิอยู่รอพบมนุษย์ก่อนรึ?” เซี่ยร้องถามด้วยสีหน้างุนงง
“ไม่ล่ะ.. ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ อีกอย่าง.. ดูเหมือนคงจะอีกนานกว่าที่เขาจะออกจากห้อง” หลังจากพูดจบซูก็หันไปมองเท็นช่า
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จักกลับไปพร้อมกับท่านพ่อ พรุ่งนี้ค่อยมาพบเขาใหม่ก็ได้!” เซี่ยเอ่ยตอบพร้อมกับเดินตามซูออกไป
‘ข้าคิดว่าท่านลุงจักมาที่นี่เพื่อพบเขาเสียอีก? เหตุใดท่านลุงจึงได้รีบร้อนกลับไปเช่นนี้นะ?’ เทอร่าบ่นครุ่นคิดด้วยความสงสัย