เทพปีศาจหวนคืน Reverend Insanity - บทที่ 1803 ร่างแยกมนุษย์มังกร
บทที่ 1803 ร่างแยกมนุษย์มังกร
มิติช่องว่างจักรพรรดิ สวรรค์สีแดงน้อย
ค่ายกลวิญญาณอมตะขนาดใหญ่กําลังทํางานขณะที่ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์นําโดยไป่หนิงปิงเตรียมพร้อมสําหรับการต่อสู้
“ครืน…”
เสียงคลื่นน้ําดังขึ้นขณะที่อสูรปีแรกกําเนิดตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากค่ายกลวิญญาณอมตะ
“นี่คืออสูรปีกุนแรกกําเนิด!” เทพธิดากระต่ายขาวตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“เยี่ยม! สระแก่นแท้ปียังไม่มีอสูรปีแรกกําเนิดชนิดนี้” เทพธิดาเมี่ยวหยินกล่าวเสริม
โดยไม่จําเป็นต้องพูดคุย การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที
กลุ่มผู้อมตะควบคุมเรือรบหมื่นปีต่อสู้กับอสูรปีกุนแรกกําเนิด
อสูรปีกุนแรกกําเนิดมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่เรือรบหมื่นปีก็ไม่เสียเปรียบ
การต่อสู้สร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ หากที่นี่เป็นมิติช่องว่างของผู้อมตะทั่วไป พวกเขาจะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่มิติช่องว่างจักรพรรดิใหญ่โตเกินไป สิ่งนี้ไม่ถือว่ามีนัยสําคัญ
ฟางหยวนกลืนกินมิติช่องว่างจํานวนมากและได้รับทรัพยากรมากมาย แต่ถึงกระนั้นมิติช่องว่างจักรพรรดิก็ยังพัฒนาได้เพียงสิบเจ็ดถึงสิบแปดส่วนเท่านั้น
สวรรค์สีแดงน้อยค่อนข้างว่างเปล่า ดังนั้นฟางหยวนจึงจัดให้มันเป็นสนามรบ
ปัจจุบันภูมิภาคน้อยทั้งห้าพัฒนาไปได้ด้วยดี เจ็ดสวรรค์น้อยมีทรัพยากรอยู่บ้าง สวรรค์สีแดงน้อยว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ อาณาจักรแห่งความฝันถูกเก็บไว้ในสวรรค์สีเขียวน้อย ขณะที่สวรรค์สีเหลืองน้อยมีเพียงธารทองคําเล็กๆ
ภูมิภาคน้อยทั้งห้ายังมีที่ว่างอีกมาก ดังนั้นสวรรค์น้อยทั้งเก้าอาจว่างเปล่าต่อไปอีกนาน
โดยปกติผู้อมตะระดับแปดที่มีถ้ําสวรรค์จะพัฒนาท้องฟ้าในมิติช่องว่างของพวกเขาอย่างแข็งขันเพราะพื้นที่บนพื้นดินในมิติช่องว่างของพวกเขามักจะเต็มแล้ว แต่ฟางหยวนเป็นกรณีพิเศษที่ไม่สามารถประเมินได้ด้วยสามัญสํานึกทั่วไป
การต่อสู้ระหว่างคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดกับอสูรปีกุนแรกกําเนิดดําเนินอยู่เป็นเวลาสามวันก่อนที่ฝ่ายหลังจะพ่ายแพ้
ร่างหลักของฟางหวนเก็บกวาดทะเลทรายผีเขียวขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาใช้เรือรบหมื่นปีกําหราบอสูรปีแรกกําเนิดอยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
ด้านหนึ่งฟางหยวนต้องการให้ผู้อมตะระดับเจ็ดเหล่านี้คุ้นเคยกับเรือรบหมื่นปีเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าร่วมในการต่อสู้ระดับแปดในอนาคต
อีกด้านหนึ่งฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะตกอสูรปีเพื่อจับอสูรปีแรกกําเนิดและพยายามสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะสนามรบสิบสองราศี
ฟางหยวนเริ่มแผนการนี้มาตั้งแต่ชีวิตก่อนหน้า
มันคือค่ายกลวิญญาณอมตะรูปแบบการต่อสูโบราณ
มันใช้อสูรปีแรกกําเนิดสิบสองชนิดเป็นแกนกลาง
ค่ายกลนี้มีความเชี่ยวชาญในด้านการโจมตีและสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระหลังจากจัดตั้ง ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน อสูรปีแรกกําเนิดจะถูกผนึกและกลายเป็นรูปปั้นที่ไม่ต้องการอาหาร เมื่อการต่อสู้ปะทุขึ้น ผนึกของพวกมันจะถูกปลด พวกมันจะสร้างค่ายกลขึ้นมาอีกครั้งและเข้าสู่การต่อสู้
ข้อดีประการแรกของสิ่งนี้คือประหยัดค่าอาหารของอสูรปีแรกกําเนิด
ชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนต้องการใช้วิธีนี้เพื่อลดแรงกดดันต่อมิติช่องว่างของเขาแต่ไม่ประสบความสําเร็จ
แต่ชีวิตนี้ฟางหยวนร่ํารวยมาก การประหยัดอาหารเป็นเพียงเรื่องรอง สิ่งที่ฟางหยวนให้ความสําคัญมากกว่าคือความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมของมัน
มีเพียงอสูรปีแรกกําเนิดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแกนกลางของค่ายกลนี้ ฟางหยวนไม่สามารถใช้อสูรปีเดียวดายหรืออสูรปีบรรพกาล
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าค่ายกลวิญญาณอมตะรูปแบบการต่อสู้โบราณสนามรบสิบสองราศีสามารถปราบปรามผู้อมตะระดับแปด
อย่างไรก็ตามมันไม่ง่ายที่จะรวบรวมอสูรปีแรกกําเนิดสิบสองชนิดที่แตกต่างกัน
มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งเท่านั้นแต่ยังขึ้นอยู่กับโชคอีกด้วย
ในชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนไม่มีเวลาและพลังงานเหลือพอสําหรับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสร้างมันกระทั่งถึงเวลาของการแข่งขันใหญ่บนเส้นทางแห่งการหลอมรวม
สายธารแห่งกาลเวลามีอสูรมากมาย แต่ชนิดของอสูรปีไม่ได้ถูกจัดสรรอย่างเท่าเทียม ตรงข้าม อสูรปีบางชนิดจะมีจํานวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมากในแต่ละช่วงเวลาหนึ่งๆ
ฟางหยวนไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถรวบรวมพวกมันได้ครบในชีวิตนี้หรือไม่
แต่ในชีวิตนี้เขามีกําลังคน ทรัพยากร เวลา และพลังงานที่จะทําสิ่งนี้มากกว่าชีวิตก่อนหน้า
นี่คือข้อเท็จจริง
เมื่อเวลาผ่านไป กองกําลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้ที่ถูกฟางหยวนรีดไถเริ่มคิดหาวิธีจัดการฟางหยวนแต่พวกเขายังไม่กล้าลงมือ
กองกําลังฝ่ายธรรมะของทะเลทรายตะวันตกกําลังเผชิญหน้ากัน การโต้เถียงของตระกูลฟาง และตระกูลหว่านดําเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บางกองกําลังพยายามยับยังตนเองแต่ลอบเคลื่อนไหวอย่างลับๆ
ภาคเหนือ ถ้ําสวรรค์นิรันดรพยายามรวบรวมผู้อมตะทั้งหมดเข้าด้วยกันแต่มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย
ทะเลตะวันออกเงียบสงบเช่นเคย มีความปั่นปวนขึ้นเป็นครั้งคราวแต่พวกมันไร้นัยสํา คัญ ประเด็นที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือการแย่งชิงผาสวรรค์ถูกตัดสินแล้ว
ภาคกลาง เทพธิดาจื่อเว่ยต้องการสร้างปัญหาให้กับฟางหยวนแต่นางก็ไม่สามารถทําสิ่งใดเพราะฟางหยวนไม่ปรากฏตัว แม้เขาจะลงมือทําบางสิ่ง แต่เขาจะปลอมตัวและทําให้คนอื่นๆไม่สามารถแยกแยะข่าวจริงหรือข่าวลวง
โลกผู้อมตะของทั้งห้าภูมิภาคค่อนข้างสงบสุขในช่วงเวลานี้
ฟางหยวนใช้เวลาทุกวินาทีในการดูดซับผลประโยชน์และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
ตอนนี้เขาสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะปราณแสงห้าภูมิภาคได้แล้วแม้มันจะยังห่างไกลจากความเชี่ยวชาญก็ตาม
ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะจิตวิญญาณของเขาก็น่าพอใจเช่นกัน จิตวิญญาณของเขาก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งร้อยล้านคนเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่เทพปีศาจจิตวิญญาณจะปรากฏตัวขึ้น มนุษย์ไม่สามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณได้เป็นกว่าระดับหนึ่งร้อยล้านคน
เทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นคนแรกที่สามารถทําลายขีดจํากัดนี้ ฟางหยวนเข้าใจวิธีการนี้หลังจากได้รับมดรกที่แท้จริงของนิกายเงา
มันคือการยกระดับจิตวิญญาณมนุษย์สู่ขอบเขตจิตวิญญาณเดียวดาย
ด้วยวิธีนี้จิตวิญญาณของเขาจะสามารถแข่งขันกับสัตว์อสูรเดียวดายส่วนใหญ่
เทพปีศาจจิตวิญญาณเคยใช้เพียงดวงวิญญาณของเขาต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนมาแล้ว นี่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอันเป็นที่สุดของเขาและมันก็สามารถฝากความประทับใจไว้ให้กับฟางหยวน
‘แต่ข้ายังมีหลายสิ่งต้องทําก่อนที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณเดียวดาย’
ภายในมิติช่องว่างจักรพรรดิ ดวงวิญญาณแยกของฟางหยวนถูกส่งเข้าไปในค่ายกลวิญญาณอมตะของบรรพชนผมยาว
ค่ายกลวิญญาณอมตะเริ่มทํางานและปลดปล่อยแสงสีแดงออกมาโดยรอบ
“ตั้งสมาธิ เราจะใช้วัตถุดิบหลักต่อไป” ฟางหยวนสั่งจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา
ภายในค่ายกลถูกแบ่งออกเป็นห้องลับจํานวนมาก พวกมันเก็บทรัพยากรอมตะแต่ละชนิดเอาไว้ภายใน
เป็นเพียงเวลานี้ที่ห้องลับแห่งหนึ่งเปิดออกขณะที่ทรัพยากรอมตะที่ถูกเก็บไว้ถูกนําออกมา
ทรัพยากรอมตะชนิดนี้มีชื่อว่าแสงฤดูใบไม้ผลิแห่งความรุ่งโรจน์ มันเป็นทรัพยากรอมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งแสงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของดอกไม้แสง
ดอกไม้แสงระเบิดแสงสีขาวออกมาปกคลุมดวงวิญญาณแยกของฟางหยวน
ทรัพยากรอมตะถูกใช้งานที่ละชิ้น ค่ายกลวิญญาณอมตะทํางานอย่างหนัก
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งหมดให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนอยู่เพียงลําพัง เขาไม่สามารถทําสิ่งเหล่านี้ แต่ด้วยการผนวกนิกายหลางหยา ความสามารถในการหลอมรวมของเขาจึงเหนือกว่าวังสวรรค์ไปแล้ว
แม้วังสวรรค์จะสามารถปลุกผู้อมตะขึ้นมาจากสุสานอมตะ แต่พวกเขาจะมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมระดับถึงปรมาจารย์สูงสุดกี่คน
แน่นอนว่าวังสวรรค์ร่ํารวยมาก พวกเขาเหนือกว่าฟางหยวนมากในแง่นี้ แม้ฟางหยวนจะกลืนกินผู้อมตะตลอดชีวิตของเขา แต่มันก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับวังสวรรค์
การหลอมรวมดําเนินไปอย่างราบรื่น ฟางหยวนตะโกน “ต่อไปคือไข่มุกเทียม!”
ไข่มุกเทียมไม่ใช่ไข่มุกแต่เป็นทรัพยากรอมตะที่สามารถเปลี่ยนเป็นอัญมณีชนิดต่างๆ
มันเป็นทรัพยากรอมตะระดับแปดเช่นเดียวกับแสงฤดูใบไม้ผลิแห่งความรุ่งโรจน์และเป็นส่วนประกอบสําคัญของการหลอมรวมครั้งนี้
ไข่มุกเทียมถูกส่งเข้าไปในกองไฟ
ฟางหยวนเรียก “ไป่หนิงปิง!”
ไป่หนิงปิงพยักหน้า นางสะบัดแขนเบาๆและส่งเลือดของนางเข้าไปในกองไฟ
กองไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ปราณโลหิตกระจายออกไปรอบๆ ผมที่หกพยายามรวบรวมปราณโลหิตและล่าถอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
หากไม่จัดการปราณโลหิตเหล่านี้ มันอาจรบกวนการหลอมรวมในขั้นตอนต่อไป
กองไฟสีแดงเลือดค่อยๆหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากําปั้น
ฟางหยวนสูดหายใจลึก ผู้อมตะคนอื่นๆแสดงออกอย่างเคร่งขรึม
ต่อไปเป็นช่วงเวลาสําคัญ
“ปล่อยเพลิงมังกรล่องคลื่น!” ฟางหยวนออกคําสั่ง
เมื่อเพลิงมังกรล่องคลื่นปรากฏขึ้น มันพยายามบินหนี แต่มันจะหลบหนีจากค่ายกลวิญญาณอมตะนี้ไปได้อย่างไร
ค่ายกลวิญญาณอมตะของบรรพชนผมยาวแข็งแกร่งมาก มันบังคับให้เพลิงมังกรล่องคลื่นบินเข้าปะทะกองไฟสีเลือด
ไฟทั้งสองชนิดค่อนข้างแตกต่างกันแต่ในไม่ช้าพวกมันก็รวมกันเป็นหนึ่งและปลดปล่อยแสงหลากหลายสีสันออกมา
กองไฟปล่อยควันที่หนาแน่นออกมาและก่อตัวเป็นทรงกลมสีดําอยู่รอบๆ
“บึม!”
ควันทรงกลมคงอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่มันจะเกิดการระเบิด สายลมกรรโชกแรงพุ่งออกไปรอบๆ ขณะที่ทุกคนสามารถได้ยินเสียงคํารามของมังกร
เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้ใช้วิญญาณผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มควัน
เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา สง่างาม และดูเหมือนวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่
เขามีเกล็ดสีทองปกคลุมอยู่บนร่างกาย ดวงตามังกรของเขาเป็นสีบุษราคัม นอกจากนี้ยังมีเขามังกรสีทองที่ดูคล้ายปะการังอยู่บนศีรษะ
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเห็นคนผู้นี้และหัวเราะเสียงดัง “สําเร็จ เราทําสําเร็จ!”
ในความเป็นจริงผู้ใช้วิญญาณหนุ่มระดับหนึ่งผู้นี้ก็คือร่างแยกมนุษย์มังกรของฟางหยวน!