เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - ตอนที่ 1024
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1024 ฟางหยวนยืมวิญญาณ
แปลโดย iPAT
ฟางหยวนวิ่งผ่านภูเขาและแม่น้ำ แม้เขาจะไม่ใช้วิญญาณ แต่การเคลื่อนไหวของเขายังรวดเร็วมาก
เมื่อเขาออกจากสนามรบที่กลายเป็นที่ราบ ภูมิประเทศก็เปลี่ยนเป็นภูเขาและป่าไม้
ภาคใต้เต็มไปด้วยภูเขา นี่เป็นลักษณะพิเศษของภูมิภาคนี้
‘หลังจากวิ่งมานานโดยไม่หยุดพัก ข้ากลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้า! สิ่งสำคัญที่สุดก็คือข้าไม่ได้ใช้วิญญาณแม้แต่ดวงเดียว!’
ฟางหยวนเริ่มตระหนักถึงความพิเศษของร่างใหม่
ร่างกายของผู้ใช้วิญญาณ หากปราศจากความช่วยเหลือจากวิญญาณที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายเช่นวิญญาณหมูป่า พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา
เพียงเพราะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่อยู่บนร่างกายจึงทำให้ผู้ใช้วิญญาณมีความพิเศษเฉพาะตัว
‘ร่างกายของข้าถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณทารกอมตะระดับเก้า ดูเหมือนมันจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งมากกว่าร่างเดิมของข้า’
ฟางหยวนประเมินอยู่ในใจ
หลังจากกลายเป็นผีดิบอมตะ เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ตามหากร่างเดิมของเขาฟื้นคืนสู่ชีวิต เขาจะไม่สามารถวิ่งได้เช่นนี้
ฟางหยวนวิ่งไปในป่าลึก เขาใช้มือและเท้าปีนป่ายขึ้นหน้าผาอันสูงชัน
เขาอยู่ในร่างที่เปลือยเปล่า นั่นทำให้เขาดูราวกับเงาสีขาวพุ่งผ่านป่าทึบ
เขาสามารถมองเห็นป่าทึกที่รกร้างได้อย่างชัดเจน เขากระทั่งรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดสามารถกีดขวางเส้นทางของเขา
‘ข้าสามารถมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนขณะที่การเคลื่อนไหวของข้ายอดเยี่ยมมาก ช่างน่าอัศจรรย์นัก! ร่างเดิมของข้าจะสามารถบรรลุระดับนี้ด้วยการพึ่งพาวิญญาณเท่านั้น!’
ฟางหยวนขึ้นไปบนยอดเขา
เมื่อป่ารกทึบหายไป ขอบเขตการมองเห็นของเขาขยายกว้างขึ้น เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบตัว
สายลมพัดผ่านทำให้เส้นผมของเขาสะบัดตัวไปด้านหลัง
ฟางหยวนสูดหายใจลึกก่อนจะนั่งลง เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับการวิ่งทั้งหมดที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น
ความแข็งแกร่งของเขาบรรลุถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อ!
ลมเย็นพัดผ่านร่างกายที่เปลือยเปล่าของฟางหยวนแต่เขากลับไม่รู้สึกหนาว
การเต้นของหัวใจราบเรียบเป็นปกติและมีชีวิตชีวามาก
ในระยะหนึ่งหมื่นก้าว เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างชัดเจนมาก
เขากระทั่งสามารถมองเห็นร่องรอยของการต่อสู้
‘ดูเหมือนไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันจะเคยนำร่างของข้ามาที่นี่ พวกเขาพบผู้อมตะภาคใต้และเกิดต่อสู้’
ฟางหยวนกระโดดลงจากยอดเขาอย่างกะทันหัน
เขาเหยียบลงบนพื้นหินจากความสูงนับสิบเมตรแต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาไม่แม้แต่จะมีอาการชา
อย่างไรก็ตามหินใต้เท้าเขากลับแตกละเอียด
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาเริ่มทดลอง
ระยะห่างระหว่างเขากับพื้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสิบเมตรเป็นยี่สิบเมตรและห้าสิบเมตร
แต่นี่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา!
เมื่อถึงระดับหกสิบเมตร ฟางหยวนเริ่มรู้สึกเท้าชา
เขายังกล้าทดลองใช้ส่วนอื่นกระแทกพื้นไม่ว่าจะเป็นหน้าอกหรือแผ่นหลังและสร้างหลุมขึ้นบนพื้น
ฟางหยวนลุกขึ้นจากหลุมในสภาพสมบูรณ์แบบ
เขาทดลองกระโดดลงมาจากที่สูงแปดสิบเมตร
ความสูงระดับนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแต่ประเด็นก็คือเขาใช้ศีรษะพุ่งลงมา
“บึม”
ด้วยเสียงระเบิด ศีรษะของเขาฝังลงไปใต้พื้นดิน
เขาดึงศีรษะขึ้นมาโดยปราศจากบาดแผล
ฟางหยวนรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยแต่อาการนี้เกิดขึ้นเพียงสามลมหายใจเท่านั้น
ฟางหยวนตรวจสอบร่างกายและพบว่ามันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ
ฟางหยวนพยายามดึงเส้นผมของตนเอง เส้นผมของเขาแข็งแรงมาก เขาต้องใช้แรงมหาศาลจึงจะสามารถถอนปอยผมออกมาได้เล็กน้อย
ฟางหยวนวิ่งไปตามร่องรอยของการต่อสู้ขณะที่เขากระโดดลงมาจากหน้าผาเพื่อทดสอบขีดจำกัดของตนเอง
ความสูงเพิ่มจากแปดสิบเมตรเป็นสองร้อยห้าสิบเมตร
ตอนนี้ฟางหยวนเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่เขายังทนได้
เมื่อถึงระดับความสูงสามร้อยสามสิบเมตรจากพื้น เขาก็หยุดการทดลอง
ณ ความสูงนี้ ร่างกายของเขาเกิดรอยแดงช้ำขึ้นเล็กน้อย
“สามร้อยสามสิบเมตรยังไม่ใช่ขีดจำกัดของร่างกายข้า” ฟางหยวนตกใจ
กระทั่งหอไอเฟลบนโลกมนุษย์ก็สูงเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น!
“ด้วยร่างกายนี้ โดยไม่ต้องใช้วิญญาณใดๆ ความสามารถของข้าก็บรรลุถึงระดับนี้ กระทั่งผู้อมตะทั่วไปก็ไม่บรรลุถึงระดับเดียวกับข้าในเวลานี้”
“ดูเหมือนร่างนี้จะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าสายป้องกันอยู่มากมาย”
เรื่องนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ตอนนี้เขาไม่มีวิญญาณอมตะสายป้องกัน เขามีเพียงวิญญาณคลี่คลายความฝัน วิญญาณเปลี่ยนวิญญาณ และวิญญาณทัศนคติ
เมื่อมาถึงสถานที่เกิดการต่อสู้ ฟางหยวนนั่งลงและตรวจสอบ
“ดูเหมือนจะเป็นพวกเขา” ฟางหยวนยืนขึ้นและขมวดคิ้ว
ปราศจากวิญญาณสายตรวจสอบ ฟางหยวนไม่สามารถยืนยัน
แต่ฟางหยวนรู้ว่าเขาต้องไล่ตามต่อไป
“เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
เขาไม่มีเวลาทดสอบความสามารถของตนเองอีกและเลือกเส้นทางที่สะดวกที่สุด
ในไม่ช้าเขาก็พบร่องรอยที่สองและสาม
การต่อสู้ระหว่างผู้อมตะมักเกิดขึ้นบนท้องฟ้า มีร่องรอยอยู่บนพื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเนื่องจากฟางหยวนไม่มีวิญญาณที่ช่วยในการบิน มันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะติดตามเป้าหมาย
เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของฟางหวนเริ่มจมดิ่งลง
เป็นเพียงเวลานี้ที่เงาร่างลึกลับพุ่งผ่านท้องฟ้ามาราวกับดาวหางก่อนจะตกลงบนพื้น
เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นรอบๆ
“ผู้ใด?” ฟางหยวนกล่าวเสียงเย็น
“ข้าคือเฮากงตง เจ้ามาจากภูเขาอี้เทียนใช่หรือไม่?” ชายที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
การแสดงออกของฟางหยวนกลายเป็นเคร่งขรึมขณะที่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณอมตะเปลี่ยนวิญญาณออกมา เขาไม่ตอบแต่ถามกลับ “เจ้ามาในจังหวะที่เหมาะสม ระหว่างที่เจ้าบินมา เจ้าเห็นคนน่าสงสัยบ้างหรือไม่?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะ เฮากงตงรู้ว่าฟางหยวนไม่ใช่ตัวตนที่สามารถล้อเล่น ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไป
ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่ไม่มีวิญญาณอมตะ
แม้เฮากงตงจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่เขาเข้าร่วมกับตระกูลช่ายของภาคใต้เรียบร้อยแล้ว
ตระกูลช่ายเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ที่เข้าร่วมในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ผู้อมตะหลายคนของตระกูลช่ายเสียชีวิต ดังนั้นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลช่ายจึงส่งเฮากงตงมาเพื่อตรวจสอบ
เมื่อได้ยินคำถามของฟางหยวน เฮากงตงคิด ‘คนน่าสงสัยงั้นหรือ? เจ้าที่วิ่งอยู่ที่นี่ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าในยามกลางวันเช่นนี้้ เจ้านั่นแหล่ะน่าสงสัยที่สุด!’
เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเปิดปากกล่าว “ไม่มีบุคคลที่น่าสงสัยในระยะหนึ่งร้อยลี่นี้นอกจากเจ้า”
“บัดซบ!” ฟางหยวนสบถด้วยความโกรธเกรี้ยว
เขากำหมัดแน่นและกล่าวกับตนเอง “ดูเหมือนเขาจะหนีไปแล้ว ฮืม แม้เจ้าจะหนีไปจนสุดขอบโลก ข้าก็จะตามไปมอบความอัปยศนี้คืนให้กับเจ้าเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
เฮากงตงมองฟางหยวนและคาดเดา ‘ดูเหมือนคนผู้นี้จะถูกบางคนวางกับดักและสูญเสียวิญญาณจำนวนมาก เขามีบุคลิกที่ดุร้าย ข้าต้องระวังตัว’
ฟางหยวนไม่ได้อธิบายสิ่งใดแต่เฮากงตงได้รับคำตอบด้วยตนเองแล้ว
เขาไม่ต้องการยั่วยุฟางหยวน มันไม่คุ้มที่จะต่อสู้กับคนที่กำลังบ้าคลั่ง
“ข้าไม่ได้ตรวจสอบภูเขาอี้เทียนอย่างละเอียด เจ้าจงไปดูมันด้วยดวงตาของตนเอง” ฟางหยวนกล่าวก่อนเตรียมตัวจากไป
เฮากงตงต้องการขัดขวาง แต่ฟางหยวนกลับหยุดเท้าและถาม “เดี๋ยว! เจ้าคือเฮากงตง สมาชิกตระกูลช่ายใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” เฮากงตงจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่า
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ดี ข้าเป็นสหายเก่าของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าของเจ้า เขาสร้างท่าไม้ตายเขตแดนหมื่นประกายแสงเสร็จหรือนยัง?”
เฮากงตงเร่งตอบ “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้ายังอยู่ระหว่างเก็บตัวฝืนตน”
“เห้อ…เขาถูกบังคับโดยปู่ของเขา ก่อนหน้าเขาพยายามข่มเหงเทพธิดาซือซือ หึ หลังจากเหตุการณ์นี้ข้าจะไปเยี่ยมเขา” ฟางหยวนยื่นแขนออกไป “ให้ข้ายืมวิญญาณหน่อย”
“อา…” เฮากงตงตกตะลึง
“อันใด? เจ้าเป็นผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่ วิญญาณระดับมนุษย์เพียงไม่กี่ดวง เหตุใดจึงตระหนี่นัก?” ฟางหยวนถามโดยปราศจากความอดทน
เฮากงตงคิด ‘ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้ากำลังแก้ไขท่าไม้ตายเขตแดนหมื่นประกายแสง แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับคนนอกเท่านั้น ความจริงก็คือเขาคุกคามเทพธิดาซือซือ อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ เขาต้องเป็นสหายของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าจริงๆ ข้าเข้าร่วมกับตระกูลช่ายแต่ข้าเป็นเพียงผู้อาวุโสนอกขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าเป็นสมาชิกที่แท้จริงของตระกูลช่ายและเป็นหลานชายของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง หากข้าพบสหายของเขาและปฏิเสธที่จะให้ยืมวิญญาณ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้าอาจไม่พอใจข้า”
ดังนั้นเฮากงตงจึงตัดสินใจให้ฟางหยวนยืมวิญญาณ
หลังจากทั้งหมดพวกมันเป็นเพียงวิญญาณระดับมนุษย์ที่มีค่าไม่มากนัก
เฮากงตงส่งมอบวิญญาณและถามฟางหยวน “ไม่ทราบว่านามของผู้อาวุโสคือ?”
“ข้าคือตงฟางเซียงจี้” ฟางหยวนโบกมือ
เฮากงตงคิด ‘เขาคือตงฟางเซียงจี้! เขาเป็นสหายที่มีชื่อเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่เก้า เขายังมีชื่อเสียงในเรื่องความตระหนี่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนใจแคบและจะตามแก้แค้นหากไม่พอใจ แต่รูปลักษณ์ของเขาเป็นเช่นนี้งั้นหรือ? โอ้ เขาไม่เหลือเสื้อผ้าแล้ว เขาเปลี่ยนได้เพียงรูปลักษณ์เท่านั้น เอาล่ะ ข้าจะลืมวิญญาณเหล่านี้ไปซะ หากข้าได้รับพวกมันกลับมา นั่นจะถือเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุด!’