เทพมารตกสวรรค์ - ตอนที่19 เว่ยซิ่ว
ไป๋หลงหันหลังกลับไปก็พบเจอชายวัยกลางคน กำลังจ้องมองมาที่ตน พร้อมทั้งกวาดสายตาไปมอง อู้หยาและอู้เฉียง ก่อนจะเริ่มกล่าวบางอย่างออกมา
” นั้น อู้หยาเจ้าหายดีแล้วรึ ? ” ชายวัยกลางคนเรียกอู้หยาแบบสนิทชิดเชื้อ ไป๋หลง หันไปมองหน้าอู้เฉี้ยงที่ตอนนี้กำลังเก็บกลั้นความโกรธอยู่ ไป๋หลงพอจะเดาได้แล้วว่าบุคคลตรงหน้าคือใคร
” ใช่ข้าหายดีแล้ว ในขณะที่เจ้าขโมยของ ของข้า ที่ข้ามอบให้อู้เฉียง เพื่อเป็นของขวัญแก่เขา เจ้าอย่ามาเรียกชื่อแบบสนิทชิดเชื้ออีก ตั้งแต่วันนี้ข้ากับท่านไม่รู้จักกัน ข้าเห็นนะว่า แผลที่แก้ม ของอู้เฉียงเจ้าเป็นคนทำ!! ” อู้หยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไป๋หลงไม่คิดจะเข้าไปห้ามหรือยุ่งด้วยเพราะเป็นเรื่องของครอบครัวแต่เกินเลยจนเกิดการใช้กำลังกัน ไป๋หลงก็ไม่คิดอยู่เฉยๆเช่นกัน
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำที่อู้หยาพูดออกมาตัวมันก็หน้าถอดสีพร้อมกับก้มหน้าลง ด้วยความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา ชายวัยกลางคน เงยหน้าขึ้นแล้วมองหน้า อู้เฉียง ด้วยความรู้สึกเสียใจที่ตนเองเคยทำไว้กับลูกของตัวเองเพราะอารมณ์ ชั่ววูบ
” อู้เฉียง พ่อ…. ” ชายวัยกลางคนพูดไม่ทันจบก็โดนอู้เฉียงตวาดกลับมาด้วยความโกรธ
” ข้าไม่มีพ่อเช่นท่าน ทำไมๆๆๆ ท่านไม่ดูแลท่านแม่ตอนท่านกำลังป่วยหนักปล่อยแล้วทำไมถึงต้องทำร้ายข้า ถ้าข้าไม่ได้พบเจอกับสหายของข้า แม่ข้าคงได้ตายไปนานแล้ว!! ” อู้เฉียงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ชายวัยกลางคนก็คือพ่อของอู้เฉียงและเป็นสามีของอู้หยา
ชายวัยกลางคนได้แต่ก้มหน้าลง ด้วยความสำนึกผิด แต่ไม่สามารถอธิบายได้เพราะมันเป็นเรื่องที่ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด
” ท่านแม่เรารีบเก็บของกันเถอะ เราจะได้ไปจากที่แห่งนี้สักที ” อู้เฉียงกล่าวด้วยน้ำเสียง สั่นเครือเล็กน้อย เมื่ออู้หยาได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้าและรีบเก็บข้าวของท่านที
ชายวัยกลางคนที่เป็นพ่อของอู้เฉียงหันมามองหน้าไป๋หลงก่อนจะกล่าวกับไป๋หลง
” เจ้าใช่ไหมที่เป็นสหายกับอู้เฉียง ข้าขอคุยกับเจ้าหน่อย ” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเล็กน้อย เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก่อนจะพยักหน้า แล้วเดินตาม พ่อ ของอู้เฉียงมาที่หน้าบ้าน
” เอาล่ะ ข้ารู้สึกผิดที่ทำร้ายลูกของตัวเอง และไม่ได้ดูแลบุตรเพราะข้า ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป พูดง่ายๆก็คือ ข้า 2 สองจิตใจในร่างเดียวกัน ที่เจ้ากำลังเห็นอยู่ก็คือ จิตใจด้านที่ยังไม่โดนครอบงำ ส่วนด้านที่จะเข้ามาครอบงำนั้นคือด้านสีดำ สาเหตุที่ข้าทำร้าย อู้เฉียงเพราะข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ นั้นเป็นสาเหตุที่ข้าไม่อาจอยู่ใกล้พวกเขาได้ ” พ่อของอู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ไป๋หลงอึ้งเล็กน้อย ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆว่าเหมือนมีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่คงคิดไปเอง แต่ไม่ใช่เลย
” พวกเขารู้เรื่องนี้รึเปล่า ” ไป๋กล่าวถามแก่พ่อของอู้เฉียง ด้วยความสงสัย
” ไม่พวกเขาไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ยิ่งดี ” พ่อของอู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
” ทำไมท่านถึงบอกข้า ไม่กลัวข้าจะเอาไปบอกคนอื่นเช่นนั้นรึ ? ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ
” เจ้าจะไม่มีทางบอก เพราะข้าดูคนไม่เคยผิด อีกอย่างเจ้าไม่น่าจะใช่มนุษย์ทั่วๆไป แต่เป็นมากกว่านั้นข้ารู้เพียงแค่นี้ ” พ่อของอู้เฉียงกล่าวอธิบายแก่ไป๋หลง เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็เบิดตากว้างในทันที พร้อมกับดูระดับพลังของชายตรงหน้า แต่ไป๋หลงถึงกับคิ้วขมวด ไม่สามารถดูระดับพลังของชายตรงหน้าได้ ไป๋หลง มองหน้า พ่อของอู้เฉียงด้วยความสับสน
” เจ้าไม่สามารถดูพลังของข้าได้ใช่ไหมล่ะ ยังอ่อนหัดนัก ในโลกแห่งนี้ยังมีอะไรที่เจ้าไม่รู้อีกมาก ” พ่อของอู้เฉียงกล่าวบอกแก่ไป๋หลง พลางสังเกตุไป๋หลงไปด้วย
” ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ ” ไป๋หลงกล่าวพร้อมกับก้มหัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพแก่ชายตรงหน้า
” ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้าดูแลอู้เฉียงและสั่งสอนเขาด้วย ภายภาคหน้าจะมีศึกใหญ่รอเจ้ากับบุตรของข้าอยู่ เจ้ารู้ไหมทำไม ข้าถึงฝากให้เจ้าดูแลอู้เฉียง ” พ่อของอู้เฉียง กล่าวอย่างมีเลศนัย ไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็ตอบออกมาตามตรง
” ข้าไม่รู้ ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ ข้าด้วย ” ไป๋หลง กล่าวพร้อม ก้มหัวเพื่อแสดงความเคารพ เมื่อ พ่อของอู้เฉียง เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มให้ไป๋หลง
” ได้ข้าจะเล่าให้ฟัง ความจริงแล้วมีสิทธ์เป็นไปได้ว่า อู้เฉียงจะมีพลังแบบเดียวกับข้าซึ่งอย่างที่ข้าบอกเจ้าไป พลังที่หมายถึงคือการมี2จิตใจในร่างเดียว คือด้านที่สว่างและด้านที่มืดมิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยได้ยินหรือได้เจอ แต่ถ้าเป็นผู้นำระดับทวีปขึ้นไปก็ไม่แน่ ถ้ากิดพวกมันรู้ว่า เรามีพลังแบบนี้อยู่ มันจะตามล่าเรา ให้เราไปรับใช้มัน หรือ ถ้าปฏิเสธ ก็เท่ากับตาย เหตุผลง่ายๆ คือ พวกที่มีพลังเช่นนี้จะ แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปนับ10 เท่า สามารถฝึกฝนได้ทั้งสองวิชาซึ้งปกติ คนทั่วไปสามารถเลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ วิชาเซียน และ วิชามาร ” พ่อของอู้เฉียงเล่าเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ ไป๋หลงได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก
” แล้ววิชาเซียนกับวิชามารมันต่างกันยังไง? แล้วทำไมคนที่มีพลังแบบท่านจึงโดนตามล่า ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะในหอคัมภีร์ ไม่มีเรื่องที่ พ่อของอู้เฉียงเล่าออกมาเลย ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจะอยู่บนชั้นสิบ ไป๋หลงคิดพลางก่อนจะส่ายหน้าออกมา
” เจ้าถามว่ามันต่างกันอย่างไรใช่ไหม ต่างกันสิ ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้ โดยความจริงแล้ว วิชาเซียนกับวิชามาร เป็นขั้วตรงข้ามกัน วิชาเซียน จะมุ่งเน้นเรื่องกระบวนท่าและด้านจิตใจของผู้ใช้ ขัดเกลาให้คนที่ฝึกมีจิตใจที่บริสุทธิ์ แต่ วิชามารนั้นต่างกัน มุ่งเน้นด้านการทำลาย ความเลือดเย็นและกระหายในการต่อสู้ แต่คนที่มี พลังแบบเดียวกับข้านั้นสามารถฝึกฝนได้ทั้ง2วิชา มันเป็นการฉีกกฏของโลกใบนี้โดยสิ้นเชิง ถ้าเจ้าฝึกวิชาเซียนเจ้าก็ไม่สามารถฝึกวิชามารได้ แต่ถ้าเจ้าฝึกวิชามารเจ้าก็จะไม่สามารถวิชาเซียนได้เช่นกัน เพราะจิตใจนั้น อยู่ในเส้นทางของวิชามาร แต่เจ้าลองคิดดูถ้าสามารถนำพลังทั้งสองมารวมกันจะเกิดอะไรขึ้นข้าคงไม่ต้องอธิบาย ”
เมื่อไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก่อนจะกล่าวถามแก่พ่อของอู้เฉียง
” ท่านเป็นใครกันแน่? ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
” เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง จำไว้แค่ว่าข้าชื่อ เว่ยซิ่ว นั้นคือชื่อจริงของข้า ฝากเจ้าดูแลลูกของข้า และภรรยาของข้าด้วย ” เว่ยซิ่ว กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย
” เดี๋ยวก่อน แล้วทำไมภรรยาท่านถึงไม่มีพลังเหมือนท่านล่ะ ” ไป๋หลงถามออกมาด้วยความแปลกใจ
” ไม่มีหรอก ก่อนหน้าที่ข้าจะแต่งงานกับอู้หยา ข้าตรวจดูแล้วมีเพียงแค่พลังที่มหาศาลภายในตัวนางเท่านั้น ” เว่ยซิ่ว กล่าวอธิบาย
” งั้น ข้าไปก่อนล่ะ ข้าจะออกเดินทาง ไปทวีปมังกร เพื่อทำภารกิจบางอย่าง ”
” เดี๋ยวก่อนท่านไม่คิดจะบอกลาลูกของท่าน และภรรยาหน่อยเหรอ? ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่ เว่ยซิ่ว
” ไม่จำเป็น ข้าไม่สามารถควบคุมพลังของข้าได้นานนักหรอก ข้าต้องอยู่ให้ห่างพวกเขาถึงจะดี ข้าไปล่ะ ”
ฟึบ!!
เว่ยซิ่วกล่าวจบก็หายไปจากตรงหน้าของไป๋หลงทันที จนตัวของไป๋หลงไม่สามารถ จับสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย ก่อนจะ บ่มพึมพำออกมา
ยอดฝีมือ
” นี้เจ้าหนู ข้าจะบอกอะไรให้อีกอย่างไม่เฉพาะเผ่ามนุษย์เท่านั้นที่มีพลังเหมือนเจ้าหนุ่มคนนั้น ” เสียงที่ห่างหายไปนานนั้นก็คือเสียงของ ขงจือ ที่อยู่ภายในจิตสำนึกของไป๋หลง
” ท่านรู้ได้ยังไง!! ” ไป๋หลงถามออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความใคร่รู้
“เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง ” ขงจือกล่าวออกมาอย่างมีเลศนัย ไป๋หลงเรียกกี่ทีก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา
” นึกจะพูดก็พูด แถมพูดยั้วให้ข้ารู้อีก… เฮ้อ ” ไป๋หลงถอนหายใจออกมา
ไป๋หลงรู้สึกตัวเองยังอ่อนด้วยนัก ในโลกของผู้แข็งแกร่งคือทุกอย่าง
“เอาล่ะ พวกข้าเก็บของเรียบแล้ว…แล้วท่านพ่อหายไปไหน? ” อู้เฉียงถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ไป๋หลงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตอบ
” เขาไปแล้ว พ่อของเจ้าฝากบอกว่า ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ” ไป๋หลงกล่าวจบอู้เฉียงก็น้ำตาคลอทันที อู้เฉียงนำมือมาเช็ดน้ำตาตัวเองทันที
” เขาไปแล้วจริงๆเหรอ ไป๋หลง ” อู้หยาถามด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกยากจะอธิบาย
” เป็นเช่นนั้น ” ไป๋หลงตอบออกมาตามตรง
เมื่ออู้หยาได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
” เอาละ งั้น เราไปคฤหาสน์ของข้ากันเลยไหม ” ไป๋หลง รีบถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุยจะได้ทำให้ไม่รู้สึกคิดมากเรื่อง เว่ยซิ่ว
” ได้ แล้ว คฤหาสน์เจ้าอยู่แถวไหนล่ะ ” อู้ เฉียงกล่าวถามด้วยความใคร่รู้
” ป่าอสูรนะ ” ไป๋หลงเพียงตอบออกมาตามตรง เมื่ออู้หยา และ อู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นก็แข็งค้าง พูดอะไรไม่ออกทั้งแม่ทั้งลูก
“………….. ”