เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 68
ตอนที่ 68 เมืองอสูรกาย
ห่างจากเผ่าแบนชีไปหลายพันลี้ มีเมืองงดงามยิ่งอยู่เมืองหนึ่ง ภายในเมืองกอปรด้วยบ้านเรือนสวยงามมากมาย วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างล้วนมีลักษณะเช่นเดียวกับเผ่าแบนชีมิมีผิด สิ่งเดียวที่แตกต่างคือสี.. และที่นี่บ้านงดงามทุกหลังล้วนเป็นสีดำทะมึน อีกทั้งภายในเมืองแห่งนี้ยังมีต้นไม้ให้พบเห็นอยู่มากมาย
เมืองงดงามนี้ใหญ่โตกว่าเผ่าแบนชีถึงห้าเท่า ในระยะสิบกิโลเมตรโดยรอบล้วนมีป่าใหญ่หนาทึบล้อมรอบไว้ เมืองแห่งนี้ดูลึกลับยิ่งกว่าเผ่าใดๆ มิมีผู้ใดรู้ว่าภายในป่าทึบกว้างใหญ่นี้ จักมีเมืองที่งดงามซ่อนอยู่ภายใน
และเมืองแห่งนี้ก็คือที่อยู่ของเผ่าอสูรกาย เหล่าอสูรกายที่อ่อนแอจักอาศัยอยู่ภายในป่าทึบรอบเมือง ในขณะที่อสูรกายที่แข็งแกร่งจักอาศัยอยู่ภายในเมือง มิเคยมีผู้ใดนอกเหนือจากเหล่าอสูรกายที่เคยเข้าไปในเมืองแห่งนี้
เมื่อครั้งที่เผ่าอสูรกายได้พ่ายแพ้ให้แก่เทียนเฉินในมหาสงครามครั้งนั้น เผ่าอสูรกายก็ได้อ่อนแอลงไปอย่างมากมาย อสูรกายที่รอดชีวิตได้ในครั้งนั้น ต่างก็พากันหนีกลับมารวมตัวกันอยู่ในป่าแห่งนี้
เทียนเฉินมิได้ตามไปรุกรานพวกมันอีก และได้ออกจากโลกนี้ไปเพราะสามารถผ่านบททดสอบได้แล้ว แต่เผ่าอื่นๆ บางเผ่ายังคงส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งของตนออกตามล่าเหล่าอสูรกายมาถึงที่นี่ เพื่อหวังที่จะฉกฉวยโอกาสหาประโยชน์จากความโชคร้ายในครั้งนี้ของพวกมัน หมายแย่งชิงทรัพยากรอันมีค่า และกำจัดพวกมันเพื่อแย่งชิงดินแดนแห่งนี้ แต่ก็มิมีผู้ใดสามารถรอดชีวิตกลับออกมาได้เลยแม้แต่คนเดียว
เมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายพันปี.. กลับกลายเป็นว่าเวลานี้เผ่าอสูรกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างที่สุด!!
นี่นับเป็นวันที่สี่ในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของหลงเฉิน เพื่อที่จะทะลวงเข้าสู่อาณารจักรแก่นปราณทองคำให้จงได้ ในขณะที่ภายในพระราชวังโอ่อ่าซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองอสูรกายนั้น ก็ได้มีการเรียกประชุมขึ้นภายในโถงที่กว้างใหญ่ ด้านในมีบัลลังก์ขนาดใหญ่สิบบัลลังก์ตั้งเรียงกันเป็นรูปทรงกลม มีเหล่าจอมราชันย์อสูรกายทั้งสิบนั่งเรียงรายกันอยู่อย่างพร้อมหน้า
“เสือเฒ่า.. เหตุใดท่านจึงต้องเรียกประชุมเร่งด่วนเช่นนี้ด้วยงั้นรึ? ข้าหวังว่าคำตอบของท่านจักมีเหตุผลที่ดีพอ เพราะข้าต้องผละจากอ้อมกอดของเหล่านางบำเรอมาเลยทีเดียวท่านรู้หรือไม่?”
อสูรกายตนหนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เอ่ยกับจอมราชันย์อสูรกายที่อยู่ตรงหน้าตนด้วยสีหน้าท่าทางที่ดุดันยิ่ง อสูรกายตนนี้มีศรีษะเป็นกระทิง และมีร่างกายเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อรอบตัว แม้แต่อยู่ในอิริยาบทนั่ง มันยังมีความสูงมากกว่าเจ็ดฟุตเลยทีเดียว
“ข้าเห็นด้วยกับท่านกระทิง ข้าไม่คิดว่าเวลานี้จักมีเรื่องอันใดใหญ่โตจนถึงขั้นที่พวกเราทั้งสิบจะต้องมานั่งระดมความคิดพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้ หากมิใช่เรื่องที่จอมราชันย์อสูรกายต่อสู้กันเองอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วล่ะก็ เรื่องอื่นๆนอกเหนือจากนั้นท่านควรจัดการแต่ลำพังผู้เดียวได้มิใช่รึ?” โครงกระดูกสีดำซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์อีกหนึ่งเป็นผู้เอ่ยต่อมา
“นี่ท่านคิดว่าเวลาของท่านสำคัญยิ่งกว่าของข้างั้นรึ? ข้าคงมิได้เรียกประชุมเพราะนึกสนุกขึ้นมาหรอกนะ? การที่ข้าเรียกทุกท่านมาประชุมพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้ ย่อมต้องมีเรื่องด่วนและสำคัญยิ่งเป็นแน่ ความจริงแล้วข้าคิดที่จะรายงานองค์จักรพรรดิเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่คิดว่าควรต้องปรึกษาหารือกับพวกท่านเสียก่อน!”
ผู้ที่จอมราชันย์กระทิงเรียกขานว่าเสือเฒ่านั้น ลำตัวของเขาเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งยิ่งเช่นเดียวกับจอมราชันย์กระทิง เพียงแต่ศรีษะนั้นเป็นเสือดำ และตามร่างกายก็มีขนสีดำปกคลุมอยู่เต็มไปหมด
หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของจอมราชันย์พยัคฆ์ ทุกคนต่างก็หันไปจ้องมองจอมราชันย์กระทิงด้วยสีหน้าดุดันเอาเรื่อง..
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?” จอมราชันย์โครงกระดูกเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง
“พวกท่านยังจดจำความหายนะที่เหล่าอสูรกายเราเผชิญในมหาสงครามครั้งสุดท้ายได้ใช่หรือไม่? สงครามครั้งนั้นทำให้เผ่าพันธุ์อสูรกายต้องล้มตายไปอย่างมากมายจนแทบสูญพันธุ์! เหล่าจอมราชันย์อสูรกาย และองค์จักรพรรดิได้ถูกมนุษย์ผู้หนึ่งที่จู่ๆมิรู้ว่าโผล่มาจากแห่งหนใด ตรงเข้าเข่นฆ่าสังหารตายจนสิ้น!” จอมราชันย์พยัคฆ์กล่าว
“ครั้งนั้นหากมิใช่ว่าหนึ่งในจักรพรรดิอสูรกายมิได้ออกทำสงครามดังเช่นจักรพรรดิองค์อื่นๆแล้วล่ะก็ เหล่าอสูรกายที่หนีกลับมาได้ คงจักต้องถูกกองกำลังพันธมิตรของพวกมันสังหารตายในดินแดนของเราเองเป็นแน่ แต่เป็นเพราะครั้งนั้นมีองค์จักรพรรดิอยู่ในดินแดนอสูรกาย เหล่าอสูรกายที่หนีตายกลับมาจึงมิได้ถูกสังหารตาย และนี่คือเหตุผลที่ครั้งนั้นเราสามารถสังหารชนเผ่าอื่นที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนได้ จนสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกมันจนมิมีผู้ใดกล้ารุกรานดินแดนนี้อีก” จอมราชันย์กระทิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความเกรี้ยวกราด
“ถูกต้องแล้ว! นับเป็นเรื่องดีที่มนุษย์ผู้นั้นหายตัวไปหลังจากสิ้นสุดสงคราม และไม่ตามเข้ามารุกรานและสังหารเหล่าอสูรกายในดินแดนของเรา หาไม่แล้วมีหรือที่พวกเราจักยังมีหน้ามานั่งประชุมกันอยู่ในโถงแห่งนี้ได้?” จอมราชันย์พยัคฆ์เอ่ยตอบ
“แล้วที่ท่านเรียกประชุมครั้งนี้ เป็นเพราะมีชนเผ่าอื่นแทรกซึมเข้ามาในเผ่าของเราอีกงั้นรึ?” จอมราชันย์อสูรอีกตนเอ่ยถามขึ้น
“ข้ามิเชื่อว่าจักมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นแน่ พวกมันคงมิโง่เขลาพอที่จะกล้ารุกรานพวกเรา เพราะในช่วงเวลาที่เผ่าอสูรกายอ่อนแอนั้น พวกมันยังมิกล้าที่จะรุกราน เหตุใดจักมารุกรานในช่วงเวลาที่พวกเราฟื้นคืนความแข็งแกร่งได้แล้วเล่า?” จอมราชันย์อสูรกายอีกหนึ่งตนอวดอ้าง
“นั่นน่ะสิ! หากพวกมันทำเช่นนั้นจริง มิเท่ากับทำให้พวกมันเองต้องถูกทำลายล้างอย่างง่ายดายหรอกรึ? เสือเฒ่า.. หากเป็นเรื่องนี้ท่านคงมิต้องเรียกพวกเรามาประชุมให้เสียเวลาอันมีค่ากระมัง?” จอมราชันย์กระทิงย้ำให้มั่นใจ
“สาเหตุที่ข้าเรียกทุกท่านมาประชุมในครั้งนี้สำคัญกว่านั้นมากยิ่งนัก!! ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่ามีมนุษย์ปรากฏขึ้นในโลกนี้อีกแล้ว! และเวลานี้เขาก็อยู่ในดินแดนของเผ่าแบนชีแล้ว!” เสือเฒ่าเอ่ยตอบ
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจอมราชันย์พยัคฆ์ เหล่าจอมราชัยน์คนอื่นๆต่างก็พากันลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ..
“เป็นมนุษย์คนเดียวกันกับคนก่อนหรือไม่?” จอมราชันย์โครงกระดูกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักใจ
“มิใช่.. จากข่าวที่ข้าได้รับรายงานมานั้น มนุษย์ผู้นี้แม้จักมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเช่นมนุษย์คนก่อนทุกอย่าง แต่ร่างกายของเขากลับเตี้ยกว่า และดูเหมือนจะหนุ่มกว่าด้วยหากเปรียบเทียบกับภาพวาดของมนุษย์ที่พวกเราเผชิญเมื่อครั้งมหาสงคราม! ในผลึกจินตภาพนี้ก็มีรูปภาพของเขาอยู่ ข้าคิดว่ามนุษย์ผู้นี้น่าจะเป็นเพียงแค่เด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น!”
เสือเฒ่าบอกเล่ารูปลักษณ์ของหลงเฉินให้กับทุกคนในห้องประชุมฟัง..
“เหตุใดท่านจึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ผู้นี้มากมาย? แล้วมนุษย์ผู้นี้ไปทำอะไรที่เผ่าแบนชีงั้นรึ?” จอมราชันย์อสูรกายอีกตนที่มีรูปร่างคล้ายหมีแต่มีเขาเหมือนแพะเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“คนของข้ากลับจาการปฏิบัติภารกิจที่ข้าได้มอบหมายให้ ระหว่างทางที่ผ่านเผ่าแบนชีนั้น บังเอิญได้พบเห็นมนุษย์ผู้หนึ่งกำลังเดินทางเข้าไปในเผ่าแบนชีพร้อมกับชนเผ่าเอลเฟีย! หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าชนเผ่าเอลเฟียที่เข้าไปได้กลับออกมาในวันรุ่งขึ้น เว้นเพียงมนุษย์ผู้นั้นที่มิได้กลับออกมาด้วย! คนของข้าเฝ้ารออยู่ที่นั่นถึงสองวัน จนกระทั่งมั่นใจว่ามนุษย์ไม่ออกมาแน่แล้ว จึงได้สั่งให้ลูกน้องที่ไว้ใจได้รีบมาส่งข่าวนี้ให้ข้ารู้ หากพวกเจ้ามิเชื่อก็ลองดูในผลึกจินภาพนี้ได้” เสือเฒ่าอธิบาย
“สิ่งที่ข้าต้องการจากทุกท่านในเวลานี้คือ พวกเราควรทำเช่นไรดี?” เสือเฒ่าเอ่ยถามเสียงดัง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก! ข้าคิดว่าพวกเราควรจักต้องรายงานให้องค์จักรพรรดิล่วงรู้โดยเร็ว!” จอมราชันย์กระทิงกล่าวเสนอความคิดเห็น
จอมราชันย์คนอื่นๆต่างก็เห็นด้วยกับจอมราชันย์กระทิงเช่นกัน หลังจากที่ลงความเห็นว่าองค์จักรพรรดิแห่งเผ่าอสูรกายควรจักต้องได้รู้เรื่องนี้ จอมราชันย์ทั้งสิบจึงเดินออกจากโถงประชุมทันที และมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน
ทั้งหมดเดินออกจากพระราชวัง และมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านเก่าๆทรุดโทรมหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในมุมของเมือง และเวลานี้จอมราชันย์ทั้งสิบก็ได้ยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังนั้นแล้ว
“ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ก็จงเข้ามาด้านใน ข้ารู้ว่าต้องมีเรื่องสำคัญยิ่งเป็นแน่ หาไม่แล้วพวกเจ้าคงไม่มาหาชายชราเช่นข้าเป็นแน่!”
ก่อนที่จะมีผู้ใดเคาะประตู เสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากด้านใน..