เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - ตอนที่ 1111
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1111 ภัยพิบัติพิภพครั้งที่สาม
แปลโดย iPAT
ภาคใต้
สายลมพัดไปตามทิวเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ผู้อมตะมากกว่าสิบคนยืนอยู่ห่างกันหลายพันลี้และจัดขบวนเป็นวงกลมขนาดใหญ่
ค่ายกลวิญญาณถูกกระตุ้นการทำงานและปลดปล่อยแสงสว่างระยิบระยับออกมาปกคลุมอาณาจักรแห่งความฝันเอาไว้ทั้งหมด
หลังการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน เทพปีศาจจิตวิญญาณถูกกักขังไว้ในอาณาจักรแห่งความฝันแห่งนี้และกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ
แม้ผู้อมตะภาคใต้จะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นแต่พวกเขารู้ว่าอาณาจักรแห่งความฝันเป็นผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่
ผู้อมตะกลุ่มนี้มาจากกองกำลังขนาดใหญ่ฝ่ายธรรมะของภาคใต้
หลังจากเจรจาอย่างยากลำบาก พวกเขาสามารถสร้างข้อตกลง
อาณาจักรแห่งความฝันแห่งนี้ใหญ่โตเกินไป ไม่มีกองกำลังใดกองกำลังหนึ่งสามารถยึดครองมันได้เพียงลำพัง พวกเขายังต้องระวังปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษ ดังนั้นฝ่ายธรรมะจึงสร้างความร่วมมือและเข้ายึดครองสถานที่แห่งนี้และสร้างค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเก็บเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างช้าๆ
“ไป!” ผู้อมตะบางคนตะโกน
พวกเขาต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรจำนวนมหาศาล
หลังจากเก้าวันเก้าคืน ค่ายกลวิญญาณก็ใกล้ประสบความสำเร็จ
“พวกเขากำลังจะประสบความสำเร็จ!”
“หากเราไม่ลงมือตอนนี้…”
“เห้อ…ไม่มีโอกาสแล้ว ดูรอบๆ มีผู้อมตะซ่อนตัวอยู่มากมาย นอกจากนั้นอาจมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะปกป้องพวกเขาอยู่”
“ในกรณีนี้…”
การสนทนาเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
ปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษตระหนักถึงคุณค่าของอาณาจักรแห่งความฝันเช่นกัน แม้จะไม่มีอาณาจักรแห่งความฝัน แต่สถานที่แห่งนี้ยังมีซากศพและมรดกของผู้อมตะ พวกมันล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
แต่ฝ่ายธรรมะดำเนินการอย่างระมัดระวังและไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายปีศาจสามารถลงมือ
เมื่อปราศจากโอกาส ผู้อมตะเหล่านี้จึงเลือกที่จะล่าถอยอย่างชาญฉลาด
“บึม!”
เป็นเพียงเวลานี้ที่เสาแสงระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อเสาแสงเลือนหาย ค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ก็เก็บซ่อนตัวมันเองจากสายตาของคนนอก
“หลังจากทำงานหนัก สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ!” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะที่จัดตั้งค่ายกลวิญญาณบินเข้ามารวมตัวกัน
“ในการสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ตระกูลวูของข้าใช้วิญญาณอมตะห้าดวง ดังนั้นสามสิบส่วนของอาณาจักรแห่งความฝันควรเป็นของตระกูลวู”
“ฮ่าฮ่า มีเหตุผล แต่…ตระกูลลั่วของข้าใช้วิญญาณอมตะเท่ากับตระกูลวู พวกเราต้องได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน”
“พวกเจ้ากำลังกล่าวสิ่งใด! หากเราไม่ทำงานร่วมกันและใช้พลังงานอมตะของทุกคน ค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่เช่นนี้จะถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร?”
“ในความคิดเห็นของข้า ในแง่ของการมีส่วนร่วม ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของข้า จื่อฉูโหยว่ รับผิดชอบการจัดตั้งแกนกลางของค่ายกล ในการจัดลำดับความสำคัญ เขาต้องได้รับอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน!”
แม้ค่ายกลวิญญาณจะถูกจัดตั้งขึ้น แต่ฝ่ายธรรมะยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการแบ่งผลประโยชน์
การโต้แย้งดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปอย่างไม่มีความสุข
ไม่กี่วันต่อมา
ภูเขาเฉิงเหลียง
“ซินซื่อคารวะท่านหญิงชิงชิง” เฉิงซินซื่อทำความเคารพ
เฉิงชิงชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ข้าคิดถูกเกี่ยวกับเจ้า เจ้าทำหน้าที่ผู้นำตระกูลได้ดีมาก ตอนนี้ตระกูลเฉิงเริ่มแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว”
“ข้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้เพราะได้รับการสนับสนุนจากท่านหญิงชิงชิง” เฉิงซินซื่อกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
เฉิงชิงชิงกล่าวเข้าประเด็น “ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะข้ามีคำถามบางอย่าง หลังจากขึ้นเป็นผู้นำตระกูล สิ่งแรกที่เจ้าทำคือประกาศจับปีศาจดำขาว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ไห่ถูของเจ้าไม่ใช่ฟางเจิ้งแต่เป็นฟางหยวน”
“ฟางหยวน?” เฉิงซินซื่องุนงง
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านหญิงชิงชิงจะเรียกนางมาพูดคุยเกี่ยวกับท่านพี่ไห่ถูของนาง
หลังจากเฉิงซินซื่อกลายเป็นผู้นำตระกูลเฉิง นางได้เปิดหูเปิดตาและเรียนรู้ความลับมากมาย นางรู้ว่าหญิงที่งดงามที่อยู่ตรงหน้าคือผู้อมตะที่สูงส่งและยิ่งใหญ่
แต่ตอนนี้ผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่กลับกำลังพูดคุยกับนางเกี่ยวกับผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ผู้หนึ่ง แล้วจะไม่ให้นางรู้สึกสับสนได้อย่างไร?
เฉิงชิงชิงกล่าวด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม “ซินซื่อ เจ้าต้องฟังคำกล่าวต่อไปนี้ของข้าอย่างระมัดระวังเพราะมันสำคัญมาก”
“ทราบแล้ว ข้าจะตั้งใจฟังและเรียนรู้”
“ปีศาจดำที่เจ้ารู้จักในชื่อของฟางเจิ้งแท้จริงแล้วคือฟางหยวน เขามีภูมิหลังที่น่าตกใจ เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นตัวตนที่อันตรายมาก เขาเป็นผู้อมตะฝ่ายปีศาจที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง ไม่เพียงผู้อมตะของภาคใต้แต่ยังรวมถึงผู้อมตะของภาคกลาง ผู้อมตะของทะเลตะวันออก ผู้อมตะของภาคเหนือ และผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกที่ต้องการจับตัวเขาในเวลานี้” เฉิงชิงชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉิงซินซื่ออ้าปากค้างด้วยตกตะลึง
ครู่หนึ่งนางรู้สึกราวกับหูฝาด
ท่านพี่ไห่ถูของนางกลายเป็นผู้อมตะตั้งแต่เมื่อใด? และเขายังอันตรายมากกระทั่งท่านหญิงชิงชิงยังต้องระวังตัว
“อย่าสงสัยว่าเจ้าได้ยินสิ่งใดผิดไปหรือข้ากำลังพูดเรื่องตลกกับเจ้า เจ้ากับปีศาจฟางหยวนอาจมีความสัมพันธ์บางอย่างในอดีต บอกข้าทุกสิ่งเกี่ยวกับมัน” เฉิงชิงชิงถาม
“อา…อา…ทราบแล้ว” เฉิงซินซื่อฟื้นคืนสติก่อนจะเริ่มทบทวนความทรงจำ “ข้าพบท่านพี่ไห่ถูครั้งแรกในขบวนสินค้า เขาเป็นคนใจดีมาก เขาช่วยข้าจากสถานการณ์ที่น่ากลัว…”
เฉิงซินซื่อนึกถึงอดีต ยิ่งนางนึกถึงมากเท่าใด ใบหน้าของนางก็ยิ่งอ่อนโยนลงมากเท่านั้น
ตลอดกระบวนการ เฉิงชิงชิงฟังอยู่อย่างเงียบๆโดยไม่กล่าวสิ่งใด
หลังจากเฉิงซินซื่อกล่าวจบ นางจึงรวบรวมความกล้าและพยายามแก้ตัวแทนฟางหยวน “ท่านหญิงชิงชิงเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่? ฟางเจิ้ง…ข้าหมายถึงฟางหยวน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ แล้วเขาจะกลายเป็นปีศาจอมตะได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่า” เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “หากเขาไม่ใช่ปีศาจที่ยิ่งใหญ่ แล้วเขาคือผู้ใด? ความร้ายกาจและเล่ห์เหลี่ยมของเขาไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถจินตนาการถึง เขาได้พลิกคว่ำโลกของผู้อมตะภาคเหนือ กระทั่งวังสวรรค์ของภาคกลางยังไม่สามารถจับกุมเขา ตอนนี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหรือวางแผนชั่วร้ายใดต่อไป การเผชิญหน้าระหว่างเจ้ากับเขาอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด ข้าบอกได้เลยว่ามีแผนการซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”
“เจ้ารู้หรือไม่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเขา ตอนนี้ตระกูลเฉิงของเรากำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้ จากนี้ไปเจ้าต้องรักษาระยะห่างจากเขา ไม่มีความสัมพันธ์ใดระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง เจ้าเป็นผู้นำตระกูลที่ดี จงฟังคำกล่าวข้า เอาล่ะ ไปได้”
เฉิงซินซื่อทำได้เพียงจากไป
“ท่านจะปล่อยนางไปเช่นนี้งั้นหรือ?” หลังจากเฉิงซินซื่อจากไป ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านข้างเฉิงชิงชิง
เขาเป็นชายร่างผอมที่มีใบหน้าซีดขาว เขาคือผู้อมตะของตระกูลเฉิง เฉิงเทียนโม่
เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้ม “ข้าจะทำสิ่งใดได้?”
เฉิงเทียนโม่กล่าว “เราไม่สามารถเชื่อเพียงคำกล่าวของนาง เราต้องค้นวิญญาณของนางและตรวจสอบด้วยตนเอง!”
เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้มกว้าง “ดูนี่”
หลังกล่าวจบคำนางยื่นมือออกมา
มือของนางไม่ใช่มือของมนุษย์อีกต่อไปแต่กลายเป็นกิ่งไม้ที่มีดอกไม้งอกออกมาจากเล็บ
เฉิงเทียนโม่กลายเป็นมึนงง “ข้าลืมไปว่าท่านมีท่าไม้ตายอมตะนี้ มันเชื่อถือได้มากกว่าการค้นวิญญาณ!”
“ข้ารู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของฟางหยวนเมื่อครั้งที่เขาเข้ามาในเมืองเฉิง เขามาที่นี่เพื่อฝึกฝน เขาไม่ได้วางแผนร้ายใดๆต่อตระกูลเฉิง เขาคู่ควรกับการเป็นผู้ครอบครองวิญญาณกาลเวลาจริงๆ” เฉิงชิงชิงกล่าว
เฉิงเทียนโม่พยักหน้า “เช่นนั้นเราจะอธิบายเรื่องนี้กับคนนอกอย่างไร?”
เฉิงชิงชิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “พวกเขาใช้ฟางหยวนเป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้รับส่วนแบ่งอาณาจักรแห่งความฝันที่มากขึ้น ตอนนี้เมื่อข้ามีหลักฐานชิ้นนี้ ข้าสามารถทำให้พวกเขาหุบปาก!”
ดวงตาของเฉิงเทียนโม่ส่องประกายขึ้นขณะที่เขาหันหน้าไปทางภูเขาอี้เทียน “บางที…ผู้อมตะตระกูลเฉิงของเราอาจนิ่งเฉยมากนานเกินไป ผู้คนจึงคิดว่าพวกเราไม่เหลือผู้มีความสามารถอีกต่อไป!”
สถานการณ์ที่แปลกประหลาดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ในภาคเหนือ การต่อสู้ของเผ่าไห่จบลงแล้ว ทุกฝ่ายล้วนได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เผ่าไห่ถูกยึดครองโดยเผ่าไป่ซู นี่ทำให้สถานการณ์ของภาคเหนือเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ในภาคใต้ ผู้อมตะฝ่ายธรรมะร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์จากปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษแต่ภายในกลับมีเกิดความขัดแย้ง การต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กำลังเริ่มขึ้นอย่างเผ็ดร้อน
ไม่ว่าที่ใดผู้คนล้วนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์และทรัพยากร
สิบกว่าวันผ่านไป
ภาคเหนือ แดนน้ำแข็ง
ฟางหยวนวางมิติช่องว่างจักรพรรดิลงที่นี่
ภายในมิติช่องว่างจักรพรรดิ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ในที่สุดภัยพิบัติพิภพครั้งที่สามก็มาถึง”
ปราณสวรรค์พิภพเกิดความปั่นป่วนขึ้นก่อนที่ฟางหยวนจะมองเห็นแสงสีเขียวพุ่งเข้ามาจากสุดขอบฟ้าพร้อมกับเสียงกรีดร้องของฝูงนก
“วิหคหยกเขียว” รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง เขาจำนกเหล่านี้ได้
พวกมันอาจมีร่างกายขนาดเล็กเหมือนนกกระจอกแต่พวกมันเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย!
‘นกชนิดนี้พิเศษมาก พวกมันเป็นสัตว์อสูรเดียวดายบนเส้นทางแห่งกฎ บนร่างของพวกมันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานเต๋าแห่งชีวิต แต่พวกมันอายุสั้น หลังจากถือกำเนิด พวกมันจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที ทุกที่ที่พวกมันบินผ่าน ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนร่างกายของพวกมันจะร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝนและเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปอย่างสมบูรณ์ หลังจากไม่กี่ลมหายใจ พวกมันจะตาย’ ฟางหยวนพึมพำในใจ
หลังจากนั้นเขาจึงเห็นชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมภาคเหนือน้อยเริ่มแตกร้าว
ในไม่ช้าวิหคหยกเขียวก็ทำให้ดอกไม้ใบหญ้าเติบโตขึ้น
‘เกิดสิ่งใดขึ้นกับภัยพิบัติพิภพครั้งนี้? เจตจำนงสวรรค์กำลังช่วยพัฒนามิติช่องว่างของข้างั้นหรือ?’ ฟางหยวนรู้สึกสับสนมาก