เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 80
ตอนที่ 80 ห้วงมิติไร้สิ้นสุด
ใบหน้าของหลงเฉินเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวขณะที่ได้ฟังคำพูดของซุน..
“นี่เจ้ามิได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?” หลงเฉินเอ่ยถามอีกครา
“ข้ากล่าวความจริง..” ซุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
“เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่เนิ่นๆเล่า?!! ปล่อยให้ข้าเสียเวลาไปมากมาย หาไม่แล้วข้าคงอยู่ศึกษากฏแห่งไม้ที่นี่ตั้งแต่แรก คงมิตะลอนๆไปที่อื่นให้เสียเวลาชีวิตของข้าเป็นแน่!!” หลงเฉินร้องบอกซุนด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
“ที่ข้ามิบอกเรื่องนี้แก่เจ้าก็เพราะเกรงว่าเจ้าจักเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า.. การศึกษากฏต่างๆนั้น สำคัญคือจิตใจที่สงบนิ่ง หากจิตใจของเจ้าว้าวุ่นขณะที่กำลังพยายามศึกษาแล้วล่ะก็ ยากนักที่เจ้าจักสามารถบรรลุภายในเวลาอันสั้นได้!” ซุนกล่าวเสียงต่ำ
“หากเป็นเรื่องจิตใจที่สงบนิ่งนั้น ข้าเชื่อคำพูดของเจ้า แต่เหตุใดเจ้ายังต้องให้ข้าเดินทางไปเผ่าแบนชีเพื่อเสาะหาลูกแก้วดวงใหม่ด้วย ในเมื่อเจ้าเองก็รู้ว่าเวลานั้นสำคัญต่อการมีชีวิตรอดของข้ามากเท่าใด!!” หลงเฉินจ้องลึกลงไปในดวงตาของซุน
“ข้ามิต้องการให้เจ้าพลาดโอกาสที่จักศึกษากฏพิเศษ เจ้าต้องรำลึกไว้เสมอว่า ยิ่งเจ้าศึกษากฏในโลกนี้ได้ในระดับสูงขึ้นไปมากเท่าใด เมื่อสามารถบรรลุได้เจ้าก็จักได้รับรางวัลที่ดียิ่งขึ้น ฉะนั้นข้าจึงแนะนำให้เจ้าเลือกลูกแก้วที่เทียนเฉินศึกษา..”
ซุนอธิบายพร้อมกับก้มหน้าลงเพื่อปกปิดใบหน้าแดงก่ำ ซึ่งเกิดจากความรู้สึกผิดของตนเอง..
“หึ.. ข้ารู้สึกว่าสักวันเจ้าจักต้องตายเพราะข้าแน่!” หลงเฉินกล่าวออกไปพร้อมกับแสยะยิ้ม
“แต่ช่างเถิด!! สิ่งเดียวที่ข้าจักสามารถทำได้ในเวลานี้คือ พยายามศึกษาให้บรรลุจงได้ จักสำเร็จหรือล้มเหลวก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันข้างหน้าเถิด..” หลงเฉินพึมพำ
‘หากเลวร้ายที่สุด อย่างมากข้าก็ต้องตาย แล้วอย่างไร? ในเมื่อข้าเองก็เคยตายมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน..’
หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่ครานี้ซุนมิได้ล่วงรู้ความนึกคิดของเขา เพราะเขาได้สะกัดกั้นการเข้ารับรู้ความคิดของตนจากนางไว้ก่อน
“ข้ายังมีเวลาเหลือมากเท่าใด ก่อนที่จะตายในโลกจริง?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป
“นั่นขึ้นอยู่กับวรยุทธบ่มเพาะของเจ้า แม้เจ้าจักฝึกอยู่ที่นี่ แต่ร่างของเจ้าในโลกจริง ก็จักได้รับผลของการฝึกวรยุทธบ่มเพาะเช่นเดียวกับในโลกนี้” ซุนกล่าวตอบ
“อ่อ.. ข้าเข้าใจแล้ว!! เท่าที่ข้ารู้ คนธรรมดาทั่วไปอาจมีอายุแปดสิบถึงเก้าสิบปี แต่ผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะที่เข้าสู่อาณาจักรปรับกายาแล้ว ก็จักสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ถึงหนึ่งร้อยปี ในขณะที่ผู้เข้าสู่อาณาจักรผสานวิญญาณ จักสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี และหากเข้าสู่อาณาจักรแก่นปราณทองคำ ก็จักสามารถมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปี ส่วนอาณาจักรจุตพิภพจักมีอายุขัยโดยรวมอยู่ที่สองร้อยปี แต่นั่นจักมีความหมายใด?”
“เจ้าอย่าได้คิดกังวลในเรื่องเหลานี้ไปเลย เพราะรังแต่จักเป็นการสร้างภาระให้กับตนเองเสียเปล่า เจ้าควรต้องพยายามศึกษาเรียนรู้กฏแห่งห้วงมิตินี้ให้ดีที่สุด พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาอาณาจักรบ่มเพาะของตนเองจักดีกว่า เมื่อโชคและความสมดุลเกิดขึ้น เจ้าก็จักสามารถออกจากโลกใบนี้ได้ในฐานะผู้ชนะ”
ซุนเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มให้หลงเฉิน นางพยายามสร้างกำลังใจให้หลงเฉิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในเวลานี้..
“ข้าต้องการเวลาอีกสักพักเพื่อจัดระเบียบความคิด สงบจิตใจ และใคร่ครวญสิ่งต่างๆ”
หลงเฉินพึมพำออกมาขณะที่เก็บลูกแก้วกลับเข้าไปในแหวนของตน ก่อนจะเดินไปหามุมแห่งหนึ่ง และนั่งลงในท่าทางที่สบาย แล้วเริ่มปิดเปลือกตาลง..
หลังจากที่หลับตาลงแล้ว.. หลงเฉินจึงเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำต่างๆที่อยู่ในจิตใจของตน นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เขาถือกำเนิดมา วันที่เขายังอยู่บนผืนปฐพี จนกระทั่งในวันที่เขาสิ้นใจ สิ่งต่างๆที่เขาเผชิญในโลกใบใหม่ และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น เวลานี้ภาพชีวิตของเขาทั้งหมดค่อยๆปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาทั้งสองข้าง
หลงเฉินหลับแต่นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นโดยมิไหวติงอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วยาม เขาจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าพร้อมแล้ว.. บอกวิธีศึกษากฏแก่ข้าได้แล้ว” หลงเฉินเอ่ยบอกซุน
“เจ้านั่งอยู่ในท่าฝึกวรยุทธบ่มเพาะ และนำลูกแก้วไปตั้งไว้ด้านหน้าของตนเอง..” ซุนเอ่ยบอกหลงเฉินให้ทำตามขั้นตอนที่นางบอก
“นำฝ่ามือซ้ายของเจ้าไปแนบไว้กับลูกแก้ว และทำจิตใจให้สงบนิ่ง จากนั้นพยายามสื่อสารกับองค์ประกอบที่อยู่ในลูกแก้ว ทำใจให้สงบนิ่งอยู่ในท่านั้น อย่าให้ความคิดที่ไม่ข้องเกี่ยวผุดขึ้นในจิตใจของเจ้าได้ ให้เสมือนว่าในโลกนี้มิมีสิ่งอื่นใดอีกนอกเหนือจากเจ้าและองค์ประกอบเหล่านั้น อยู่ในสภาพเช่นนี้ แล้วเจ้าจักสำเร็จ โชคดี.. เจ้าหนู” ซุนอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วจึงหายตัวไป..
หลงเฉินนั่งนิ่งอยู่ในท่านั้นนานกว่าหนึ่งชั่วยาม จิตใจของเขาว่างเปล่า และพยายามที่จะสื่อสารกับองค์ประกอบภายในลูกแก้ว หลงเฉินสัมผัสได้ว่ารอบกายของเขาเปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าตนเองกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงมิติที่ว่างเปล่าแห่งใดแห่งหนึ่ง จนอดใจไม่ได้ที่จะต้องลืมตาขึ้น และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็ถึงกับอัศจรรย์ใจยิ่ง นั่นเพราะเขาพบว่าตนเองกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงมิติที่กว้างใหญ่ ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตและดินแดน สุดสายตาของเขามีเพียงห้วงมิติที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต..”
“ซุน! ซุน! ข้าควรทำเช่นใดต่อ?”
หลงเฉินร้องตะโกนเรียกซุนเสียงดัง แต่กลับไร้ซึ่งการตอบรับ เขาพยายามอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังคงมิได้ยินเสียงตอบรับของนาง มีเพียงเสียงร้องตะโกนของเขาที่ดังสะท้อนกลับมาเท่านั้น
“ดูเหมือนข้าจักอยู่ที่นี่ลำพังคนเดียวสินะ นางคงเข้ามาไม่ได้!” หลงเฉินพึมพำกับตัวเอง
“เอาล่ะ.. ข้าคงจักต้องศึกษาด้วยตัวเอง กฏแห่งห้วงมิติ.. ที่นี่คือห้วงมิติ.. สถานที่แห่งนี้จักต้องเป็นกุญแจสู่การเรียนรู้กฏแห่งห้วงมิติเป็นแน่! เวลานี้ข้าอยู่ในห้วงมิติที่กว้างใหญ่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ข้าคงจักต้องอยู่ที่นี่เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังห้วงมิตินี้ จนกว่าจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้..” หลงเฉินพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง และเริ่มหันมองไปรอบกาย
……
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังศึกษาเรียนรู้กฏแห่งห้วงมิติอยู่นั้น เผ่าอสูรกายก็กำลังเดินทัพมุ่งหน้าไปยังเผ่าแบนชี ระหว่างทางที่ผ่านไป หากพบเห็นเผ่าเล็กๆ กองทัพอสูรกายก็จักเข้าถล่มก่อนจะเดินทัพต่อไปได้อย่างง่ายดาย
วันเวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเข้าสู่วันที่สามนับตั้งแต่หลงเฉินออกจากเผ่าแบนชีไป ราชินีเมี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์กลางท้องพระโรงเพียงลำพัง และสั่งทุกคนมิให้เข้ามารบกวนนาง แม้อาการบาดเจ็บของนางจักดีขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่แขนทั้งสองข้างของนางกลับหายไป แต่นั่นก็มิได้ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางขวัญเสีย นั่นเพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าแม้จะไร้ซึ่งมือทั้งสองข้าง แต่องค์ราชินีก็ยังคงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่า อีกทั้งในการใช้กฏแห่งน้ำแข็งนั้น นางก็มิจำเป็นต้องใช้มือทั้งสองข้างอีกด้วย
สิ่งเดียวที่ยังคงติดค้างและส่งผลกระทบต่อนางก็คือ.. เรื่องที่โลงศพเหมันต์ของนางถูกหลงเฉินทำลาย แต่นั่นก็ยังมิได้ทำให้นางอ่อนแอลงมาก เหมือนดังเช่นที่ราชินีองค์แรกได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งหลังจากที่โลงศพเหมันต์ของตนถูกทำลายลงในมหาสงครามครั้งก่อน นับแต่นั้นมา นางและราชินีองค์ต่อๆมาต่างก็พยายามเสาะแสวงหา และรวบรวมโอสถที่หาได้ยากที่สุด หลังจากเก็บสะสมรวบรวมได้อย่างมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้รักษาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และนี่คือสาเหตุที่อาการบาดเจ็บขององค์ราชินีเมี่ยลดลงจากหนึ่งเดือนเหลือเพียงแค่สามวันเท่านั้น
ในวันนี้.. นางฟื้นคืนและสามารถใช้โลงศพเหมันต์ได้อีกครั้งหากต้องการ แต่ดูเหมือนว่านางกลับมิมีความสุข นางเหม่อมองออกไปด้านหน้า และกำลังนึกถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของตน
แต่แล้วจู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอยู่หน้าท้องพระโรง องค์ราชินีเมี่ยร้องตะโกนสั่งให้เข้ามาได้ และเหล่าขุนนางระดับเชื้อพระวงศ์ต่างก็เดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยสีหน้าท่าทางกระวนกระวายใจยิ่ง