เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 90
ตอนที่ 90 ในที่สุดก็มา
ในสนามรบที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ผืนปฐพีชะโลมด้วยโลหิต การต่อสู้ระหว่างไฟและน้ำแข็งยังคงดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน..
อสูรกายตัวใหญ่มากมายกำลังต่อสู้กับนักรบตัวเล็กๆ กองกำลังขนาดใหญ่ของเผ่าอสูรกายเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือนักรบเผ่าแบนชีที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี วรยุทธต่อสู้ต่างๆที่ได้เรียนรู้มาถูกนำมาใช้ในสนามรบทั้งหมด ในขณะที่เหล่าอสูรกายกระหายเลือดยิ่ง เหล่านักรบของเผ่าแบนชีก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องดินแดน และบ้านเมืองของพวกเขา นักรบแบนชีทุกคนต่างก็ต่อสู้เพื่อเหตุผลเดียวกัน.. พวกเขาสู้เพื่อเผ่าพันธุ์ เพื่อปกป้องครอบครัว.. และเพื่อปกป้องดินแดนของพวกเขา
การสู้รบค่อยๆทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และหลายร้อยชีวิตก็ต้องจบลงในวันแห่งการนองเลือดนี้..
ห่างออกไปนั้น.. การต่อสู้ในรูปแบบอื่นๆก็ได้ถูกนำออกมาใช้ การต่อสู้ระหว่างองค์ราชินีแห่งเผ่าแบนชี และจอมราชันย์แห่งเผ่าอสูรกายยังคงดำเนินอยู่เนิ่นนาน และดูเหมือนว่าองค์ราชินีก็ได้ต่อสู้กับจอมราชันย์พยัคฆ์อย่างยุติธรรม โดยมิได้เอาเปรียบเลยแม้แต่น้อย
‘มิรู้ว่าข้าจักสามารถรับมือไปได้อีกนานเพียงใด จอมราชันย์อสูรกายเพียงแค่หนึ่งยังแข็งแกร่งถึงปานนี้ นี่จอมราชันย์โครงกระดูกยังมิเข้ามาช่วยกลุ้มรุม หลังจากกรงเหมันต์ถูกทำลายคราก่อน ข้าคงจักต้องใช้กรงเหมันต์สังหารจอมราชันย์พยัคฆ์อีกคราเป็นแน่.. เผ่าเอลเฟียเองก็ยังมินำมนุษย์มาปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือ หรือนี่จักเป็นคราวล่มสลายของจักรวรรดิแบนชีงั้นรึ? จักรวรรดิซึ่งอยู่มานานหลายพันปี จักต้องล่มสลายในวันนี้จริงๆหรือ?’
องค์ราชินีเมี่ยต่อสู้กับจอมราชันย์พยัคฆ์พร้อมกับแอบครุ่นคิดอยู่ในใจ..
“เฒ่าพยัคฆ์ คิดไม่ถึงว่าท่านจักใช้เวลาในการจัดการเด็กสาวตัวเล็กๆนานถึงเพียงนี้ ข้าว่าความแก่ชราคงจักทำให้ท่านกลายเป็นอสูรกายที่อ่อนแอไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ” จอมราชันย์โครงกระดูกที่อยู่ข้างๆถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ในบรรดาคู่ต่อสู้ทั้งหมด นางนับว่าแข็งแกร่งที่สุด หากข้ารีบร้อนเอาชนะนางก็คงหมดสนุกน่ะสิ!” จอมราชันย์ตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง
“หากท่านยังมิรีบจัดการกับนาง ข้าคงต้องเข้าไปร่วมสนุกกับท่านด้วยแล้ว อย่าลืมว่าองค์จักรพรรดิกำลังจับตามองพวกเราอยู่ ข้ามิต้องการให้การต่อสู้ดำเนินไปเนิ่นนานนัก..” จอมราชันย์โครงกระดูกหันไปมองจอมราชันย์พยัคฆ์พร้อมกับร้องตะโกนบอก
“ตกลง.. ตกลง! ข้าจักจัดการให้จบๆลงเดี๋ยวนี้ ท่านช่างเป็นโครงกระดูกที่ขัดความสุขผู้อื่นได้ดียิ่งนัก..” จอมราชันย์ร้องตะโกนตอบด้วยสีหน้าท่าทางหงุดหงิดใจ
“ไตรสุริยันโลกันตร์!”
สิ้นเสียงร้องคำรามของจอมราชันย์พยัคฆ์ ท้องนภาเหนือศรีษะของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีแดง คลื่นพระเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เหนือศรีษะของจอมราชันย์พยัคฆ์ และเริ่มกดต่ำลงมาเรื่อยๆ จากนั้นตะวันเพลิงดวงหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นเหนือศรีษะของเขา ตามมาด้วยตะวันเพลิงลูกที่สอง และลูกที่สาม ตะวันเพลิงทั้งสามดวงต่างก็โคจรหมุนเวียนอยู่เหนือศรีษะของจอมราชันย์พยัคฆ์ ราวกับดาวเคราะห์ที่กำลังหมุนรอบดวงอาทิตย์
“ในที่สุดเจ้าก็เอาจริงเสียทีสินะ!!” จอมราชันย์โครงกระดูกหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่าในที่สุดจอมราชันย์พยัคฆ์ก็ยอมใช้วรยุทธต่อสู้ของตนเองเสียที
‘ดูเหมือน.. ข้าเองก็คงไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน ข้าคงต้องจัดการกับมันเสียที!’ องค์ราชินีเมี่ยเหลือบมองตะวันเพลิงทั้งสามพร้อมกับครุ่นคิด
“กรงเหมันต์!!” ลูกนัยน์ตาขององค์ราชินีเมี่ยเปลี่ยนเป็นสีขาวในขณะที่พึมพำออกมาเบาๆ
กำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ทั้งสี่ปรากฏขึ้นโอบล้อมร่างของจอมราชันย์พยัคฆ์ไว้ และค่อยๆสูงขึ้นจนปกคลุมตะวันเพลิงทั้งสามดวงที่โคจรอยู่เหนือศรีษะของจอมราชันย์พยัคฆ์ไว้ จากนั้นด้านบนของกรงเหมันต์ก็ปรากแผ่นน้ำแข็งหนาเคลื่อนมาปิดไว้ ทำให้จอมราชันย์พยัคฆ์ถูกขังไว้ในกรงน้ำแข็งสี่เหลี่ยมอย่างแน่นหนา แล้วกำแพงทั้งสี่ด้านก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้กันอย่างช้าๆแต่มั่นคง
องค์ราชินีเมี่ยรู้สึกราวกับว่านางได้สูญเสียความแข็งแกร่งของตนไปทั้งหมดในขณะที่ใช้กรงเหมันต์ ความอ่อนแอกำลังกลืนกินนาง และนางรู้ได้ทันทีว่าหลังการต่อสู้สิ้นสุดลง นางคงมิหลงเหลือวรยุทธต่อสู้ใดๆอีก
จอมราชันย์โครงกระดูกถึงกับหน้าเปลี่ยนสีเมื่อพบว่า จอมราชันย์พยัคฆ์ได้ถูกขังไว้ด้วยกรงน้ำแข็งขนาดใหญ่เช่นนั้น..
“ไฟอเวจี!”
จอมราชันย์โครงกระดูกเคลื่อนไหวเล็กน้อย ลูกไฟขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้นบนพื้นดิน และค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ได้กลายเป็นเปลวเพลิงรูปโครงกระดูกยักษ์สูงกว่าสามเมตร ในมือของโครงกระดูกเพลิงถือค้อนเพลิงไว้ด้วย และค่อยๆก้าวเดินตรงไปยังกรงเหมันต์ที่กำลังบีบอัดเข้าไปอย่างช้าๆ
“เจ้าคิดว่ากรงเล็กๆกระจอกๆนี่จักสามารถหยุดจอมราชันย์เช่นข้าได้อย่างนั้นรึ? ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่ากรงเหมันต์ขององค์ราชินีเผ่าแบนชีนั้นแข็งแกร่งยิ่ง แม้แต่จอมราชันย์เพียงหนึ่งยังมิอาจทำลายมันลงได้ ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าคำร่ำลือนี้จักเป็นจริงสักเพียงใด..”
จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องคำรามออกมา หลังจากที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ตะวันเพลิงดวงหนึ่งซึ่งโคจรอยู่เหนือศรีษะของเขานั้น ก็เคลื่อนตรงไปข้างหน้ากระแทกเข้าใส่กำแพงน้ำแข็งทันที
แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเข้ามาแทนที่ และกรงเหมันต์ก็ถึงกับเขย่าไปทั้งหลัง แต่จอมราชันย์พยัคฆ์กลับสังเกตเห็นว่า กำแพงน้ำแข็งทั้งสี่ด้านยังคงแข็งแกร่ง และไม่มีท่าทีว่าจักเสียหายเลยแม้แต่น้อย
“นับว่าแข็งแกร่งสมคำร่ำลือยิ่ง แต่ข้าก็หาได้อ่อนแอเช่นกัน..”
จอมราชันย์พยัคฆ์ร้องคำรามออกมาเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว เวลานี้เหลือตะวันเพลิงเพียงแค่สองดวงที่โคจรอยู่เหนือศรีษะของเขา ตะวันเพลิงทั้งสองเคลื่อนเข้าหากัน และค่อยๆรวมกันเป็นหนึ่ง แล้วขยายเป็นดวงตะวันใหญ่ขึ้นจากเดิมอีกเท่าตัว เปลวเพลิงพลันเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น และดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง..
จอมราชันย์พยัคฆ์ขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง ตะวันเพลิงดวงใหญ่ก็ได้เคลื่อนกระแทกเข้าใส่กำแพงน้ำแข็งอีกครา..
โครงกระดูกเพลิงที่จอมราชันย์โครงกระดูกสร้างขึ้นนั้น ขยับค้อนเพลิงขนาดใหญ่ในมือทุบเข้าใส่กำแพงน้ำแข็งทันที และดูเหมือนทั้งค้อนเพลิงขนาดใหญ่และตะวันเพลิงดวงโตของจอมราชันย์พยัคฆ์ จักทุบทำลายลงในจุดเดียวกันอย่างพอดิบพอดี เพียงแต่คนละด้านของกำแพงเท่านั้น กำแพงน้ำแข็งที่แข็งแกร่งจึงแตกแยกออกจากกันได้อย่างง่ายดาย โดยที่จอมราชันย์ทั้งสองยังมิได้ออกแรงเต็มกำลังเลย แล้วจอมราชันย์พยัคฆ์ก็เป็นอิสระ..
ทันทีที่กรงเหมันต์ถูกทำลาย องค์ราชินีเมี่ยถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือด และเข่าทรุดลงไปกองกับพื้น ใบหน้าซีดเผือด..
จอมราชันย์พยัคฆ์ก้าวเดินออกมา และพบว่าโครงกระดูกเพลิงพร้อมค้อนใหญ่ในมือได้ค่อยๆเลือนหายไปแล้ว..
“ข้ามิได้ร้องขอให้ท่านช่วย! ข้าย่อมรับมือกับนางได้เอง..” จอมราชันย์พยัคฆ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ข้ารู้.. เพียงแต่ข้าเห็นเจ้าอยู่ด้านในนานผิดปกติ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจักกำลังสนุกสนานอยู่กับการจ้องมองกำแพงน้ำแข็งอยู่ด้านใน ฮ่าๆๆๆ” จอมราชันย์โครงกระดูกกระเซ้าเย้าแหย่พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ฮึ่ม!!” จอมราชันย์พยัคฆ์ทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาราชินีเมี่ย
“ข้าสนุกสนานที่ได้ต่อสู้กับเจ้ายิ่งนัก แต่มันจบลงแล้ว ในเมื่อข้าบอกไว้แล้วว่าจักมิสังหารเจ้า ฉะนั้นข้าจะมัดเจ้าไว้ และนำไปมอบให้กับเฒ่ากระทิงกับเฒ่าหมีแบ่งปันกัน” จอมราชันย์พยัคฆ์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
องค์ราชินนีเมี่ยกวาดสายตามองไปยังพื้นสนามรบ และพบเห็นหัวหน้าเผ่าต่างๆที่พ่ายแพ้ มาซูมัสนอนกองอยู่กับพื้นโดยมีจอมราชันย์กระทิงยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้านิ่งเรียบเป็นปกติ ในขณะที่บาล่านอนจมกองเลือด โดยมีจอมราชันย์หมีทำร้ายร่างกายอยู่แม้จักพ่ายแพ้ไปแล้วก็ตาม และภาพเช่นเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหงของสนามรบแห่งนี้..
‘มันจบแล้ว!! พวกเราพ่ายแพ้สงคราม! แม้พวกเขาจักมิมาช่วย แต่ข้าก็ยังหวังว่าเผ่าเอลเฟียจักสามารถมีชีวิตรอดไปได้ ด้วยความช่วยเหลือของมนุษย์ผู้นั้น หวังว่าพวกเขาจักสามารถเอาชนะกองทัพอสูรกายได้ และเด็กหนุ่มของจักรวรรดิแบนชีที่เหลือเพียงหนึ่งจักสามารถมีชีวิตรอดด้วย ข้าขอภาวนาให้พวกเขาทั้งหมดมีชีวิตรอด เพื่อจักได้สืบสานจักรวรรดิของเราต่อไป’ องค์ราชินีเมี่ยเฝ้าครุ่นคิดภาวนาอยู่ในใจเช่นนั้น พร้อมกับน้ำตาที่รื้นอยู่ภายในสองตาเล็กน้อย
แต่ในขณะที่จอมราชันย์พยัคฆ์ได้เดินไปหาราชินีเมี่ยนั้น เขาก็ถึงกับหยุดชะงัก และสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที
“ดูท่าในที่สุดเจ้าก็มาสินะ!!” จอมราชันย์โครงกระดูกเอ่ยออกมาเมื่อสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้น