เทพมารตกสวรรค์ - ตอนที่17 รักษา
หลังจากไป๋หลง ได้ยินอู้เฉียง ร้องเสียงหลงออกมา จึงเกิดความสงสัย
“เจ้าจะตกใจทำไม? ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่อู้เฉียงด้วยความสงสัย
” กะ ก็ บ้านข้าอยู่ในเขตสลำ เป็นเขตของพวกยากจน ทำให้เป็นที่แหล่งรวมของพวก โจรด้วยเช่นเดียวกันอีกอย่างที่ สลำไม่มีกฏบังคับใช้เพราะกฏจากพวกราชสำนักเข้ามาไม่ถึง ทำให้มีโจรอยู่เยอะ ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นอันตราย ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
” ในเมื่อเจ้ากำลังเดือดร้อน เรื่องที่แม่ของเจ้ากำลังป่วยหนัก ข้าที่เป็นสหายจะนิ่งดูดายได้เช่นไร ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ
” ทะ ท่านสามารถรักษาท่านแม่ข้าได้ยังงั้นรึ ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจ
” ก็ประมาณนั้นเจ้าจะถามข้าอีกนานไหม อ้อ แล้วก็เรียกข้าว่าไป๋หลง ไม่ต้องเติมท่าน ส่วน ข้าจะเรียกเจ้าว่า อู้เฉียง ” ไป๋หลงบอกกล่าวแก่อู้เฉียงที่ตอนนี้กำลังดีใจที่แม่ของตนมีทางรักษาแล้ว
” ดะ ได้ ปะ ไป๋หลง ” อู้เฉียงกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก เพราะความที่ไม่เคยมีคนคบกันตนนั้นเป็นสหายมาก่อนทำให้ตื่นเต้นเล็กน้อย
“เจ้าจะกล่าว ตะกุกตะกัก ทำไมเนี้ย เฮ้อ.. เอาล่ะๆ ไปบ้านเจ้ากัน ” ไป๋หลงกล่าวจบก็บอกให้อู้เฉียงนำทางทันที
ผ่านมาสักพัก ก็เริ่มออกจากเขตเมืองแถวนี้ไม่ค่อยมีคนมาเดินสักเท่าไหร่เพราะเป็นเขตของพวก จรจัด และแหล่งมั่วสุมของพวกโจร ไป๋หลงเดินตามอู้เฉียงสามารถ รับรู้ถึงแววตาที่มองมาทางตน ทั้งมุ่งร้าย และอื่นๆผสมปนเปกันไป จนมาหยุดตรงบ้านหลังนึง หรือ จะให้เรียกว่าบ้านเรียกได้ไม่เต็มปากเพราะสภาพทรุดโทรใเป็นอย่างมาก หลังคาเป็นรู ไม้ผุ
” ท่านแม่ข้ากลับมาแล้ว ” อู้เฉียงกล่าวพลางเดินเข้าไปในบ้าน ไป๋หลงก็เดินตามหลังอู้เฉียงเข้า โดยมีสายตาคู่นึง จับจ้องอยู่ข้างนอก ไป๋หลงสัมผัสได้แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
” จะ เจ้าไปไหนมารึ อะแฮ่มๆ!! ” แม่ของอู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
” ข้าแค่ไปหาของมาขายเท่านั้นแหละ แหะๆ ” อู้เฉียงตอบแบบปัดๆ เพราะไม่อยากให้แม่รู้ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
” แล้ว คนข้างหลังเจ้าเป็นใครกันรึ ไม่แนะนำให้แม่รู้จักหน่อยรึ ” แม่ของอู้เฉียงกล่าวถามแก่อู้เฉียงผู้เป็นบุตร
” อ้ะ ใช่ๆ ข้าลืมไปเลย นี้สหายของข้าชื่อไป๋หลง ” อู้เฉียงกล่าวแนะนำไป๋หลง
” ส่วนท่านแม่ข้าชื่อ อู้หยา ” ไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นจึงก้มหัวเพื่อทำความเคารพ
” คาราวะ ท่านอู้หยา” ไป๋หลงกล่าวพลางส่งยิ้มให้
อู้หยาได้ยินเช่นนั้นจึงมองดูสำรวจตัวของไป๋หลงก็สังเกตุเห็นว่าไป๋หลงนั้น ผิวเนียลขาว เส้นดำยาวสวยมันวาว ดวงตาสีแดง ราวกับอัญมณี ทำให้อู้หยารู้ได้ทันทีว่าไป๋หลงนั้นไม่ใช่คนในเขตนี้แน่นอน จะต้องเป็นลูกของผู้นำ สักตระกูลภายในเมืองนี้เป็นแน่แท้
” ข้าขอโทษท่านด้วยที่ข้าไม่สามารถลงจากเตียงเพื่อทำความเคารพท่านได้ ได้โปรดท่านอย่าถือสา ” อู้หยากล่าวแก่ไป๋หลงด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
” นั้นไม่จำเป็นเลย มันไม่สมควรด้วยซ้ำที่ผู้ที่อาวุโสกว่าจะคำนับแก่บุคคลที่มีอายุน้อยกว่า ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง ทำให้อู้หยา รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะส่วนใหญ่พวกลูกของตระกูลใหญ่จะหยิ่งในศักศรีดิ์ แต่ไม่ใช่กับคนอย่างไป๋หลง
” แล้วที่ลูก ของข้าบอกว่าท่านเป็นสหายนั้นเป็นความจริงรึ ? ” อู้หยากล่าวถามด้วยความสงสัย
” ใช่ จริงแท้แน่นอน อู้เฉียงคือสหายของข้า และจะเป็นตลอดไป ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความซื่อตรง
” อู้เฉียงเจ้าต้องบอกความจริงกับแม่ทั้งหมด อะแฮ่มๆ ” อู้หยากล่าวพลางไอ ออกมาเป็นสีเลือด ทำอู้เฉียงใบหน้าสลดในทัน
” ท่านแม่นี้ท่าน.. ” อู้เฉียงพูดอะไรไม่ออกเพราะความกลัวที่จะสูญเสียผู้เป็นแม่ไป
“ถ้าไม่ว่าอะไร ข้าขอตรวจดูอาการท่านได้หรือไม่? ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่อู้หยาที่นอนอยู่บนเตียงบนหน้าขาวซีด
” เชิญ แต่ หมอหลายคนที่มารักษาข้าต่างบอกว่าไม่มีทางรักษา ได้แต่ทำใจรอเวลาตายเท่านั้น ” อู้หยากล่าวออกมาด้วยความสิ้นหลัง
ไป๋หลงจับข้อมือ ของอู้หมาก่อนที่จะส่งพลังของตนสำรวจไปตามทั่วร่างกาย จนในที่สุด ก็ เจอเข้ากับตัวต้นเหตุ เพราะพลังที่มากเกินไปทำให้ร่างกายรับภาระไม่ไหว ซึ่งมันคือ โรค กัดกินตัวเองที่ไป๋หลงเคยอ่านเจอในหอคัมภีร์ไม่แปลกใจเลยทำไมหมอคนอื่นถึงไม่รู้เพราะเป็นโรคที่เกิดได้ยากมากเพราะพลังของอู้หยาเยอะเกินไปทำให้ร่างกายปรับสภาวะไม่ทัน ไป๋หลงวางมือของอู้หยาลงที่เดิมก่อนจะกล่าวอธิบาย
” เอ่อ..จะว่าไงดีนะมันมีทั้งดีและไม่ดี ” ไป๋หลงกล่าวออกมาพลางครุ่นคิดบางอย่างอยู่
” มันมีข้อดีด้วยงั้นรึ ไหนท่านลองอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ” อู้หยากล่าวออกมาด้วยความสังสัย
” ข้าด้วยๆ ข้าก็อยากรู้ ” อู้เฉียงกล่าวเสริมออกมา
” เอางั้นก็ได้ก่อนคือข้าขอถามท่าน อู้หยา ท่านมีพลังอยู่ระดับใดรึ ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่อู้หยา
” นับรบที่แท้จริงขั้น8 เพราะเมื่อก่อนข้าเคยอยู่ในกองทัพของราชวงศ์ได้รับการฝึกฝนและส่งเสริมพลังของข้าอยู่เรื่อยทำให้ข้าอยู่นักรบที่แท้จริงขั้น8ตั้งแต่เมื่อ2ปีก่อน แต่เพราะอาการป่วยของข้า ข้าเลยขอลาออกมาพักรักษาตัว
” อย่างงี้นี้เองเอาล่ะ ฟังน่ะ โรคที่ท่านเป็นคือ โรคกัดกินตัวเอง เป็นโรคที่หายากมากมันเกิดจากผู้ที่มีพลังมหาศาลอยู่ภายในแต่ ร่างกายไม่สามารถปรับสภาวะร่างกายได้ทัน ข้อดีของมันคือ ถ้าท่าน ทำให้ร่างกายของตัวเอง พัฒนาระดับขั้นพลังต่อไป พลังที่กักเก็บอยู่นั้นจะระเบิดออกมาช่วยส่งเสริมให้ท่านก้าวระดับแบบก้าวกระโดด แต่… ถ้าร่างกาย ของท่านปรับสมดุลไม่ทันระก็ ร่างกายของท่านจะ ตาย เพราะพลังที่ระเบิดออกมาจะฉีกร่างกายท่านเป็นชิ้นๆ ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ทะ ท่านว่าไงน่ะ ท่านแม่ข้าจะตายอย่างงั้นรึ ไม่นะข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด หือๆ!! ” อู้เฉียงร้องกล่าวออกมาด้วยความเศร้าทั้งน้ำตา
” เป็นเช่นนี้ นี้เองที่ข้ารู้อึดอัดเหมือนมีอะไรจะออกมาจากตัวข้า ทำให้ข้าไม่สามารถ ขยับไปไหนได้ ” อู้หยา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงใจเย็นไม่ได้ร้อนรนอะไร ทำให้ไป๋หลงแปลกใจเล็กน้อย
” ข้ามีหนทางในการรักษาอยู่แถมมันจะทำให้ท่านมีพลังแบบก้าวกระโดด แต่มันจะเจ็บอยู่พอสมควรท่านยินดีหรือไม่ ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่อู้หยา
” ข้าตกลง ถึงยังไงมันก็ไม่ต่างกันดีกว่ารอความตายละนะ ” อู้หยากล่าวบอกแก่ไป๋หลง
” งั้นข้าขอเวลาสักครู่ สิ่งที่ข้าจะทำต่อไปนี้มันต้องใช้สมาธิอย่างมากข้าไม่อยากให้ใครเข้ามารบกวน ข้าตัวสักครู่ ” ไป๋หลงกล่าวอธิบายก่อนจะลุกขึ้นเดินไปตรงทางเข้า ไป๋หลง นำมีดออกมาจากแหวนมิติ กรีดลงบนนิ้วตัวเอง ไป๋หลงใช้ ใช้เลือดของตัวเองนั้นเขียนค่ายกลขึ้นมามันคือวิชาที่ไป๋หลงได้เรียนรู้มาในตำรา มันมีชื่อว่า ค่ายกลป้องกัน ซึ่งผลวิชานี้ก็บอกอยู่ตรงตัว คือ ป้องกันไม่ให้ สิ่งใดเข้ามาภานในด้าน ถ้าใช้การเขียนหรือ นำอุปกรณ์ขึ้นมาใช้ประสิทธิภาพจะต่ำลง ไป๋หลงเลยใช้เลือดของตนสร้างค่ายกลขึ้นมา การใช้เลือดสร้างนั้นไม่ใช่ใครก็ทำได้แต่ต้องเข้าใจถึงการใช้ค่ายกลอย่างถ่องแท้
หลังจากไป๋หลงเขียนค่ายกลเสร็จ ไป๋หลงก็เดินเข้าไปในห้องอู้หยาอีกครั้ง ซึ่งที่ไป๋หลงใช้วิชาค่ายกลเมื่อกี้ อู้เฉียง เห็นอดแปลกใจไม่ได้ที่จะถามแต่
แม่นั้นสำคัญกว่าคำถามของเขายิ่งถามยิ่งเสียเวลาอันมีค่าไป อู้เฉียงจึงเก็บไว้ถามทีหลัง
“เอาล่ะ อู้เฉียง ช่วยพยุงท่านแม่ของเจ้าขึ้นมานั่งสมาธิ ” ไป๋หลงบอกกล่าวแกอู้เฉียงเมื่ออู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นไม่รอช้ารีบเข้ามาช่วยไป๋หลงพยุงร่างของ อู้หยา มาอยู่ในท่านั่งสมาธิทันที หลังจากนั้นไป๋หลงหยิบของบางอย่างออกมาจากแหวนมิติ
” ท่านต้องกินโอสถนี้มันจะช่วยให้ท่านเพิ่มพลังได้ง่ายขึ้น ” ไป๋หลงกล่าวจบก็นำโอสถสีม่วงหนึ่งเม็ดส่งให้อู้หยาทันที เมื่ออู้หยาและอู้เฉียงได้เห็นโอสถที่ไป๋หลง ส่งให้ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
” อะ โอสถสีม่วง ระ ระดับจักพรรดิ!! ” อู้หยาและอู้เฉียงตะโกนออกมาพร้อมกันเพราะในเมืองนี้ถ้าไม่ใช่ตระกูลใหญ่จริงๆจะไม่มีโอสถระดับนี้อยู่ในการครอบครองเด็ดขาด ทำให้อู้หยาและอู้เฉียงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
” ขะ ข้ารับไว้ไม่ไ… ” อู้หยากล่าวไม่ทันจบไป๋หลงยกมือห้ามไว้ซะก่อน
” ท่านไม่ต้องคิดมาก มันก็แค่โอสถชีวิตสำคัญกว่าเหนือสิ่งอื่นใดจะมัวยึดติดกับสิ่งของทำไม ในเมื่อตายไปก็เอาไปไม่ได้ ดังนั้นชีวิตถึงสำคัญกว่า ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความนอบน้อม ไม่ได้หยิ่งยโส ในคำพูดแม้แต่น้อย ทำให้อู้หยาและอู้เฉียงที่ฟังอยู่ เกิดความนับถือไป๋หลงขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว
” เอาล่ะท่านรับโอสถเม็ดนี้ไปแล้วนำเข้าปากทันที เดี๋ยว ข้าจะช่วยให้ท่านดูดซับพลังได้ง่ายขึ้น ” ไป๋หลงกล่าวจบ เดินอ้อมไปด้านหลังอู้หยาแล้วนำมือมาแตะแผ่นหลังเพื่อช่วยให้การดูดซับพลังได้ง่ายขึ้น โดยการส่งพลังของตนเข้าไปช่วยส่วนนึง อู้หยานำเม็ดยาเข้าปากทันทีก่อนจะเริ่มการดูดซับพลัง โดยมีไป๋หลงเป็นผู้ช่วย
ผ่านไปสักพัก ร่างกายของอู้หยาร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะพลังของอู้หยากำลังจะถูกปลดปล่อยออกมา ตอนนี้อู้หยาที่กำลังนั่งสมาธิใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่มีเสียงร้องออกมาสักนิด ไป๋หลงรู้สึกนับถือจิตใจที่แข็งแกร่งดุจหินผาของอู้หยาที่พยามทนความเจ็บปวดเอาไว้
” นี้เป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น ท่านต้องทนมันให้ได้ ” ไป่หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำจริงจัง อู้หยาได้ยินเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้นเพราะ ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เพราะความเจ็บปวด
ขณะที่ไป๋หลงทำการรักษาอู้หยาอยู่นั้นได้มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นรอบค่ายกล
จบ…..