เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - บทที่ 1532 เย่ฟานปะทะไท่รั่วหนาน
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1532 เย่ฟานปะทะไท่รั่วหนาน
แปลโดย iPAT
“บึม บึม บึม”
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่าไม้ตายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้จบสิ้น สองร่างปะทะกันอย่างรุนแรง
หนึ่งคือเย่ฟานที่มีโชค เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางแห่งแสง เขาได้รับคำแนะนำจากผู้อมตะตระกูลเฉิงและเป็นศิษย์ของผู้อมตะลั่วเว่ยหยินผู้ลึกลับ สิ่งสำคัญที่สุดของเขาก็คือการเผชิญหน้าโดยบังเอิญบนเส้นทางการบ่มเพาะของเขา
สำหรับไท่รั่วหนาน แม้นางจะเกิดในตระกูลไท่ แต่นางโชคไม่ดี นางเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็กขณะที่บิดาของนางตายเมื่อนางยังเป็นวัยรุ่น นางกลายเป็นหนึ่งในแปดนายน้อยของตระกูลไท่ นางทำงานอย่างหนักและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะหลังจากได้รับคำแนะนำจากผู้อมตะตระกูลไท่ ไท่เมี่ยนเฉิน สุดท้ายนางกลายเป็นผู้สืบทอดมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็ก
อัจฉิรยะทั้งสองต่อสู้กันและทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ผู้ใช้วิญญาณคนอื่นๆไม่สามารถเข้าไปในระยะการโจมตีของพวกเขาและทำได้เพียงหลบเลี่ยงออกไปเท่านั้น
ผู้ใช้วิญญาณของทั้งสามกองกำลังตกตะลึงเมื่อเห็นการต่อสู้ของพวกเขา
“คุณหนู นายน้อยเย่แข็งแกร่งมาก เหตุใดพวกเราถึงไม่รู้เรื่องนี้?” สาวใช้เสี่ยวตี้ถามเฉิงซินซื่อ
เฉิงซินซื่อไตร่ตรอง “นายน้อยเย่ต้องได้พบกับการเผชิญหน้าโดยบังเอิญบางอย่าง ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาก นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ธรรมดา นายน้อยเย่ต้องระวังให้มากกว่านี้”
เสี่ยวตี้หัวเราะเบาๆ “นายน้อยเย่มีความสามารถและหล่อเหล่า ทุกคนรู้ว่าเขาชอบคุณหนู คุณหนู หากเขารู้ว่าคุณหนูห่วงใยเขา เขาคงมีความสุขมาก”
เฉิงซินซื่อส่ายศีรษะ นางต้องการกล่าวบางสิ่งแต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
เซี่ยวตี้เฝ้าสังเกตเฉินซินซื่ออยู่เสมอ นางเป็นคนรับใช้และเป็นคนสนิทของเฉินซินซื่อมานาน ดังนั้นแม้คนอื่นๆจะเรียกเฉินซินซื่อว่าผู้นำแต่เสี่ยวตี้ยังเรียกนางว่าคุณหนูเสมอ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของหญิงสาวทั้งสอง
เซี่ยวตี้เต็มไปด้วยความกังวล นางคิด ‘ดูเหมือนคุณหนูจะยังไม่สามารถลืมผู้ใช้วิญญาณปีศาจฟางหยวน เห้อ…ฟางหยวนพาพวกเรามาที่เมืองตระกูลเฉิง เขาเป็นคนที่คุณหนูให้ความสนใจ ข้าสงสัยนักว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ข้าเกรงว่าเขาจะตายไปแล้ว เห้อ…หากเขาตายจริงๆ ข้าหวังว่าพวกเราจะได้เห็นศพของเขา ด้วยวิธี้นี้คุณหนูจะสามารถลืมเลือนเขาไปได้’
เสี่ยวตี้มีพรสวรรค์นภาที่สอง ตอนนี้นางกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณไปแล้ว นางไม่เคยติดต่อผู้อมตะ ดังนั้นนางจึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟางหยวน นางยังคิดว่าฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณปีศาจ แม้เฉินซินซื่อจะได้เรียนรู้สถานการณ์ของฟางหยวนผ่านผู้อมตะของตระกูลเฉิง เฉิงชิงชิง แต่นางก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวตี้
“คนใหม่มาแทนคนเก่า ตอนนี้ข้าแก่แล้วจริงๆ” ผู้นำตระกูลฮั่วรู้สึกขมขื่นเมื่อเห็นการต่อสู้ระหว่างไท่รั่วหนานกับเย่ฟาน
ผู้นำตระกูลไท่ยิ่งตกใจกว่า เขาคิด ‘ข้าคิดว่าไท่รั่วหนานจะสามารถกวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดและคว้าชัยชนะมาได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนผลลัพธ์ยังไม่สามารถตัดสิน ผู้ใดจะคิดว่าตระกูลเฉิงจะมีผู้เชี่ยวชาญซุกซ่อนไว้เช่นนี้!’
ในเวลาเดียวกันบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ ผู้อมตะของภาคใต้สามคนกำลังเฝ้ามองการต่อสู้ของไท่รั่วหนานและเย่ฟานอยู่เช่นกัน
พวกเขามาจากตระกูลเฉิง ตระกูลฮั่ว ตระกูลไท่ ทั้งสามนั่งอยู่บนเมฆสีขาวและมีโต๊ะกลมอยู่ตรงหน้าพร้อมกับถ้วยชา
ผู้อมตะดื่มชาขณะที่ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ของตระกูลกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยมีทุ่งหยกร้อนเป็นสิ่งเดิมพัน
ทุ่งหยกร้อนเป็นแหล่งทรัพยากรระดับสูงที่กองกำลังใหญ่ยังต้องให้ความสำคัญ หากพวกเขาได้รับมัน ตระกูลจะได้รับกำไรมหาศาล
แต่การเดิมพันโดยใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือไม่ใช่เรื่องง่าย
ลืมผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะไปได้เลย สำหรับกองกำลังฝ่ายธรรมะ พวกเขาต้องมองผลลัพธ์ในระยะยาว พวกเขามุ่งเน้นที่การเลี้ยงดูทายาท ดังเช่นตระกูลเฉิงที่สนับสนุนการต่อสู้ระหว่างทายาทรุ่นเยาว์เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด พวกเขายังนำผู้ใช้วิญญาณภายนอกมาต่อสู้และคัดเลือกผู้มีความสามารถเข้าสู่ตระกูลอีกด้วย สำหรับตระกูลไท่ พวกเขามีนายน้อยแปดคนที่มีผู้สนับสนุนของตนเอง มันคือการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์อมตะจากลูกหลานที่เป็นมนุษย์
พวกเขาจะปล่อยให้ทายาทต่อสู้กับกองกำลังอื่น จากนั้นพวกเขาจะกลายเป็นตัวแทนความสำเร็จในอนาคตของตระกูลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่พวกเขาคาดหวัง หากพวกเขาสูญเสียเมล็ดพันธุ์ดังกล่าว มันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของตระกูล
แต่เรื่องนี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
ประการแรก ตราบเท่าที่ยังมีผู้อมตะอยู่ในตระกูล รากฐานของพวกเขาจะไม่สั่นไหว ตระกูลจะไม่สั่นคลอน ตราบเท่าที่ผู้อมตะไม่ต่อสู้ด้วยตนเอง ทุกสิ่งสามารถเจรจาต่อรอง
ประการที่สอง มันเป็นการทดสอบของผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ ในการต่อสู้ คนที่เหลือรอดจะมีประสบการณ์มากขึ้น อัจฉริยะที่ตายไปแล้วไม่ถือเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ฝ่ายธรรมะหล่อเลี้ยงบุตรหลานของพวกเขามาอย่างยาวนาน แม้พวกเขาจะสูญเสียเมล็ดพันธุ์อมตะไปบ้าง มันก็ไม่ถือเป็นสิ่งใด
ในการต่อสู้ของสามฝ่ายจะต้องมีการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกและเชิงลบ สิ่งเหล่านี้จะเชื่อมต่อกองกำลังของพวกเขาเข้าด้วยกัน เมื่อเมล็ดพันธุ์เติบโตขึ้นเป็นผู้อมตะในอนาคต พวกเขาอาจมีศัตรูหรือมิตรจากกองกำลังอื่นที่สามารถพึ่งพาช่วยเหลือ
นี่ไม่ใช่เรื่องผิวเผิน มันเป็นแผนการของผู้อมตะที่ใช้ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์เป็นตัวหมากเบี้ย
ตอนนี้ผู้อมตะทั้งสามกำลังให้ความสนใจการต่อสู้ของไท่รั่วหนานและเย่ฟาน ทั้งสามคนรู้ดีว่าผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้คือกุญแจสำคัญในการตัดสินว่าฝ่ายใดจะเป็นเจ้าของทุ่งหยกร้อนแห่งนี้
เฉิงชิงชิงนั่งอยู่ด้านซ้ายด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับท่านไท่เมี่ยนเฉิน ท่านพบผู้สืบทอดที่เหมาะสมกับมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็กของท่านแล้ว”
ตระกูลไท่มีมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็ก ผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี มรดกที่แท้จริงนี้มีข้อกำหนดที่เข้มงวด เป็นเรื่องยากที่จะหาผู้รับสืบทอดที่เหมาะสม
ไท่เมี่ยนเฉินนั่งอยู่ตรงกลาง
เขาสวมชุดเกราะและหน้ากากเหล็ก ผู้ที่ฝึกฝนมรดกที่แท้จริงนี้ต้องมีหัวใจแห่งความยุติธรรม พวกเขามักเป็นคนที่มีทักษะในด้านการตรวจสอบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภาคใต้เสมอ
เดิมทีพวกเขาเลือกบิดาของไท่รั่วหนานเป็นผู้สืบทอด แต่เขาเสียชีวิตบนภูเขาชิงเหมา ต่อมาพวกเขาก็พบว่าไท่รั่วหนานมีคุณสมบัติเช่นกัน ดังนั้นนางจึงกลายเป็นผู้สืบทอดคนใหม่
ครั้งนี้ตระกูลไท่ส่งไท่เมี่ยนเฉินมาที่นี่ขณะที่เขานำไท่รั่วหนานมาด้วยเพื่อใช้โอกาสนี้ในการฝึกฝนนาง
ท่ามกลางผู้อมตะทั้งสาม ผู้อมตะตระกูลฮั่วและตระกูลเฉิงต่างเป็นผู้อมตะระดับหก มีไท่เมี่ยนเฉินเพียงผู้เดียวที่เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด
ไท่เมี่ยนเฉินพยักหน้าเล็กน้อย “เทพธิดาตระกูลเฉิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว นี่คือผู้สืบทอดมรดกที่แท้จริงของข้า แต่นางยังเด็ก นางยังต้องฝึกฝนอีกมาก”
ผู้อมตะฮั่วเหยายังนิ่งเงียบ ตอนนี้เขากำลังเฝ้ามองสนามรบ แม้ตระกูลของเขาจะอ่อนแอที่สุดในเวลานี้ แต่เขายังไม่ยินดียอมรับความพ่ายแพ้ ตราบเท่าที่ตระกูลไท่และตระกูลเฉิงประสบความสูญเสียพร้อมกัน ผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังไม่สามารถตัดสิน
ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งขึ้นสู่อากาศ เย่ฟานถอยหลังกลับและสูดหายใจลึก
ไท่รั่วหนานกระโจนเข้าไปด้านข้างเย่ฟานและส่งกรงเล็บอินทรีย์ออกไป
เย่ฟานพลิกตัวและพ่นลูกศรสีแดงสดไปที่ใบหน้าของไท่รั่วหนาน
ไท่รั่วหนานไม่ได้ตื่นตระหนก ดวงตาของนางส่องประกายขึ้นขณะที่นางเอนศีรษะไปด้านหลังเพื่อหลบเลี่ยงลูกศรสีแดง
แต่เย่ฟานยังฉวยโอกาสผลักฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วสูง